วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 1016 พบกับซื่อโป๋

บทที่ 1016 พบกับซื่อโป๋

เมื่อพูดข้อสงสัยนี้ออกมา ทุกคนต่างตะลึงงัน

แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้คิดถึงปัญหานี้มาก่อน

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว

“ที่จริง เมื่อคุณพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ผมก็รู้สึกสงสัยในแรงจูงใจของหนานกงจิ่นเหมือนกัน แต่ว่าหลังจากที่สังเกตอยู่นาน ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีความคิดอะไรที่แฝงอยู่”

เฉียวฉีขมวดคิ้วแน่น

“เมื่อพูดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เรื่องๆนี้มีบางอย่างผิดปกติ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูแปลกๆมาโดยตลอด”

จิ่งหนิงถามขึ้น:“เรื่องอะไร?”

“ผมกับกู้ซือเฉียนเคยเห็นหนานกงจิ่นกับตาตัวเอง ดูแล้วเขาน่าจะอายุสามสิบกว่า หากอิงตามเหตุผล บุคคลเช่นนี้ หากเขามีความสามารถมากมาย เป็นคนที่มีเงินทองและอำนาจก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่หลายปีมานี้จะไม่มีข่าวลือเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเขากลับสามารถควบคุมตระกูลหนานได้ทั้งตระกูลอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้แต่ตอนที่อยู่ต่อหน้าหนานกงยวู่ เขาก็ดูต่ำต้อยราวกับคนใช้ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเหลือเชื่อจริงๆ”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ทันใดนั้นทุกคนต่างตกอยู่ในภาวะครุ่นคิด

ใช่แล้ว หนานกงยวู่เป็นใครกัน?

ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ก็สามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งของหัวหน้าตระกูลได้ ดูแล้วเขาคงจะไม่ใช่คนที่ไม่มีความสามารถแน่ๆ

คนๆหนึ่งที่ไม่ใช่คนไร้ความสามารถ อายุเกือบหกสิบปีแล้ว แต่กลับยอมให้ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าปีควบคุม แม้กระทั่งกลายเป็นหุ่นเชิดและโล่กำบังของเขา เพราะอะไรกัน?

ทุกคนต่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

ในที่สุด จี้หลินยวนก็เป็นคนเอ่ยปาก

“หรือไม่ก็คนๆนี้มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น ที่สามารถทำให้หนานกงยวู่ยอมรับอย่างสุดจิตสุดใจ หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีเครื่องต่อลองอยู่ในมือ”

เมื่อความคิดนี้ถูกพูดออกไป ก็ถูกลู่จิ่งเซินปฏิเสธ

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าหนานกงยวู่จะดูเหมือนคนที่ไม่มีความสามารถ แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่มีความสามารถ ผู้นำตระกูลหนานเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่และล่อตาล่อใจ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมทิ้งอำนาจและตำแหน่งนี้เพื่ออะไรบางอย่าง นอกเสียจากมีเพียงความเป็นไปได้อย่างเดียวก็คือ”

คนสองสามคนมองไปที่เขา “ความน่าจะเป็นคืออะไร?”

“หากเขาไม่เชื่อฟังหนานกงจิ่น ก็จะต้องตาย”

ผู้ฟังต่างตะลึงงัน

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า:“หรือว่าเป็นเพราะต้นเงินทองอยู่ในมือของเขา?คนในตระกูลหนาน กินยาพวกนั้นก็เลยไม่ตายไม่ใช่เหรอ?ดังนั้นหนานกงยวู่ถึงได้เชื่อฟังคำพูดของเขามากมายขนาดนั้น?”

ลู่จิ่งเซินส่ายศีรษะ

“ไม่แน่ใจ ตามหลักการแล้ว ตระกูลหนานพัฒนามาหลายปีต้นเงินทองถือว่าเป็นชีวิตและเส้นเลือดของพวกเขา ไม่น่าจะถูกใครควบคุมได้ง่ายๆถึงจะถูก”

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็นวดคลึงที่คิ้ว

“เรื่องๆนี้ จำเป็นต้องตรวจสอบให้ชัด ตีงูต้องตีให้แม่น หากเราไม่หาข้อมูลประวัติความเป็นมาของหนานกงจิ่นให้ชัดเจน พวกเราก็จะตกอยู่ในสภาวะถูกกระทำ”

กู้ซือเฉียนพยักหน้า เห็นด้วยกับวิธีการนี้

“เรื่องนี้ผมจะไปจัดการเอง เมื่อตรวจสอบเจอสาเหตุแล้ว จะบอกพวกคุณ”

คนสองสามคนต่างพยักหน้า

พวกเขายังคงนั่งอยู่ที่นั้นพูดคุยกันครู่หนึ่ง เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ต่างคนต่างแยกย้าย

แน่นอนว่าลู่จิ่งเซินกลับบ้านตระกูลจิ้นไปพร้อมกับหัวเหยากับจี้หลินยวน

เนื่องจากงานเลี้ยงจะจัดขึ้นในตอนกลางคืน ดังนั้นหากพวกเฉียวฉีไปตอนนี้ก็คงจะไม่สะดวก ดังนั้นจึงนัดแนะกันอย่างเรียบร้อยว่าคืนนี้ค่อยเจอกันเวลาสองทุ่ม

งานเลี้ยงดำเนินไปตามเวลาที่กำหนดไว้

เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงที่เป็นทางการ จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินจึงเปลี่ยนมาใส่ชุดที่ค่อนข้างหรูหรา เด็กน้อยทั้งสองก็เปลี่ยนมาใส่ชุดที่สวยงาม

แน่นอนว่าอานอานเธอใส่ชุดกระโปรงตัวน้อยที่เธอชอบที่สุด จิ้งเจ๋อน้อยใส่ชุดสูทสีดำ รับกับใบหน้าจิ้มลิ้มสีขาว น่ารักเป็นอย่างมาก

ตระกูลจิ้นถือว่าเป็นตระกูลที่ไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ จึงครึกครื้นเป็นอย่างมาก

ท่านย่าจิ้นใส่เสื้อคอจีนสีแดงเข้ม นั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเป็นคนแก่ที่ดูมีชีวิตชีวา และดูดีอกดีใจเป็นอย่างมาก

หล่อนทยอยทักทายกับคนที่มาร่วมงานทีละคนๆ

ในฐานะที่จี้หลินยวนและจิ้นชิงซานเป็นหลานชายของหล่อน แน่นอนว่าจะต้องอยู่ต้อนรับแขกข้างกายหล่อน

แต่สำหรับหัวเหยานั้น เนื่องจากเรื่องภายในบ้านหล่อนไม่จำเป็นต้องกังวล ดังนั้นหล่อนจึงว่างไม่มีอะไรทำ ก็เลยได้พูดคุยเล่นกับจิ่ง หนิงสักครู่หนึ่ง

ประมาณสองทุ่มครึ่งกว่าๆ แขกที่ควรมาก็มากันครบแล้ว

ในที่สุดท่านย่าจิ้นก็กลับไปพักผ่อนครู่หนึ่ง เพราะถึงยังไงอายุก็มากแล้ว นั่งอยู่แบบนี้นานๆก็คงจะไม่ไหว

ดังนั้น จิ้นชิงซานจึงให้จี้หลินยวนอยู่ต่อเพื่อดูแลแขก ส่วนตนเองนั้นประคองท่านย่าเข้าไปในห้องพักผ่อน

จี้หลินยวนตามหาหัวเหยาท่ามกลางผู้คน ในที่สุดก็หาที่ๆหล่อนอยู่จนเจอ แล้วเดินเข้าไปหา

ในเวลานี้เฉียวฉีและกู้ซือเฉียนก็มาด้วย

แม้ว่าพวกเขากับตระกูลจิ้นจะไม่ได้ไปมาหาสู่กัน แต่ว่าต่างก็เป็นคนในวงการเดียวกัน ในเมื่อมาอวยพรวันเกิด แน่นอนว่าท่านย่าคงไม่ไล่ออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน

อีกทั้ง ตอนที่กลุ่มชาวจีนเกิดปัญหา แม้ว่าท่านย่าจะไม่ได้จัดการเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อได้ข่าว และดูเหมือนว่าหลานชายของตนจะเข้าไปแทรกแซง ในเมื่อเป็นเพื่อนของหลานชาย แน่นอนว่าจะต้องดูแลเป็นอย่างดี

ดังนั้น ก่อนที่ท่านย่าจะจากไป ก็ได้ทักทายกับกู้ซือเฉียนและเฉียวฉีเป็นพิเศษ

แน่นอนว่าทั้งสองคนก็ต่างนอบน้อม เมื่อส่งท่านย่าแล้ว ถึงได้มาพวกจี้หลินยวน และเดินไปยังบริเวณมุมข้างๆที่ค่อนข้างเงียบ

“เมื่อสักครู่นี้ผมได้ทักทายกับเฉินซื่อโป๋แล้ว และให้เขาไปรอพวกเราอยู่ที่ห้องพักผ่อนชั้นสอง เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปในตอนนี้”

ขณะที่จี้หลินยวนพูด

กู้ซือเฉียนและเฉียวฉีก็ต่างพยักหน้า

“รบกวนคุณแล้ว”

หัวเหยายิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ไม่รบกวนหรอกครับ แต่ว่าผมยังไม่ได้บอกเขาว่าพวกเราต้องการพบเขาด้วยสาเหตุอะไร เดี๋ยวสักพักพวกคุณก็คุยกับเขาเองเลยนะครับ”

เฉียวฉีพยักหน้า

คนสองสามคนต่างพากันเดินขึ้นไปชั้นสอง แน่นอนว่าลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงก็เดินตามไปด้วย

เมื่อผลักประตูห้องพักผ่อนออกมาก็พบว่ามีผู้ชายอายุห้าสิบกว่าคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั้น เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ชายคนนั้นตะลึงงันครู่หนึ่ง น่าจะคิดไม่ถึงว่าจู่ๆก็มีคนเข้ามามากมายขนาดนี้ แต่ว่าเขาก็คือคนในวงการธุรกิจที่เคยพบเจอคนมามากมาย ไม่นานเขาก็สงบลง ลุกขึ้นยิ้มพลางพูดขึ้นว่า

:“พวกคุณมากันแล้ว รีบนั่งลงเถอะ”

ขณะที่พูด สายตาก็มองไปยังกู้ซือเฉียนและลู่จิ่งเซินครู่หนึ่ง

เดิมทีกู้ซือเฉียนก็เป็นคนที่ค่อนข้างทำตัวค้อมต่ำไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ แม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากมายอยู่ในมือ แต่ก็น้อยมากที่จะปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณะในวงการธุรกิจ

แต่ลู่จิ่งเซินนั้นไม่เหมือนกัน

เขาเป็นประธานกรรมการบริหารลู่ซื่อและรู้เรื่องธุรกิจทุกอย่างค่อนข้างลึกซึ้ง มีใครบ้างที่ไม่รู้จักเขา?

ดังนั้น เมื่อเฉินซื่อโป๋เห็นเขา สายตาก็เป็นประกายครู่หนึ่ง

“ท่านนี้คือประธานลู่ใช่ไหม?ยินดีที่ได้พบคุณ ยินดีที่ได้พบคุณ”

ขณะที่เขาพูด ก็เดินเข้ามาข้างหน้า พลางจับมือกับลู่จิ่งเซิน

ลู่จิ่งเซินยิ้มอย่างราบเรียบ จี้หลินยวนก็แนะนำให้เขารู้จักกับกู้ซือเฉียนเฉียวฉีและจิ่งหนิงเฉินซื่อโป๋ทักทายทีละคนๆ ท่าทางสนิทสนมและอบอุ่นใจไม่น้อย

หลังจากที่แนะนำเสร็จ ทุกคนก็ต่างนั่งลง

เฉินซื่อโป๋ดื่มชาไปด้วย พลางพูดยิ้มขึ้นว่า:“เมื่อสักครู่นี้ซือเฉียนบอกว่ามีเรื่องธุรกิจอยากจะคุยกับผม ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

จี้หลินยวนพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า:“มีธุระจริงๆครับ เรื่องๆนี้เกรงว่าอาจจะต้องทำให้ เฉินซื่อโป๋ต้องสูญเสียของรักเพื่อช่วยเหลือพวกเรา ส่วนรายละเอียดนั้นให้กู้ซือเฉียนเป็นคนพูดก็แล้วกันครับ”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท