โม่ไฉ่เวยได้ยินแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างยินดีไม่ได้
เธอมองดูท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยของจิ่งหนิงและอดใจรอไม่ไหวว่าลูกน้อยที่อยู่ในท้องของจิ่งหนิงคลอดออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร
เธอเองก็ไม่มีลูกของตัวเอง ตอนนั้นลูกคนเดียวที่เธอมีก็ต้องตายไปเพราะอุบัติเหตุ
ดังนั้นถึงแม้จะมีจิ่งหนิงอยู่ข้างกายในตอนหลัง แท้จริงแล้วเรื่องลูกนี้ สำหรับเธอแล้ว สุดท้ายก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่
โชคดีที่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ผ่านไปเธอเองก็ปล่อยวางแล้ว
หลังจากทั้งสองตกลงกันแล้วก็ช่วยกันเก็บของและไปหาเซวซู่เพื่อคุยเรื่องนี้
ก่อนที่จะเจอเซวซู่ จิ่งหนิงเจอกับลู่จิ่งเซินก่อนจึงบอกเขาเรื่องนี้
หลังจากลู่จิ่งเซินก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งหากโม่ไฉ่เวยจะกลับไปอยู่กับพวกเขา
ส่วนทางเซวซู่นั้น ขอเพียงโม่ไฉ่เวยต้องการ เขาไม่มีทางที่จะไม่เห็นด้วย
เมื่อคิดแบบนี้ทุกคนจึงไปหาเซวซู่
เมื่อเซวซู่ทราบเรื่องว่าโม่ไฉ่เวยต้องการจะตามจิ่งหนิงและพวกกลับประเทศ สีหน้าก็นิ่งลงเล็กน้อย
จิ่งหนิงพูดชักชวน: “แม่อยู่ที่นี่คนเดียว คุณก็อยู่เป็นเพื่อนท่านตลอดไม่ได้ สถานการณ์ของท่านก็ไม่เหมาะจะออกไปเจอเพื่อน คุณจะปล่อยให้ท่านเอาแต่นั่งอยู่ในบ้านเป็นรูปปั้นประดับบ้านก็ไม่ได้ แบบนี้จะส่งไม่ดีต่อท่าน หนูรู้ว่าคุณอาเชวรักแม่ด้วยใจจริง ก็เลยเต็มใจที่จะดูแลท่านและเลือกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับท่านมากกว่าใช่ไหมคะ?”
ต้องบอกว่าคำพูดของจิ่งหนิงนั้นโดนใจของเซวซู่จริง ๆ
เขารักโม่ไฉ่เวยมากจริง ๆ ตั้งแต่แรกเห็นก็ตกหลุมรักเธอทันที
แต่น่าเสียดายที่ในตอนนั้นเธอแต่งงานกับคนอื่นแล้ว เมื่อรู้ว่าเธอมีสามีแล้ว เซวซู่ในตอนนั้นก็จิตตกอยู่นาน
แต่ต่อมา จับพลัดจับผลู โม่ไฉ่เวยถูกหวังเสว่เหมยและพวกระรานและเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เซวซู่ช่วยชีวิตเธอและพาออกนอกประเทศและครองคู่กันมา
ตั้งแต่นั้น ถึงแม้ว่าโม่ไฉ่เวยจะอยู่เคียงข้างเขาและเติมเต็มจิตใจให้แก่เขา แต่เขาก็รู้ดีว่าลึก ๆ ในใจของโม่ไฉ่เวยยังคงขาดหาย
เธอไม่ควรจะต้องติดตามตนเองเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว เหมือนหอยทากที่ซ่อนตัวอยู่ในเปลือกหอย มองไม่เห็นโลกภายนอก
เธอคือคนที่ควรอยู่ท่ามกลางแสงสี ต้องการความรักและชื่นชอบจากผู้คนมากมาย เธอต้องการที่จะมีลูกหลานรายล้อม ต้องการมีชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไปอย่างแท้จริง
แต่ไม่ใช่การต้องติดอยู่ที่นี่เหมือนหินมองผัว เฝ้ารอตนเองกลับบ้านในทุก ๆ วันแล้วใช้ชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย
เมื่อคิดแบบนี้ เซวซู่จึงได้มีท่าทางที่อบอุ่น
เขามองไปที่จิ่งหนิงและพูดเสียงขรึม: “พวกคุณรับปากว่าถ้าหากเธอไป พวกคุณจะดูแลเธออย่างดีได้ไหม?”
“แน่นอนค่ะ” จิ่งหนิงใช้ความคิดและรับปาก “ฉันรับปากว่าจะดูแลแม่อย่างดี ที่สุดแล้วบนโลกนี้มีคุณที่รักท่าน ฉันก็ยิ่งรักท่าน พวกเราไม่มีต้องการจะทำร้ายแม่”
เซวซู่พยักหน้า
จิ่งหนิงพูดขึ้นอีก: “ที่จริง ถ้าคุณอาเชวยินดีและกลับไปพร้อมกับพวกเรา ในประเทศไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุนหรือสภาพแวดล้อมก็เหมาะที่จะให้คุณมุ่งมั่นกับงานด้านการวิจัยทางการแพทย์ แบบนี้คุณกับแม่จะได้ไม่ต้องแยกกัน และได้ทำสิ่งที่ตนเองรัก ทำแบบนั้นจะไม่มีความสุขกว่าเหรอคะ?”
เซวซู่ยิ้มอย่างหดหู่และส่ายหน้า
“ช่างเถอะ ผมไม่ไปหรอก ยังมีงานอีกหลายชิ้นในห้องทดลองที่ยังไม่เสร็จสิ้น ถ้าผมไป งานพวกนั้นจะทำยังไงล่ะ? จะพูดไป…”
เขามองไปที่โม่ไฉ่เวยแล้วพูดอย่างเรียบเฉย: “พูดไปแล้ว หลายปีมานี้ผมติดค้างเธอ ผมเอาแต่คิดว่า ผมรักเธอ ดังนั้นจึงอยากให้เธออยู่ข้าง ๆ แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าที่แท้เธอต้องเหงา โดดเดี่ยวที่อยู่ข้างผมแบบนี้ ผมสอบตกในฐานะสามีจริง ๆ”
โม่ไฉ่เวยทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น: “อะซู่ คุณอย่าคิดอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่คุณ ตอนนั้นฉันคงไม่มีชีวิตรอด ที่จริงฉันไม่เคยโทษคุณเลย…”
เซวซู่โบกมือไปเพื่อบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว
เขาหันหลังแล้วพูดเสียงขรึม: “เอาละ ในเมื่อพวกคุณตัดสินใจแล้ว ก็ไปพร้อมกันเลย ว่างเมื่อไหร่ผมจะไปหาพวกคุณเอง”
ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อแสร้งทำเป็นว่าเป็นคนใจกว้างและเข้มแข็ง แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็มองเห็นได้ลึกลงไปในใจของเขา เขาไม่ต้องการให้โม่ไฉ่เวยจากไปเลย
ความใจกว้างทั้งหมดนั้นก็เพียงเพื่อไม่ต้องการให้โม่ไฉ่เวยต้องลำบากใจเท่านั้น
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว
ตอนนั้นเองลู่จิ่งเซินได้พูดอะไรบางอย่าง
“ในเมื่อทุกคนต่างไม่อยากจะให้เป็นแบบนี้ สู้เราทุกคนย้ายกลับประเทศไปพร้อมกันดีกว่า เรื่องโครงการที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ ถ้าหากโครงการไหนย้ายกลับไปไม่ได้ก็ทำที่นี่ให้เสร็จ ถ้าหากย้ายกลับไปได้ก็รีบย้ายกลับประเทศไปและทำต่อให้สำเร็จ แบบนี้ คุณทั้งคู่จะไม่ยิ่งมีความสุขเหรอครับ?”
เซวซู่ขมวดคิ้ว
“ย้ายโครงการกลับประเทศ? พูดง่าย คุณรู้ไหมว่าโครงการเหล่านั้นแต่ละโครงการใช้เงินแค่ไหน…”
“เงินไม่ใช่ปัญหาที่คุณจะต้องเป็นกังวลใจ ผมแก้ปัญหาได้ ถ้าหากคุณยินดี ผมจะสร้างห้องวิจัยขนาดใหญ่ให้คุณเหมือนกับห้องทดลองที่นี่ที่คุณมี คุณสามารถทำวิจัยตามที่คุณต้องการ อีกทั้งยังมีเงินทุนจำนวนหนึ่งให้คุณทุกปี เพื่อให้คุณใช้จ่ายตามดุลยพินิจ คุณคิดว่ายังไงครับ?”
ต้องบอกว่าข้อเสนอของลู่จิ่งเซินนั้นมีแรงจูงใจเป็นอย่างมาก
ที่สุดแล้ว ตอนนี้เซวซู่อยู่ที่นี่ ถึงแม้จะมีห้องทดลองและคฤหาสน์ แต่ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์ของเขามอบให้เขา
ส่วนตัวเขาเองนั้น เขาหมกมุ่นอยู่กับการแพทย์มาโดยตลอดและไม่มีความตั้งใจที่จะทำธุรกิจ แม้ว่าโม่ไฉ่เวยจะมีความเฉียบแหลมทางธุรกิจอยู่บ้าง แต่เพราะไม่สามารถจะติดต่อกับคนแปลกหน้าได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องอะไรกับการทำธุรกิจนัก
ดังนั้น ห้องทดลองของเขาจึงขาดเงินทุนในการสนับสนุนการทดลองอยู่ตลอด
ต้องเข้าใจว่า การวิจัยทางการแพทย์นั้น แท้จริงแล้วต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมาก
ถ้ากลับประเทศแล้วลู่จิ่งเซินเต็มใจจะออกเงินทุนให้เขาทำการวิจัยต่อไป ก็จะถือเป็นผลดีเช่นกัน
เมื่อคิดแบบนี้ เขาเงยหน้ามองลู่จิ่งเซิน ดวงตาของเขาฉายแววเฉียบคม
“คุณพูดจริงหรือเปล่า? จะออกเงินทุนจำนวนหนึ่งให้งานวิจัยของผมทุก ๆ ปีจริงเหรอ?”
“แน่นอนครับ”
ลู่จิ่งเซินยิ้มเล็กน้อย “การแพทย์นั้น เมื่อการวิจัยเสร็จสิ้นก็ถือเป็นคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ต่อประชาชนและประเทศชาติ แน่นอนว่าควรจะต้องช่วยสนับสนุน”
เซวซู่จึงพยักหน้า
“ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณให้เวลาผมหนึ่งคืน ให้ผมทบทวนดูให้ดี พรุ่งนี้ผมจะให้คำตอบ”
“ครับ แต่มีเวลาเพียงแค่หนึ่งคืน คุณต้องคิดดูให้ดี ถ้าหากคุณรับปาก ผมจะให้คนรีบสร้างห้องทดลองให้คุณทันที ถึงเวลานั้นจะเปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว”
“ผมเข้าใจแล้ว”
เซวซู่พูดจบแล้วก็โบกมือไปมาด้วยความรำคาญและให้พวกเขาออกไป
จิ่งหนิงเห็นเช่นนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเรื่องนี้มีแนวโน้มความเป็นไปได้สูงมาก
เธอดึงโม่ไฉ่เวยเข้าไปและพูดด้วยความดีใจ: “แม่คะ ครั้งนี้แม่ไม่ต้องลำบากใจอีกแล้ว ถ้าหากคุณอาเชวย้ายกลับประเทศจริง ๆ พวกเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้วจริง ๆ”
โม่ไฉ่เวยพยักหน้า เรื่องต่าง ๆ พัฒนาไปได้ถึงจุดนี้ เธอเองก็ดีใจมากแล้ว
เธอหันหน้าไปหาลู่จิ่งเซินและยิ้มแล้วพูด: “เป็นความดีความชอบของจิ่งเซิน”