วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 1021 อาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมาก

บทที่ 1021 อาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมาก

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาทั้งสองมีทัศนะคติที่ไม่ดีต่อลูกสะใภ้คนนี้เป็นอย่างมาก

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คนก็ช่วยออกมาแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

พวกของลู่จิ่งเซินก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป เมื่อพูดขอบคุณกับเฉินซื่อโป๋เรียบร้อยแล้ว ก็หยิบแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์แล้วจากไป

เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น กว่าจะกลับถึงคฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลจิ้น เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าสี่ทุ่มแล้ว

เดิมทีเฉียวฉีและกู้ซือเฉียนไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปที่นั้นแล้ว แต่เมื่อคิดว่าวันนี้พวกเขามาที่นี่เพราะที่จะต้องการมาอวยพรวันเกิด แต่สุดท้ายยังไม่ทันได้อวยพรวันเกิดเลย พวกเขาก็ออกไปก่อน ทำให้ดูไม่ค่อยมีมารยาทสักเท่าไหร่

อีกอย่าง ก็ควรที่จะเข้าไปทักทายถึงจะถูก

ดังนั้น พวกเขาจึงไปที่คฤหาสน์ตระกูลจิ้นด้วยกัน

ในเวลานี้ ท่านย่าจิ้นยังไม่ได้นอน

หากเป็นเวลาปกติ หล่อนก็คงนอนหลับไปแล้ว

แต่ว่าวันนี้แขกเยอะมาก และมีเรื่องจำนวนมากที่พวกของจิ้นชิงซานช่วยหล่อนรับหน้าอยู่ข้างนอก แต่ว่าคนจำนวนมากก็อยากที่จะพบกับหล่อนด้วยตนเอง

ประการที่สอง หล่อนทราบว่าพวกหนุ่มสาวออกไปข้างนอก ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าด้วยเรื่องอะไร ในใจก็รู้สึกเป็นกังวล ก็เลยนอนไม่หลับ

จึงถือโอกาสนอนอยู่ที่ห้องรับแขก

เดิมทีท่านย่าเชิ๋นก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นหล่อนเป็นกังวลขนาดนี้ ก็ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ

จึงโทรถามลู่จิ่งเซินว่าอยู่ที่ไหน ลู่จิ่งเซินไม่พูดเยอะมาก พูดเพียงว่าเมื่อสักครู่ไปทำธุระมา

ท่านย่าเชิ๋นกำลังจะดุเขายกใหญ่

ลู่จิ่งเซินนานแล้วที่ไม่ถูกย่าดุ ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ ทำเพียงยิ้มและพูดขึ้นในโทรศัพท์ว่าเดี๋ยวจะกลับมาเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็วางสายโทรศัพท์ลง

เมื่อเดินเข้าไปให้ห้องโถงรับแขก ก็เห็นแสงไฟสว่างไสว ท่านย่าท่านปู่สองสามคนกำลังนั่งรอพวกเขาอยู่ที่นั้น คนรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆเขา ท่าทางแบบนั้น ราวกับผู้พิพากษา

คนสองสามคนที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

จี้หลินยวน หัวเหยาและลู่จิ่งเซินรวมทั้งจิ่งหนิงเดินออกไปก่อน

พวกเขาทักทายกับผู้อาวุโสท่านนี้ก่อน จากนั้นจึงอธิบายสาเหตุที่วันนี้ออกไปข้างนอก

แน่นอนพวกเขาคงไม่บอกความลับเรื่องของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ออกไป

พูดเพียงว่าแฟนสาวของโจวลี่เจินเกิดเรื่องขึ้น จึงต้องรีบเข้าไปช่วยเหลือ

เนื่องจากความสัมพันธ์ของคุณนายเฉินและโจวลี่เจินก็ถือว่ามีสายสัมพันธ์ทางด้านญาติพี่น้องกับตระกูลจิ้น ท่านย่าจิ้นก็รู้จัก

หลังจากที่ฟังพวกเขาพูดจบ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

“ทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นมาแบบนี้ล่ะ ?งั้นตอนนี้พวกเขาไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?”

จี้หลินยวนพูดขึ้นอย่างราบเรียบ:“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ได้ส่งคนกลับไปแล้ว”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี”ทันใดนั้นท่านย่าก็โมโหขึ้นมา สีหน้าเคร่งขรึม และพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า:“กล้าลงมือในถิ่นของพวกเรา ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม หลินยวนเรื่องนี้จะต้องสืบหาเบาะแสให้ถึงที่สุด อย่าปล่อยคนพวกนั้นไปง่ายๆ”

จี้หลินยวนพยักหน้า

เมื่อจิ้นชิงซานเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็เลยพูดขึ้นว่า :“แม่ครับ ดึกแล้ว พวกคุณก็เหนื่อยกันมากแล้ว กลับไปพักผ่อนในห้องเถอะครับ”

ลู่จิ่งเซินก็พูดขึ้นว่า:“คุณย่า เดี๋ยวผมไปส่งท่านกับท่านปู่กลับห้องนะครับ”

พวกท่านย่าพยักหน้า ดังนั้น การสอบสวนในครั้งนี้ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้

เมื่อเฉียวฉีและกู้ซือเฉียนเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อวยพรวันเกิดให้กับท่านย่า จากนั้นก็จากไป

วันรุ่งขึ้น พวกเขาทั้งสองต้องการที่จะกลับเมืองหลิน

ลู่จิ่งเซินนึกถึงข้อมูลที่ตนเคยได้รับในสมัยก่อน จึงพาจิ่งหนิงไปหาพวกเขา พร้อมยังบอกข่าวที่ตนทราบกับพวกเขาด้วย

เตียนหนานไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของลู่จิ่งเซิน เพียงแต่ลูกน้องที่เขาส่งไปได้ข่าวมาบางส่วนก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเรื่องๆนี้ถึงเขาจะไปด้วยก็คงช่วยเหลืออะไรไม่ได้มาก ดังนั้นออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา

ลู่จิ่งเซินได้บอกวิธีการติดต่อคนทางนั้นให้กับพวกเขา กู้ซือเฉียนจึงพาเฉียวฉีเปลี่ยนเส้นทางไปยังเตียนหนาน

ส่วนทางด้านนี้ ท่านย่าเชิ๋นก็ยังคงเที่ยวเล่นอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าจิ้นอยู่ คนแก่ทั้งสองคนก็ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันง่ายๆ และไม่มีใครสามารถรู้ได้เลยว่าหากจากกันครั้งนี้จะได้เจอกันอีกไหม

ดังนั้น จึงรู้สึกอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมาก

สุขภาพร่างกายของท่านปู่ก็ดีขึ้นมากแล้ว เพราะถึงยังไงพวกเขาก็มีคุณหมอติดตามอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งตระกูลจิ้นก็มีหมอฝีมือดีอยู่ที่นี่ด้วย

เมื่อลู่จิ่งเซินเห็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร จึงให้พวกเขาเล่นสนุกอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ ส่วนจิ่งหนิงนั้นก็ไป ทะเลทรายกับโม่ไฉ่เวยและคุณอาเชว

แน่นอนว่าจะต้องพาอานอานและจิ้งเจ๋อน้อยไปด้วย

ในเมื่อจิ่งหนิงยังคงต้องการให้โม่ไฉ่เวยได้พบกับหลานของหล่อนทั้งสองคน

ทั้งสองออกเดินทางในวันนั้นเลย ก่อนหน้านี้โม่ไฉ่เวยได้มอบที่อยู่ให้กับหล่อนแล้ว

จิ่งหนิงได้โทรศัพท์หาโม่ไฉ่เวยก่อน เมื่อรู้ว่าเธอจะมา โม่ไฉ่เวยก็ดีใจเป็นอย่างมาก

เมื่อก่อนหล่อนไม่ชอบการพบเจอคนนอก และไม่อยากพบลูกของเธอทั้งสองคน แต่หลังจากที่เจอกันครั้งที่แล้วในช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้หล่อนก็ไม่ได้ต่อต้านแล้ว

แม้ว่าในใจจะยังรู้สึกลังเลและยังคงเตร็ดเตร่ แต่ว่าความรู้สึกนั้น ราวกับความรู้สึกคิดถึงบ้าน ซึ่งไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบ

เครื่องบินที่จิ่งหนิงนั่ง มาถึงสนามบินในวันนั้นตอนสี่โมงเย็น

สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่าเมืองอิมา เมื่อแปลเป็นภาษาจีนก็จะหมายความว่าอายุยืน

เนื่องจากทะเลทรายจะมีพื้นที่โอเอซิสเพียงเล็กน้อย ดังนั้นประชากรที่นี่มีไม่มาก คนที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวต่างชาติผิวสีดำ

ตอนที่พวกของจิ่งหนิงเดินทางมาถึง คนที่คุณอาเชวส่งรถมารับพวกเขาได้มารอที่สนามบินแล้ว

เมื่อเห็นพวกเขา ก็รีบใช้ภาษาจีนทักทายพวกเขาอย่างคล่องแคล่ว

จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินพาเด็กทั้งสองคนเดินเข้าไป

ฝ่ายตรงข้ามยิ้มพลางพูดแนะนำตนเองว่า:“สวัสดีครับ ผมชื่อคีริม เจ้านายของผมสั่งให้ผมมารับพวกคุณครับ เชิญขึ้นรถครับ”

อานอานและจิ้งเจ๋อน้อยต่างรู้สึกประหลาดใจกับสีผิวและการแต่งกายของฝ่ายตรงข้าม

ตั้งแต่เล็กพวกเขาได้เปิดหูเปิดตามากมาย แต่ถึงยังไงพวกเขาก็ยังเป็นเด็ก และเป็นครั้งแรกที่มาที่แบบนี้

ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นประเพณีท้องถิ่น หรือว่ารูปร่างหน้าตาของผู้คน ล้วนแตกต่างกับคนในประเทศจีน

ดังนั้น เด็กทั้งสองก็ทำตัวราวกับว่าได้เจอกับโลกใหม่ยังไงยังงั้น เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

คีริมเป็นคนที่ช่างพูดคุย แม้พวกเขาจะไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับคุณอาเชวรวมทั้งโม่ไฉ่เวย

แต่นี่ไม่ได้ถือว่าเป็นการกีดขวางความเป็นมิตรของเขา

ตลอดการเดินทาง ล้วนแล้วแต่แนะนำประเพณีท้องถิ่นของพวกเขาอย่างมีความสุข รวมไปถึงทิวทัศน์ทะเลทรายที่ผ่านทางรายทางด้วย

ในสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเดือนพฤศจิกายนแล้ว แต่ที่นี่ยังคง “ตะวัน ส่อง แสง จ้า ส่องเข้ามาที่ลำตัว รู้สึกราวกับกำลังถูกเผายังไงยังงั้น

จิ่งหนิงกลัวว่าเด็กทั้งสองจะมีอาการหน้ามืดวิงเวียนเมื่ออยู่ในที่ร้อนจัด จึงได้เตรียมน้ำเย็นไว้ให้พวกเขาตั้งแต่แรก และให้พวกเขาพกติดตัว

แต่ว่าเด็กทั้งสองคนเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าที่คิดมาก ไม่เพียงแต่ไม่กลัวความร้อนเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังปีนดูทิวทัศน์ที่หน้าต่างอย่างไม่หยุดหย่อน

ทำให้จิ่งหนิงร้องไห้จนหัวเราะแทบไม่ออก

ไม่ง่ายเลยที่ลู่จิ่งเซินจะอุ้มอานอานกลับมาได้ จึงพูดขึ้นว่า:“ถ้าลูกอยากดู เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อพามาดู ตอนนี้เราไม่มีอุปกรณ์ในการป้องกันเลยแม้แต่น้อย ระวังแสงแดดจากข้างนอกจะทำร้ายผิวหนังชั้นแรกของลูกนะ”

ตอนนี้อานอานกลายเป็นลูกคนโตแล้ว เริ่มรักสวยรักงามแล้ว

เมื่อได้ยินแสงแดดจะทำร้ายผิวหนัง ก็อดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นออกมาพลาง รีบนำศีรษะกลับมาทันที

รถวิ่งอยู่บนท้องถนนอย่างราบเรียบ

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท