วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 1044 กลับไปด้วยกัน

บทที่ 1044 กลับไปด้วยกัน

โม่ไฉ่เวยได้ยินแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างยินดีไม่ได้

เธอมองดูท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยของจิ่งหนิงและอดใจรอไม่ไหวว่าลูกน้อยที่อยู่ในท้องของจิ่งหนิงคลอดออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร

เธอเองก็ไม่มีลูกของตัวเอง ตอนนั้นลูกคนเดียวที่เธอมีก็ต้องตายไปเพราะอุบัติเหตุ

ดังนั้นถึงแม้จะมีจิ่งหนิงอยู่ข้างกายในตอนหลัง แท้จริงแล้วเรื่องลูกนี้ สำหรับเธอแล้ว สุดท้ายก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่

โชคดีที่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ผ่านไปเธอเองก็ปล่อยวางแล้ว

หลังจากทั้งสองตกลงกันแล้วก็ช่วยกันเก็บของและไปหาเซวซู่เพื่อคุยเรื่องนี้

ก่อนที่จะเจอเซวซู่ จิ่งหนิงเจอกับลู่จิ่งเซินก่อนจึงบอกเขาเรื่องนี้

หลังจากลู่จิ่งเซินก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งหากโม่ไฉ่เวยจะกลับไปอยู่กับพวกเขา

ส่วนทางเซวซู่นั้น ขอเพียงโม่ไฉ่เวยต้องการ เขาไม่มีทางที่จะไม่เห็นด้วย

เมื่อคิดแบบนี้ทุกคนจึงไปหาเซวซู่

เมื่อเซวซู่ทราบเรื่องว่าโม่ไฉ่เวยต้องการจะตามจิ่งหนิงและพวกกลับประเทศ สีหน้าก็นิ่งลงเล็กน้อย

จิ่งหนิงพูดชักชวน: “แม่อยู่ที่นี่คนเดียว คุณก็อยู่เป็นเพื่อนท่านตลอดไม่ได้ สถานการณ์ของท่านก็ไม่เหมาะจะออกไปเจอเพื่อน คุณจะปล่อยให้ท่านเอาแต่นั่งอยู่ในบ้านเป็นรูปปั้นประดับบ้านก็ไม่ได้ แบบนี้จะส่งไม่ดีต่อท่าน หนูรู้ว่าคุณอาเชวรักแม่ด้วยใจจริง ก็เลยเต็มใจที่จะดูแลท่านและเลือกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับท่านมากกว่าใช่ไหมคะ?”

ต้องบอกว่าคำพูดของจิ่งหนิงนั้นโดนใจของเซวซู่จริง ๆ

เขารักโม่ไฉ่เวยมากจริง ๆ ตั้งแต่แรกเห็นก็ตกหลุมรักเธอทันที

แต่น่าเสียดายที่ในตอนนั้นเธอแต่งงานกับคนอื่นแล้ว เมื่อรู้ว่าเธอมีสามีแล้ว เซวซู่ในตอนนั้นก็จิตตกอยู่นาน

แต่ต่อมา จับพลัดจับผลู โม่ไฉ่เวยถูกหวังเสว่เหมยและพวกระรานและเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เซวซู่ช่วยชีวิตเธอและพาออกนอกประเทศและครองคู่กันมา

ตั้งแต่นั้น ถึงแม้ว่าโม่ไฉ่เวยจะอยู่เคียงข้างเขาและเติมเต็มจิตใจให้แก่เขา แต่เขาก็รู้ดีว่าลึก ๆ ในใจของโม่ไฉ่เวยยังคงขาดหาย

เธอไม่ควรจะต้องติดตามตนเองเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว เหมือนหอยทากที่ซ่อนตัวอยู่ในเปลือกหอย มองไม่เห็นโลกภายนอก

เธอคือคนที่ควรอยู่ท่ามกลางแสงสี ต้องการความรักและชื่นชอบจากผู้คนมากมาย เธอต้องการที่จะมีลูกหลานรายล้อม ต้องการมีชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไปอย่างแท้จริง

แต่ไม่ใช่การต้องติดอยู่ที่นี่เหมือนหินมองผัว เฝ้ารอตนเองกลับบ้านในทุก ๆ วันแล้วใช้ชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย

เมื่อคิดแบบนี้ เซวซู่จึงได้มีท่าทางที่อบอุ่น

เขามองไปที่จิ่งหนิงและพูดเสียงขรึม: “พวกคุณรับปากว่าถ้าหากเธอไป พวกคุณจะดูแลเธออย่างดีได้ไหม?”

“แน่นอนค่ะ” จิ่งหนิงใช้ความคิดและรับปาก “ฉันรับปากว่าจะดูแลแม่อย่างดี ที่สุดแล้วบนโลกนี้มีคุณที่รักท่าน ฉันก็ยิ่งรักท่าน พวกเราไม่มีต้องการจะทำร้ายแม่”

เซวซู่พยักหน้า

จิ่งหนิงพูดขึ้นอีก: “ที่จริง ถ้าคุณอาเชวยินดีและกลับไปพร้อมกับพวกเรา ในประเทศไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุนหรือสภาพแวดล้อมก็เหมาะที่จะให้คุณมุ่งมั่นกับงานด้านการวิจัยทางการแพทย์ แบบนี้คุณกับแม่จะได้ไม่ต้องแยกกัน และได้ทำสิ่งที่ตนเองรัก ทำแบบนั้นจะไม่มีความสุขกว่าเหรอคะ?”

เซวซู่ยิ้มอย่างหดหู่และส่ายหน้า

“ช่างเถอะ ผมไม่ไปหรอก ยังมีงานอีกหลายชิ้นในห้องทดลองที่ยังไม่เสร็จสิ้น ถ้าผมไป งานพวกนั้นจะทำยังไงล่ะ? จะพูดไป…”

เขามองไปที่โม่ไฉ่เวยแล้วพูดอย่างเรียบเฉย: “พูดไปแล้ว หลายปีมานี้ผมติดค้างเธอ ผมเอาแต่คิดว่า ผมรักเธอ ดังนั้นจึงอยากให้เธออยู่ข้าง ๆ แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าที่แท้เธอต้องเหงา โดดเดี่ยวที่อยู่ข้างผมแบบนี้ ผมสอบตกในฐานะสามีจริง ๆ”

โม่ไฉ่เวยทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น: “อะซู่ คุณอย่าคิดอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่คุณ ตอนนั้นฉันคงไม่มีชีวิตรอด ที่จริงฉันไม่เคยโทษคุณเลย…”

เซวซู่โบกมือไปเพื่อบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว

เขาหันหลังแล้วพูดเสียงขรึม: “เอาละ ในเมื่อพวกคุณตัดสินใจแล้ว ก็ไปพร้อมกันเลย ว่างเมื่อไหร่ผมจะไปหาพวกคุณเอง”

ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อแสร้งทำเป็นว่าเป็นคนใจกว้างและเข้มแข็ง แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็มองเห็นได้ลึกลงไปในใจของเขา เขาไม่ต้องการให้โม่ไฉ่เวยจากไปเลย

ความใจกว้างทั้งหมดนั้นก็เพียงเพื่อไม่ต้องการให้โม่ไฉ่เวยต้องลำบากใจเท่านั้น

จิ่งหนิงขมวดคิ้ว

ตอนนั้นเองลู่จิ่งเซินได้พูดอะไรบางอย่าง

“ในเมื่อทุกคนต่างไม่อยากจะให้เป็นแบบนี้ สู้เราทุกคนย้ายกลับประเทศไปพร้อมกันดีกว่า เรื่องโครงการที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ ถ้าหากโครงการไหนย้ายกลับไปไม่ได้ก็ทำที่นี่ให้เสร็จ ถ้าหากย้ายกลับไปได้ก็รีบย้ายกลับประเทศไปและทำต่อให้สำเร็จ แบบนี้ คุณทั้งคู่จะไม่ยิ่งมีความสุขเหรอครับ?”

เซวซู่ขมวดคิ้ว

“ย้ายโครงการกลับประเทศ? พูดง่าย คุณรู้ไหมว่าโครงการเหล่านั้นแต่ละโครงการใช้เงินแค่ไหน…”

“เงินไม่ใช่ปัญหาที่คุณจะต้องเป็นกังวลใจ ผมแก้ปัญหาได้ ถ้าหากคุณยินดี ผมจะสร้างห้องวิจัยขนาดใหญ่ให้คุณเหมือนกับห้องทดลองที่นี่ที่คุณมี คุณสามารถทำวิจัยตามที่คุณต้องการ อีกทั้งยังมีเงินทุนจำนวนหนึ่งให้คุณทุกปี เพื่อให้คุณใช้จ่ายตามดุลยพินิจ คุณคิดว่ายังไงครับ?”

ต้องบอกว่าข้อเสนอของลู่จิ่งเซินนั้นมีแรงจูงใจเป็นอย่างมาก

ที่สุดแล้ว ตอนนี้เซวซู่อยู่ที่นี่ ถึงแม้จะมีห้องทดลองและคฤหาสน์ แต่ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์ของเขามอบให้เขา

ส่วนตัวเขาเองนั้น เขาหมกมุ่นอยู่กับการแพทย์มาโดยตลอดและไม่มีความตั้งใจที่จะทำธุรกิจ แม้ว่าโม่ไฉ่เวยจะมีความเฉียบแหลมทางธุรกิจอยู่บ้าง แต่เพราะไม่สามารถจะติดต่อกับคนแปลกหน้าได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องอะไรกับการทำธุรกิจนัก

ดังนั้น ห้องทดลองของเขาจึงขาดเงินทุนในการสนับสนุนการทดลองอยู่ตลอด

ต้องเข้าใจว่า การวิจัยทางการแพทย์นั้น แท้จริงแล้วต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมาก

ถ้ากลับประเทศแล้วลู่จิ่งเซินเต็มใจจะออกเงินทุนให้เขาทำการวิจัยต่อไป ก็จะถือเป็นผลดีเช่นกัน

เมื่อคิดแบบนี้ เขาเงยหน้ามองลู่จิ่งเซิน ดวงตาของเขาฉายแววเฉียบคม

“คุณพูดจริงหรือเปล่า? จะออกเงินทุนจำนวนหนึ่งให้งานวิจัยของผมทุก ๆ ปีจริงเหรอ?”

“แน่นอนครับ”

ลู่จิ่งเซินยิ้มเล็กน้อย “การแพทย์นั้น เมื่อการวิจัยเสร็จสิ้นก็ถือเป็นคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ต่อประชาชนและประเทศชาติ แน่นอนว่าควรจะต้องช่วยสนับสนุน”

เซวซู่จึงพยักหน้า

“ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณให้เวลาผมหนึ่งคืน ให้ผมทบทวนดูให้ดี พรุ่งนี้ผมจะให้คำตอบ”

“ครับ แต่มีเวลาเพียงแค่หนึ่งคืน คุณต้องคิดดูให้ดี ถ้าหากคุณรับปาก ผมจะให้คนรีบสร้างห้องทดลองให้คุณทันที ถึงเวลานั้นจะเปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว”

“ผมเข้าใจแล้ว”

เซวซู่พูดจบแล้วก็โบกมือไปมาด้วยความรำคาญและให้พวกเขาออกไป

จิ่งหนิงเห็นเช่นนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเรื่องนี้มีแนวโน้มความเป็นไปได้สูงมาก

เธอดึงโม่ไฉ่เวยเข้าไปและพูดด้วยความดีใจ: “แม่คะ ครั้งนี้แม่ไม่ต้องลำบากใจอีกแล้ว ถ้าหากคุณอาเชวย้ายกลับประเทศจริง ๆ พวกเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้วจริง ๆ”

โม่ไฉ่เวยพยักหน้า เรื่องต่าง ๆ พัฒนาไปได้ถึงจุดนี้ เธอเองก็ดีใจมากแล้ว

เธอหันหน้าไปหาลู่จิ่งเซินและยิ้มแล้วพูด: “เป็นความดีความชอบของจิ่งเซิน”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท