ก่อนหน้านั้นเขาหวาดกลัวมาโดยตลอดว่าจิ่งหนิงจะเป็นเพราะว่าเรื่องที่ปกปิดเธอและเอาใจออกห่างเขา ตอนนี้ดูแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนี้
ในที่สุดลู่จิ่งเซินก็วางใจได้
แต่วางใจส่วนวางใจ สิ่งที่ควรอธิบายยังคงต้องอธิบาย
ด้วยเหตุนี้ตอนกลางคืนที่ดึกสงัดเงียบสงบ เขาก็เลยดึงจิ่งหนิงมาเล่าเรื่องในปีนั้นทั้งหมดให้เธอฟัง
ที่แท้ตั้งแต่แรกลู่จิ่งเซินก็ไม่ใช่พ่อค้าที่ธรรมดาคนหนึ่ง
เมื่อนานมาแล้วเขาได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่คนข้างนอกยังรู้ว่าสิ่งที่เขาเรียนเป็นวิชาบริหารธุรกิจ ตามความจริงเขายังแอบเรียนโรงเรียนทหารอีก
ก็เป็นเพราะว่าอยู่ในโรงเรียนทหารนั่นเองจึงถูกแม่ทัพอาวุโสคนหนึ่งตาดีมองเห็น เลือกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองขององค์กรX
เขาถือว่าเป็นสายตรงของแม่ทัพอาวุโส เนื่องเพราะการแสดงออกมายอดเยี่ยม หลังจากตอนที่แม่ทัพอาวุโสปลดเกษียณ ก็เลยมอบตำแหน่งผู้นำให้กับเขาเลย
ทั้งยังมอบภารกิจในการจับกุมหนานกงจิ่นให้เขาอีก
ตั้งแต่เวลานั้นสงครามระหว่างลู่จิ่งเซินกับหนานกงจิ่นก็เริ่มแล้ว
จิ่งหนิงคิดอย่างละเอียดหน่อย ถึงขนาดอยู่ก่อนที่ตนเองพบเจอกับลู่จิ่งเซินครั้งแรกอีก
แต่ดูแล้วก็ใช่ สาเหตุที่พวกเขาได้พบเจอในตอนนั้น ก็ไม่ใช่เนื่องเพราะระหว่างทางที่เขาสะกดรอยหนานกงจิ่นจึงพบเจอกับเธอเลยเหรอ?
เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องไปกว้างมาก ยังมีองค์ประกอบทางวิทยาศาสตร์บ้างเล็กน้อยที่อธิบายชัดเจนไม่ได้อยู่ข้างใน ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้จะต้องเก็บไว้เป็นความลับอย่างเด็ดขาด
และเรื่องเป็นเพราะว่าต้องเก็บไว้เป็นความลับนั่นเอง สถานะของลู่จิ่งเซินก็ต้องกลายเป็นความลับเช่นกัน
รวมกับองค์กรXที่รับผิดชอบเรื่องนี้ด้วย ล้วนไม่สามารถให้คนภายนอกรู้
แค่คิดก็รู้ว่า อยู่ในวันเวลาที่อ้างว้างเดียวดายเหล่านั้นลู่จิ่งเซินแบกรับหน้าที่รับผิดชอบอันใหญ่หลวงนี้ตัวคนเดียวได้ยังไงล่ะ
ไม่มีใครเข้าใจ ทั้งไม่มีคนบอกเล่าได้
ไม่ว่าพบเจอกับเรื่องอะไรล้วนต้องแบกรับคนเดียว เหน็ดเหนื่อยขนาดไหนทุกข์ขนาดไหนล้วนไม่สามารถพูดสักคำ
อยู่ดีๆจิ่งหนิงก็ไม่โกรธเขาเลยสักนิด อยู่ดีๆเธอก็รู้สึกรักสงสารลู่จิ่งเซินมาก
เธอรู้ว่าอยู่ในวันเวลาเหล่านั้น วันเวลาของลู่จิ่งเซินต้องผ่านอย่างลำบากแน่นอน แต่เพื่อความปลอดภัยของพวกประชาชน เขายังคงแข็งใจไว้
ได้ใช้เวลายาวนานเกือบสิบปี ในที่สุดก็ยังจับกุมหนานกงจิ่นไว้ได้
เขาลำบากขนาดนี้ หากตนเองยังโทษเขาอีก งั้นตนเองยังคู่ควรเป็นภรรยาเขาได้อีกเหรอ?
จิ่งหนิงใจร้ายไม่ลงฟังต่อไปอีก กอดลู่จิ่งเซินไว้ทันที
“พอแล้ว อย่าพูดอีกเลย”
แขนของลู่จิ่งเซินเกาะไหล่ของเธอไว้ กอดเธอไว้ในอ้อมอกเบาๆ
เขาถอนหายใจหนึ่งที พูดเสียงต่ำว่า “ขอโทษ หนิงหนิง ผมไม่ควรมีเจตนาปกปิดคุณ”
จิ่งหนิงกลับแค่ส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก สักพักจึงพูดว่า “ฉันไม่โทษคุณ ฉันรู้ว่าคุณมีความลำบากใจของคุณ เพียงแค่ตอนนี้หนานกงจิ่นตายแล้ว งั้นก็แสดงว่าอันตรายขจัดไปแล้วใช่หรือไม่ล่ะ?”
เธอเงยหน้านิดๆจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ ลู่จิ่งเซินอมยิ้มหนึ่งที ยื่นมือขูดจมูกของเธอเบาๆขูดแล้วขูดอีก
“ที่ไหนจะง่ายขนาดนั้น อันตรายคงอยู่ในโลกนี้ตลอดกาล อันตรายอย่างหนึ่งขจัดแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่ง เป็นไปได้ยังไงจะบอกว่าไม่มีก็ไม่มีแล้วล่ะ?”
ไม่นานเขาก็สัมผัสถึงความกังวลที่อยู่นัยน์ตาของจิ่งหนิง ถึงยังไงก็มีความอดไม่ได้เล็กน้อยที่จะเห็นเธอกังวล
และปลอบใจพูดอีกว่า “แต่คุณวางใจเถอะ ผมจะทุ่มสุดแรงทั้งหมดรับรองถึงความปลอดภัยของตนเอง อย่าลืมพวกเรายังจะอยู่ร่วมกันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรล่ะ”
จิ่งหนิง “พู่” เสียงหนึ่งหัวเราะออกมา มีความรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อยและมีความเจ็บปวดใจอีกเล็กน้อย
เธอจับมือของลู่จิ่งเซินไว้ พูดเสียงต่ำว่า “คุณต้องอยู่ดีๆนะ ถ้าหากคุณเกิดอะไรขึ้น ฉันก็……”
“ถ้าหากผมเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณต้องเข้มแข็งอยู่ต่อไป ห้ามคิดเหลวไหล ยิ่งห้ามทำเรื่องโง่เขลา เข้าใจไหม?”
อยู่ดีๆน้ำเสียงของลู่จิ่งเซินกลายเป็นเอาจริงเอาจังขึ้นมา จิ่งหนิงคัดจมูกทันที น้ำตาไหลลงพรั่กๆ
อยู่ดีๆเพราะเธอรู้สึกถึงว่าลู่จิ่งเซินไม่ได้พูดเล่น แต่พูดจริง
เห็นเธอร้องไห้แล้ว ลู่จิ่งเซินก็มีความร้อนรนเล็กน้อยเช่นกัน
เขารีบกล่อมว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ คุณอย่าร้องไห้ ผมผิดไปแล้ว คุณร้องไห้อย่างนี้ต่อไปอีก ใจผมล้วนจะแตกสลายแล้ว”
แต่ว่าที่ไหนจิ่งหนิงจะอดทนไว้ได้ล่ะ?
เดิมทีเธอก็ตั้งครรภ์อยู่แล้ว อารมณ์ขึ้นลงง่าย
พอลู่จิ่งเซินพูดเช่นนี้ เพียงรู้สึกความเศร้าโศกทะลักออกจากใจ เหมือนเช่นดั่งทั้งสองคนล้วนจะแยกออกจากกันในทุกเวลา อารมณ์ควบคุมไม่ไหวเลยสักนิด
ลู่จิ่งเซินเห็นสภาพการณ์อย่างนี้ ก็รู้ว่าตนเองพูดผิดแล้ว
เพื่อที่จะปลอบให้เธอไม่ร้องไห้อีก รีบเปลี่ยนคำพูดว่า “ได้ได้ได้ ผมรับปากคุณ ผมจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ดีๆอย่างแน่นอน ย่อมจะไม่ไปก่อนคุณอย่างเด็ดขาดดีหรือไม่ล่ะ?
คุณอย่าร้องไห้อีกเลย คุณร้องไห้เช่นนี้ต่ออีก ผมยังไม่ได้พบเจอกับอันตราย เจ็บป่วยใจจนตายก่อนแล้วล่ะ”
ผู้ชายทั้งพูดอยู่ทั้งเอามือเช็ดน้ำตาให้เธอ
อารมณ์ของจิ่งหนิงไม่สามารถควบคุมได้ในขณะนี้ กอดเขาไว้ยิ่งร้องไห้เสียงดังออกมา
กำลังร้องไห้อยู่ อยู่ดีๆข้างนอกส่งเสียงเคาะประตู ปั้งๆๆ เข้ามา
ลู่จิ่งเซินอึ้งชะงักไปหนึ่งที ถามว่า “ใครเหรอ?”
ข้างนอกส่งเสียงที่ชัดเจนไพเราะของอานอานกับจิ้งเจ๋อน้อยเข้ามา
“แด๊ดดี้ หม่ามี๊ พวกท่านทำอะไรอยู่เหรอ? แด๊ดดี้ท่านรังแกหม่ามี๊อีกแล้วใช่หรือไม่? พวกเราล้วนได้ยินเสียงร้องไห้ของหม่ามี๊แล้ว”
ทั้งสองคนล้วนแข็งทื่อทันที ลู่จิ่งเซินทั้งจะโมโหทั้งรู้สึกน่าขำ ร้องตะโกนพูดกับข้างนอกว่า “อย่าพูดเหลวไหล พวกแกไปนอนเถอะไป! หม่ามี๊ของพวกแกอยู่ ดีมาก ไม่ได้ถูกรังแก!”
จิ่งหนิงก็รู้สึกมีความอึดอัดเล็กน้อยเช่นกัน เธอหน้าแดงอยู่ รีบเช็ดน้ำตาเช็ดแล้วเช็ดอีก ผลักลู่จิ่งเซินออกเดินไปยังข้างนอก
เปิดประตูห้องออก เป็นอย่างที่คิดไว้เห็นซาลาเปาน้อยทั้งสองจริงจังเต็มใบหน้า ยืนอยู่นอกประตูจริงๆ
เห็นเธอออกมาแล้ว อานอานดึงจิ่งหนิงเข้าไปทันที
เป็นห่วงพินิจพิเคราะห์เธอขึ้นลงก่อนหนึ่งที สังเกตเห็นตาของเธอแดงอยู่ รีบเอาใจใส่พูดว่า “หม่ามี๊ ท่านร้องไห้แล้วจริงๆใช่หรือไม่? แด๊ดดี้รังแกท่านเหรอ? ฮึ ถ้าหากแด๊ดดี้รังแกท่าน ท่านบอกกับพวกเรา พวกเราจะไปแก้แค้นให้ท่าน!”
พูดอยู่ ก็จะพุ่งเข้าไปในห้องนอน
จิ่งหนิงรีบดึงพวกเขาไว้ เพียงรู้สึกน่าขำเหลือเกิน
ความเศร้าโศกเสียใจเต็มอกในเมื่อกี้รวดเดียวก็ถูกคนให้เจือจางแล้ว
เธอยิ้มพูดว่า “อย่าพูดเหลวไหล แด๊ดดี้ของพวกแกไม่ได้รังแกฉัน! พวกเราทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ล่ะ ตอนนี้เวลาดึกแล้ว พวกแกยังอยู่ข้างนอกได้ยังไงล่ะ? ไม่ต้องนอนเหรอ?”
เธอตั้งใจหน้าบึ้ง แกล้งทำจริงจัง
ใครจะรู้ว่าซาลาเปาน้อยทั้งสองรู้จักนิสัยของเธอมานานแล้ว ไม่กลัวเธอเลยสักนิด
อานอานพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องไปโรงเรียน ตามกฎเกณฑ์ฉันสามารถนอนดึกหน่อยได้”
จิ่งหนิงคิดดู ดูเหมือนก็ใช่
พรุ่งนี้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ตอนที่ไม่ต้องไปโรงเรียนสามารถนอนดึกหน่อยได้
จากนั้นเอาสายตาจ้องไปยังจิ้งเจ๋อน้อยที่อยู่ข้างๆอีก
อย่าเห็นว่าจิ้งเจ๋อน้อยปีนี้เพิ่งอายุสี่ขวบกว่า แต่เจ้าเล่ห์ฉลาดเฉียบแหลมแล้วนะ
เขาหมุนลูกตาหมุนแล้วหมุนอีกพูดว่า “พี่สาวไม่ต้องไปโรงเรียน สามารถนอนดึกได้ จิ้งเจ๋อน้อยฉลาดมาก หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยผมเรียนจบมานานแล้วล่ะ ผมก็สามารถนอนดึกได้เช่นกัน”
จิ่งหนิงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อดไม่ไหว พู่ หัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง
อยู่มานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นมีใครชมตนเองฉลาด ชมอย่างมีเหตุผลจนพูดได้เต็มปากเต็มคำขนาดนี้มาก่อน
แต่สิ่งที่ซาลาเปาน้อยทั้งสองพูดก็เป็นเรื่องจริง พวกเขาทั้งสองล้วนเป็นเด็กที่ทั้งฉลาดทั้งเอาใจเก่ง ไอคิว อีคิวล้วนสูงมาก ยามปกติไม่ต้องให้จิ่งหนิงเป็นห่วงมากเลยสักนิด
ดังนั้นจิ่งหนิงก็ไม่อยากเข้มงวดกับพวกเขามากเกินไปเช่นกัน