วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 1015 พูดตามความจริง

บทที่ 1015 พูดตามความจริง

“ข้อสงสัยนี้ ก็เพิ่งคิดได้ตอนที่ผมกับจี้หลินยวนคุยกัน”

น้ำเสียงของลู่จิ่งเซินเรียบเฉย ขณะที่ถือแก้วอยู่นั้น นิ้วมือก็เคลื่อนอยู่บริเวณผิวสัมผัสของแก้วเบาๆ พลางพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า:“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกกู้ซือเฉียนจะเคยคิดถึงเรื่องนี้ไหม แต่ว่าเมื่อสักครู่นี้พอผมคิดขึ้นได้ ก็แค่รู้สึกว่าสันหลังเย็นยะเยือก ขนพองสยองเกล้า”

แม้แต่เขาก็รู้สึกเช่นนี้ แล้วจิ่งหนิงจะไม่รู้สึกได้อย่างไรกัน?

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอขรึมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นยืน

“ฉันจะรีบโทรหาพวกเฉียวฉี”

“ไม่ต้องรีบ”

ลู่จิ่งเซินกลับขวางเธอไว้

“เรื่องๆนี้ คุยในโทรศัพท์ไม่ค่อยสะดวก พวกคุณนัดเจอกันพรุ่งนี้ตอนกลางวันไม่ใช่เหรอ?มีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ตอนกลางวันเจอกันแล้วค่อยคุยกัน”

จิ่งหนิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็คิดว่าควรเป็นเช่นนั้น

เพราะต่อให้รีบร้อนยังไง ก็คงไม่ต้องรีบร้อนกระทั่งคืนนี้

ดังนั้น เธอจึงล้มเลิกความคิดที่จะโทรหาเฉียวฉี เมื่อดื่มนมที่ลู่จิ่งเซินนำมาให้เรียบร้อยแล้ว ก็ล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นก็เข้านอน

วันรุ่งขึ้น

เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็พบว่าเก้าโมงกว่าแล้ว

เนื่องจากครรภ์ของเธอนับวันยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ชอบนอนมากขึ้นตามไปด้วย หากเป็นเมื่อก่อนเจ็ดโมงครึ่งเธอก็ตื่นนอนแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับนอนเลยเวลา

แต่ว่าทุกคนต่างเห็นอกเห็นใจ เพราะว่าเธอเป็นคนท้อง ดังนั้นจึงไม่ได้รอเธอท่านอาหารเช้า เพราะเกรงว่าเธอจะรู้สึกอึดอัดใจ และทำให้ในใจของเธอรู้สึกกดดันเสียเปล่าๆ

ทำเพียงให้ห้องครัวอุ่นอาหารไว้ เมื่อเธอตื่นนอนจะได้มากินได้ทันที

เมื่อจิ่งหนิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ขณะที่ลงมาจากด้านบนก็เห็นท่านย่าจิ้นและท่านย่าเชิ๋นกำลังพูดคุยกันพลางดื่มชาไปด้วยที่ห้องรับแขก

ท่านย่าทั้งสอง มีเรื่องที่จะต้องคุยกันไม่รู้จักจบจักสิ้น

เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พลางเดินเข้าไปทักทายพวกท่านก่อน

เมื่อทราบว่าเด็กทั้งสามคนกำลังไปเล่นอยู่ที่สวนหลังบ้าน เธอจึงเดินไปยังสวนดอกไม้หลังบ้าน

เห็นเพียงสวนดอกไม้ที่มีสีสันสดใส เด็กน้อยทั้งสามคนกำลังเล่นเล่นเกมกันอยู่

และไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เมื่อวานเด็กชายทั้งสองที่ดูเหมือนกับจะเป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่เพียงค่ำคืนสั้นๆ วันนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคืนดีกันแล้ว

ลู่จิ่งเซินเดินมาจากที่ๆไม่ไกลนัก

“ตื่นแล้วเหรอ?”

เขามองไปที่เสื้อผ้าบางของจิ่งหนิงพลางขมวดคิ้ว“ทำไมคุณใส่เสื้อผ้าน้อยจังครับ?”

จิ่งหนิงได้สติกลับมา พลางยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า:“ไม่หนาว”

ขณะที่เธอพูด ก็หันกลับเข้าไปในบ้าน

ลู่จิ่งเซินก็เดินตามไป“ไม่หนาวก็ต้องใส่เสื้อผ้าเยอะๆหน่อย ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว อย่าเอาร่างกายของตนเองมาล้อเล่นสิครับ”

ขณะที่พูด ก็อดไม่ได้ที่จะกำชับคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆว่า ไปเอาเสื้อคลุมหนาๆมาสักตัวหนึ่ง

จิ่งหนิงเห็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

“ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้คุณขี้บ่นกว่าคุณย่าเสียอีก”

ลู่จิ่งเซินจ้องมองไปที่เธอ

“คุณรังเกียจผมเหรอ?”

จิ่งหนิงยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“อืม รังเกียจ แต่ก็ชอบ”

ขณะที่เธอพูด ก็ยื่นมือออกไปโอบไหล่ของลู่จิ่งเซิน และพูดขึ้นอย่างใกล้ชิดว่า:“ใครใช้ให้คุณเป็นสามีของฉันล่ะ?”

เดิมทีชายหนุ่มที่มีสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ร่าเริงขึ้นมาทันที

“แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย”

ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องอาหารอย่างสนิทสนม เมื่อถึงครึ่งทางก็ได้พบกับ หัวเหยาและจี้หลินยวน พวกเขาต่างส่ายหน้า

“คนที่รู้ก็จะรู้ว่าแต่งงานกันมาสี่ห้าปีแล้ว ส่วนคนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกัน”

จิ่งหนิงเหลือบตามองหล่อนครู่หนึ่ง“พูดถึงฉันให้มันน้อยๆหน่อย คุณเองก็เหมือนกันนะ?”

หัวเหยายิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“พอได้แล้ว ฉันไม่แกล้งคุณเล่นแล้ว ฉันให้คนเตรียมอาหารเช้าไว้ให้คุณแล้ว รีบไปกินเถอะ กินเสร็จพวกเราจะได้ออกเดินทาง”

จิ่งหนิงพยักหน้า

อาหารเช้าท่านย่าจิ้นตั้งใจเตรียมอาหารสำหรับคนท้องไว้ให้กับเธอ

จิ่งหนิงรีบกินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งรถไปกับพวกของลู่จิ่งเซิน

ขณะที่กินข้าว เธอได้ติดต่อกับเฉียวฉีไว้เรียบร้อยแล้ว

รู้ว่าพวกเขารออยู่ที่โรงแรมห้าดาวที่ไม่ไกลจากที่นี่นัก พวกจิ่งหนิงก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เนื่องจากพวกเขาได้บอกที่บ้านแล้วว่า ตอนกลางวันจะไม่กลับไปกินข้าวที่บ้าน

ไม่นานรถก็จอดอยู่ที่หน้าประตูโรงแรม

ลู่จิ่งเซินประคองเธอลงจากรถ และคนกลุ่มหนึ่งก็เดินมุ่งตรงไปยังเฉียวฉี ตอนนี้พวกเขาต่างเดินไปที่ห้องอาหารชั้นสอง

ในห้องอาหาร เฉียวฉีและกู้ซือเฉียนกำลังนั่งอยู่ที่ห้องVIP รอคอยพวกเขาอย่างเงียบๆ

ห้องVIP ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่าง ด้านล่างของหน้าต่างตรงกับประตูใหญ่ของโรงแรมพอดี

ดังนั้น ตอนที่พวกของจิ่งหนิงลงจากรถ ที่จริงแล้วทั้งสองต่างมองเห็นแล้ว

เฉียวฉีดีใจอยากจะออกไปต้อนรับพวกเขา ส่วนกู้ซือเฉียนจนปัญญา ทำได้เพียงออกไปกับเขาด้วย หลังจากที่ต้อนรับคนกลุ่มนี้แล้ว ทุกคนต่างก็เข้าไปในห้องด้วยความดีอกดีใจ

มีพนักงานเข้าไปเสิร์ฟชาและของว่าง เฉียวฉีและเขาไม่ได้เจอกันนาน แน่นอนว่าจะต้องพูดคุยกันยกใหญ่

ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้เริ่มพูดคุยหัวข้อหลัก

“ข้อมูลของเฉินซื่อโป๋คนนี้ ผมได้จัดระเบียบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว เมื่อสักครู่นี้ได้ส่งข้อมูลเข้าอีเมลของพวกคุณแล้ว พวกคุณลองดูสิ”

ขณะที่หัวเหยากำลังพูด

คนเหล่านั้นต่างหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดอีเมลดู

หลังจากที่ดูเรียบร้อยแล้ว กู้ซือเฉียนก็ยักคิ้ว

“ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน?”

“ใช่”หัวเหยาพยักหน้า“แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขาชื่นชอบการสะสมวัตถุโบราณเป็นพิเศษแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนี้ก็คงจะสะสมในตอนนั้น ตอนที่ข่าวเกี่ยวกับแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์แพร่ออกมา เขาได้สะสมไว้แล้ว แต่ว่าเขาคงไม่รู้ว่า แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์มีทั้งหมดยี่สิบชิ้น คงคิดมาตลอดว่ามีเพียงชิ้นเดียว ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวว่ามีการประมูลหยกชิ้นนั้นที่เมืองหลิน ก็คิดมาโดยตลอดว่าหยกชิ้นนั้นเป็นของปลอม ก็เลยไม่ได้ให้ความสำคัญ วันนั้นผมก็ได้ยินเขากับซื่อโป๋พูดคุยกันโดยบังเอิญ ถึงได้รู้ว่าในมือเขามีหยกชิ้นนั้นอยู่”

กู้ซือเฉียนพยักหน้า

จิ่งหนิงยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะบอกเขาว่าของที่อยู่ในมือของเขาเป็นของจริงงั้นเหรอ?”

เมื่อประโยคนี้พูดออกไป คนสองสามคนพวกนั้นก็มีสีหน้าที่แปลกๆ

คนที่อยู่ในที่นี่ต่างเป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างเฉลียวฉลาด

แม้แต่หัวเหยาที่ไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจมากนัก แต่เนื่องจากพ่อและพี่ชายล้วนเป็นนักธุรกิจ จึงทำให้ได้รับอิทธิพลในด้านนี้ไม่น้อย

แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจโดยอัตโนมัติ ที่จริงแล้ววิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่บอกเขาว่าแผ่นหยกชิ้นนี้เป็นของจริง

จากนั้นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซื้อหยกชิ้นนั้นมา เมื่อได้หยกมาอยู่ในมือแล้ว ต่อไปแม้ว่าเขาจะได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ก็คงทำอะไรพวกเขาไม่ได้

แต่ว่าบางครั้งคนก็เป็นเช่นนี้

หากเป็นเพราะเพื่อผลประโยชน์จริงๆ บางทีคนพวกนี้คงไม่สามารถมารวมตัวอยู่ด้วยกันได้

เมื่อคิดเช่นนี้ กู้ซือเฉียนก็นิ่งเงียบครู่หนึ่ง

“ผมจะลองไปคุยกับเขาดูก่อน หากเขายอมมอบหยกให้ดีๆก็คงจะดีที่สุด แต่หากเขาไม่เต็มใจ ผมก็คงต้องคิดวิธีอื่น”

จิ่งหนิงพยักหน้า

“แบบนี้ดีที่สุด เพราะถึงยังไงซื่อโป๋ก็เป็นคนของตระกูลจิ้น ก็ไม่ควรที่จะปิดบังเขา เรื่องนี้ฉันว่าจี้หลินยวนเป็นคนกลางไปพูดโน้มน้าว ผลที่ออกมาน่าจะดีหน่อย”

ขณะที่เธอพูด สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่จี้หลินยวน

เห็นเพียงจี้หลินยวนยกแก้วขึ้น กำลังเตรียมดื่มชา

เมื่อได้ยินคำพูดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพลางเหลือบมองพวกเขาครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็พยักหน้า

“ได้ ผมทราบแล้วครับ”

จิ่งหนิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ดังนั้นจึงพูดข้อสังเกตเมื่อวานนี้ของตนกับลู่จิ่งเซินออกมา

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท