“ใช่ แต่จะเป็นห้องเย็นไม่ได้นะ แต่เป็นสถานที่ที่เย็นเหมือนห้องเย็น เป็นห้องที่เย็นชื้นอย่างนั้น”
เซวซู่ใช้ความคิดแล้วส่ายหน้า
“คุณสร้างความลำบากให้ผมแล้ว ผมมีห้องใต้ดินนะ แต่มันไม่ได้เย็นชื้นน่ะสิ ต้องเข้าใจนะครับว่า พวกเราที่นี่คือทะเลทราย การที่คุณต้องการสถานที่เย็นชื้นกลางทะเลทรายแบบนี้ มันไม่ตลกเลยนะ”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกมา เวินเหวินจวินก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงดี? หากไม่มีสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ของสิ่งนี้ไม่มีทางแพร่พันธุ์ได้แน่”
ลู่จิ่งเซินพูดเสียงขรึม: “จะต้องเป็นสถานที่แบบนั้นเท่านั้นใช่ไหมครับ?”
“ใช่”
ลู่จิ่งเซินใช้ความคิดและพูด: “ถ้าเป็นอย่างนั้น สู่พวกเราเปลี่ยนสถานที่ดีไหม? ผมมีวิลล่าแห่งหนึ่งในประเทศ สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่นั่นค่อนข้างสอดคล้องกับสิ่งที่คุณเพิ่งพูดไป”
“ในประเทศ?”
เวินเหวินจวินสีหน้าเปลี่ยนไปและส่ายหน้าทันที
“ไม่ได้ ผมไม่ไปที่นั่น”
ลู่จิ่งเซินตกตะลึง
จิ่งหนิงถามขึ้น: “เพราะอะไรคะ?”
สีหน้าของเวินเหวินจวินดูไม่ดีนัก เซวซู่ดูเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงพูดไกล่เกลี่ย: “ในประเทศไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ไหม คุณเอาของสิ่งนี้ไป รอจนคุณทำการศึกษามันจนเสร็จแล้วส่งคืนกลับมาให้เรา”
เวินเหวินจวินตาลุกวาว
“แบบนี้ก็ได้”
แต่วินาทีต่อมาเขาก็นิ่งไปเล็กน้อยแล้วหันไปมองลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงที่อยู่ด้านข้าง
“แต่พวกคุณจะวางใจเหรอ? ของสิ่งนี้คือของล้ำค่าประเภทที่มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าพวกคุณได้มันมาได้ยังไง แต่ผมมั่นใจว่าบนโลกนี้มีของสิ่งนี้อยู่ไม่มาก หากผมเอามันไปแล้วไม่ส่งคืน พวกคุณจะเสียมากกว่าได้”
จิ่งหนิงใช้ความคิดและยิ้มแล้วพูด: “ไม่กลัว ในเมื่อจะใช้ใครก็ต้องเชื่อใจ พวกเราเชื่อใจคุณเวินค่ะ”
เวินเหวินจวินหัวเราะทันที
“ได้ เช่นนั้นผมของไม่เกรงใจ พวกคุณวางใจ ผมจะปฏิบัติกับเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องของผมเอง หากมีข่าวจะรีบบอกให้คุณทราบทันที”
“ได้”
ในเมื่อการพูดคุยตกลงกันแล้วจึงไม่มีอะไรให้พูดคุยอีก
เวินเหวินจวินเป็นคนที่มีความสามารถในการจัดการ เมื่อพูดคุยเสร็จก็คิดที่จะทำในทันทีโดยไม่รีรอ
ดังนั้นเขาจึงไม่แม้แต่จะอยู่ค้างเพียงสักคืน และให้คนมาคนของไปและใช้เวลาข้ามคืนบนเครื่องบินเพื่อกลับไปยังที่พักในเมืองของเขา
ในตอนเย็นจิ่งหนิงโทรหาเฉียวฉีเพื่อบอกเล่าเรื่องราวกับเธอ
เฉียวฉีไม่พูดอะไรและเห็นด้วยกับวิธีการของเธอ
พวกเขาไม่ใช่คนตระหนี่ ถึงแม้ว่าของสิ่งนี้จะเกี่ยวพันถึงชีวิตของเฉียวฉี จะละเลยไม่ได้ แต่ในเมื่อขอให้คนอื่นช่วยแล้วก็จำต้องไว้ใจเขา
ยิ่งกว่านั้น มันก็เป็นเพียงแค่หน่อหนึ่ง ไม่ได้มีค่าอะไรสักเท่าไหร่
ตอนนนี้พวกเฉียวฉีก็มีแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ และจะได้ชิ้นที่สองมาในไม่ช้า
ตามที่เธอเล่า สถานการณ์ทางเตียนหนาน มันราบรื่นกว่าที่คิดไว้ พวกเขาได้พูดคุยกับอีกฝ่ายแล้ว เพียงใช้เงินจำนวนหนึ่งก็จะขายหยกชิ้นนั้นให้ และจะทำซื้อขายกันในตอนเย็น
สำหรับกู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีแล้ว ขอเป็นอะไรที่ใช้เงินจัดการได้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
จิ่งหนิงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าและวางใจลงบ้าง
ทันทีหลังจากนั้น เธอพูดถึงหนานกงจิ่นกับเฉียวฉีอีกครั้ง
เรื่องที่หนานกงจิ่นมาถึงที่นี่และจงใจพยายามเข้าใกล้พวกเขา จนถึงตอนนี้ จิ่งหนิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเส้นสนกลในอะไร
ไม่รู้ถึงจุดมุ่งหมายที่เขาทำ
เฉียวฉีได้ยินแล้วก็ตกใจมาก
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รู้จักหนานกงจิ่นมากนัก
ดังนั้นจึงคิดไม่ออกว่าเขาไปถึงที่นั่นเพื่ออะไร?
จิ่งหนิงจึงถอนหายใจ
“ในเมื่อคิดไปก็คิดไม่ออก งั้นก็อย่าไปคิดเลย ยังไงซะทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน ไม่กลัวว่าเขาจะทำอะไร จะกลัวก็แต่สะกดทัพไว้ไม่เคลื่อนไหว ถึงเวลานั้น ฉันจะแจ้งข่าวพวกเธอนะ”
“ได้”
หลังจากวางสาย จิ่งหนิงก็เล่าเรื่องนี้ให้ลู่จิ่งเซินฟัง
ลู่จิ่งเซินมีปฏิกิริยาเหมือนกับเฉียวฉี นั่นก็คือทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากัน
เธอจึงไม่คิดมากอีก
ตกดึกเธอจึงเข้านอนอย่างสบายใจ
เช้าวันต่อมาในที่สุดหิมะก็หยุดตก
หิมะตกถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงแม้จะตกเม็ดไม่ใหญ่ แต่ก็ปกคลุมทำให้เมืองทั้งเมืองเป็นสีขาวบาง ๆ
เพราะด้านนอกนั้นหนาวมากดังนั้นจิ่งหนิงและพวกจึงไม่คิดจะออกไปข้างนอกและนั่งล้อมวงเตาผิงและพูดคุยกันอยู่ในห้องรับแขก
คุยไปคุยมาไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องของอานอาน
จากการที่ได้อยู่ด้วยกันหลายวันมานี้ โม่ไฉ่เวยรู้สึกชอบเด็กดีอย่างอานอานขึ้นมาด้วยใจจริง
และรู้สึกเจ็บปวดใจเรื่องที่เธอไม่มีแม่ตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น จากการที่ได้ใช้เวลาร่วมกันหลายวันมานี้ทำให้เธอเห็นว่าลู่จิ่งเซินดีกับจิ่งหนิงจริง ๆ
ดังนั้นเธอจึงไม่มีไม่ถือสาหาความกับเรื่องที่ผ่านมาของลู่จิ่งเซินอีก
สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะตนเองเคยถูกทำร้ายมาก่อน ดังนั้นจึงกลัวว่าจิ่งหนิงจะเป็นแบบเธอที่ถูกคนทำร้ายและหลอกลวง ดังนั้นจึงได้มีความคิดแบบนั้นเท่านั้นเอง
ตอนนี้ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าลู่จิ่งเซินเป็นที่รักของจิ่งหนิง ดังนั้นเธอจึงไม่มีอะไรจะพูด
ส่วนเรื่องแม่ที่ให้กำเนิดอานอาน ในเมื่อตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ปรากฏตัว เช่นนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าต่อไปในอนาคตคงจะไม่ปรากฏตัวแล้ว
ต่อให้ปรากฏตัวออกมา ก็เชื่อว่าคงจะไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความรู้สึกของพวกเขาสองคนมากนัก
เมื่อจิ่งเห็นเธอคิดแบบนี้จึงได้วางใจ
ที่จริงแล้วตัวเธอเองก็มองออกแล้วจึงไม่ได้รู้สึกอะไร
อานอานก็คือลูกของเธอ เธอรักเด็กคนนี้หมดหัวใจจนเธอไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ทางสายเลือด
ทั้งสองคุยกันครู่หนี่ง จิ่งหนิงที่กำลังตั้งท้องและง่วงนอนเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน
เมื่อตื่นขึ้นมาเธอก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง
เป็นสายจากท่านย่าประเทศ F
หลังจากเที่ยวเล่นอยู่บ้านตระกูลจิ้นอยู่นาน ท่านย่ากับท่านปู่ก็เตรียมตัวจะกลับประเทศแล้ว
ที่โทรมาก็เพียงอยากจะบอกให้พวกเขารู้ไว้เท่านั้น
จิ่งหนิงได้ข่าวแล้วจึงได้ยิ้มและกำชับกับท่านย่าเล็กน้อย
ท่านย่ากลับเป็นห่วงเธอ ช่วงนี้เธอกำลังท้อง เดินทางไปไหนก็ไม่สะดวก เมื่อได้ข่าวว่าหลายวันนี้อากาศไม่ดี อีกทั้งยังมีพยากรณ์อากาศว่าหิมะตกใจช่วงนี้จึงได้โทรมาถามเธอว่าไม่สบายตรงไหนหรือไม่
จิ่งหนิงหัวเราะและเล่าถึงสถานการณ์ช่วงนี้ของเธอให้ฟังและไม่ให้หญิงชราต้องเป็นห่วง
หญิงชรารู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินว่ากินอิ่มนอนหลับสบายที่นี่ และได้รับการดูแลอย่างดี
แต่เธอก็ยังคงกำชับว่าทางที่ดีที่สุดคืออย่าออกไปไหนเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
จิ่งหนิงไม่คิดมากอะไรและรับปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วจึงวางสายไป
หลังวางสาย ลู่จิ่งเซินก็เข้ามาพอดีและเห็นเธอถือโทรศัพท์มือถือจึงถาม: “ใครโทรมา?”
จิ่งหนิงพูด: “ท่านย่าค่ะ ท่านย่ากับท่านปู่จะกลับประเทศแล้ว”
“เร็วขนาดนั้นเลย?”
ลู่จิ่งเซินคิดไม่ถึงอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เจอท่านย่าจิ้นกับท่านปู่นานแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอ