เข้าสู่ป่า
เมื่อม่านพลังเคลื่อนย้ายปล่อยลำแสงสีขาวสว่างจ้าออกมา โม่เทียนเกอแปะเครื่องรางป้องกันบนตัวของนางอย่างไม่ลังเล
สถานที่นี้แตกต่างจากหุบเขาหมีอู้ ไม่ว่าจะดีหรือแย่ หุบเขาหมีอู้นั้นได้รับการดูแลโดยผู้อาวุโสจากทั้งสามกลุ่มผู้ฝึกตน ถึงแม้ว่าจะมีสัตว์ปีศาจแต่พวกมันก็ไม่ได้มีมากนัก อีกอย่างหุบเขานั้นถูกปกคลุมไว้ด้วยกำแพงอาคมบางอย่าง ตราบใดที่แผ่นจารึกประจำตัวถูกแยกออกจากตัว ศิษย์คนนั้นก็จะไม่พบจุดจบด้วยการตาย
อย่างไรก็ตาม ในป่าของเขาลูกนี้ ชะตาของพวกเขาล้วนคาดเดาได้ยาก หลังจากที่พวกเขาถูกส่งเข้ามา ถ้าพวกเขาปรากฏตัวต่อหน้าสัตว์ปีศาจและโดนกัดเข้า โอกาสในการรอดชีวิตของพวกเขาไม่สามารถรับประกันได้ ซ้ำในตอนนี้ยังมีเรื่องวุ่นวายรุนแรงแฝงอยู่ระหว่างศิษย์ทั้งสามกลุ่ม ประกอบกับความเป็นจริงที่บางคนมีพฤติกรรมที่ไร้ซึ่งศีลธรรมในการที่จะแสวงหาผลประโยชน์ พวกเขาอาจจะต้องยอมสละชีวิตไว้ ณ ที่แห่งนี้
เพราะนางคาดเดาไว้นานก่อนหน้านี้นานแล้วว่าการเดินทางครั้งนี้จะอันตราย นางได้แลกของส่วนตัวของนางบางอย่างกับเครื่องรางจากฉินซี ฉินซีได้ฝึกการวาดเครื่องรางมาระยะหนึ่งแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จบ้าง แต่ก็มีหลายชิ้นที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน เขาไม่ได้สนใจเครื่องรางพวกนี้มากนัก เพราะเขาเองยังมีอีกมากพอ ดังนั้นอีกสามคนที่เหลือจึงแลกสิ่งของกับเครื่องรางของเขาจนมากพอควร
โม่เทียนเกอไม่ได้มีศิลาวิญญาณเหลือมากนัก ดังนั้นนางจึงใช้อุปกรณ์บางอย่างในการแลกเปลี่ยนกับเขา เขาไม่ได้ติดใจอะไรนักเพราะเขากำลังจับจดอยู่กับการปรุงยาและขัดเกลาเครื่องมือ ดังนั้นเขาตอบรับการแลกเปลี่ยนของนางอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
นางค่อนข้างมีความกังวลในการเตรียมตัวสำหรับการเดินทางครั้งนี้ นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่ร่ำรวยนัก ศิลาวิญญาณที่นางใช้ช่วงที่นางฝึกตนนั้นเป็นของรางวัล หรือไม่ก็เป็นกำไรที่นางได้มาจากการขายม่านพลังของนาง เพราะความสามารถพื้นฐานโดยธรรมชาติของนางไม่ได้ดีนัก นางจึงต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากในการฝึกตน จริงๆ แล้วสำหรับการแข่งขันย่อยของทั้งสามกลุ่มนั้น ท่านอารองเป็นคนที่เตรียมเครื่องรางและยาวิเศษให้นางด้วยการขายของของเขา สำหรับนางแล้ว นางไม่ได้มีของที่มีค่ามากนัก
นางมีศิลาวิญญาณเหลือเพียงหนึ่งร้อยอันและนางเลือกที่จะเก็บไว้เพราะจะต้องนำไปใช้สำหรับการวางม่านพลัง นางยังคงมีพืชวิญญาณบางชนิดและวัตถุวิญญาณบางอย่าง แต่ของส่วนมากถูกนำไปแลกกับศิลาวิญญาณแล้ว ของที่ยังเหลืออยู่ไม่ได้มีค่ามากพอที่จะนำไปขาย นางมีเครื่องรางน้อยลงและไม่ควรที่จะนำไปแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งศิลาวิญญาณ นอกเหนือไปจากสิ่งของพวกนี้ล้วนเต็มไปด้วยของที่นางเองก็ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้อย่างไร ฉินซีรู้จักของบางอย่างและแลกเครื่องรางของเขากับของพวกนั้น ในขณะที่ของบางอย่างเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นของเกี่ยวกับอะไรเช่นกัน
ยังคงมีไข่มุกที่นางได้มาจากชายของกลุ่มอัน ขนาดของมันคร่าวๆ เทียบเท่ากับกำปั้นของเด็ก และนางก็สัมผัสได้ว่ามันมีพลังวิญญาณอยู่ภายในนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าไข่มุกชิ้นนี้คืออะไร
ดังนั้น จากของที่เหลืออยู่ของนาง เครื่องมือวิญญาณบางอย่างยังถือได้ว่าเป็นของมีค่า ซึ่งส่วนมากนางได้มาจากชายของกลุ่มอันเมื่อสามปีที่แล้ว และนางยังไม่กล้าพอที่จะวางขายในตลาด อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางควรกังวลตอนนี้ อย่างน้อยที่สุด การเตรียมตัวของนางสำหรับการเดินทางครั้งนี้ก็มากเกินพอแล้ว
เมื่อนางถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในป่า โม่เทียนเกอรีบสำรวจพื้นที่รอบๆ ตัวนาง โชคดีที่ไม่มีเหล่าสัตว์ปีศาจหรือสิ่งที่คล้ายๆ กันในบริเวณนี้ ด้วยความรู้สึกโล่งใจ นางเดินทางต่อไปด้านหน้า วินาทีต่อมา นางรู้สึกว่าเท้าของนางก้าวลงไปบนอากาศก่อนที่ร่างกายของนางจะตกลงอย่างรวดเร็วไปที่พื้นด้านล่าง นางรีบใช้วิชาตัวเบา หาพื้นที่สำหรับเหยียบและกระโดดขึ้นไปจนถึงพื้นด้านบน
นี่เป็นพื้นที่สูงชันมาก เพราะมีเถาวัลย์พันอยู่ไปทั่วพื้นที่ พื้นที่ทางด้านหน้าของนางดูเหมือนเป็นพื้นแข็งซึ่งความจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่เถาวัลย์ที่เกี่ยวติดกันเท่านั้น
โม่เทียนเกอตีหน้าผากตัวเอง นี่เป็นการเตือนปลอมๆ นางสำรวจรอบๆ ตัว แต่นางลืมสำรวจบริเวณพื้นดิน ดูเหมือนว่านางจะต้องระมัดระวังตัวมากกว่านี้ในอนาคต
นางถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้หนาทึบ เหนือหัวของนางเต็มไปด้วยเถาวัลย์ที่แขวนอยู่เต็มไปทั่ว ในขณะที่พื้นดินนั้นถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้แห้งทับถมกันจนหนา ยากที่จะมองหาทางเดินในนี้
นางหยิบหยกบันทึกที่จารึกแผนที่ของสถานที่นี้ออกมาจากชุดคลุมของนาง แต่นางพบว่าแผนที่นั้นทำอย่างคร่าวเกินไป ด้วยการที่ไม่มีจุดเด่นของพื้นที่นี้ นางไม่สามารถรู้ได้ว่านางอยู่จุดไหนบนแผนที่นั้น นางทำได้เพียงแค่ยอมแพ้ ซ่อนลมปราณของนางด้วยความระมัดระวัง หยิบกระบี่ป่าขจีของนางออกมาเพื่อเปิดทางให้กับตัวเองผ่านป่านี้ไป
สำหรับนางผู้ที่ฝึกวิชาของธาตุไม้ การมาที่นี่นั้นทำให้นางได้เปรียบ พลังวิญญาณธาตุไม้ในป่านี้เข้มข้นมาก ถ้านางจำเป็นที่จะต้องใช้มัน พลังของนางจะแข็งแกร่งมากขึ้น
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณด้านหลัง ในขณะที่นางกำลังมุ่งมั่นอยู่กับการสำรวจรอบๆ ตัว นางหลบออกไปจากทาง ใช้กระบี่ป่าขจีพยุงตัวเองเพื่อหันกลับมาด้านหลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ของนาง
ความจริงแล้วมันคืองูปีศาจหัวแบนหลากสี
นางขนลุกขนพองทันทีที่ได้เห็น นางคิดว่านางเป็นคนที่กล้าหาญ ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับงูปีศาจแบบนี้ นางก็รู้สึกอยากจะอาเจียนเล็กน้อย ทว่าคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก งูปีศาจตัวนี้มีแรงผลักดันค่อนข้างมาก ถ้านางไม่ได้ตั้งสติให้นิ่งมากพอและต้องจบชีวิตอยู่ในขากรรไกรคู่นั้นของมัน คงจะเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงยิ่งขึ้นไปอีก
งูตัวนี้ยาวมากกว่าหนึ่งจั้ง ขอบขากรรไกรเล็กและขรุขระ และมีหัวที่แบน ลิ้นของมันเคลื่อนไหวเข้าออกจากปากอย่างรวดเร็ว สายตามืดมนและเยือกเย็นจ้องเขม็งมาที่นาง แรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากตัวมัน ทำให้รู้ว่ามันคือสัตว์ปีศาจระดับแรก
ทันใดนั้น มันกระโจนพร้อมกับพ่นพิษสีดำเข้าหานาง
ในช่วงเวลานี้ เครื่องรางป้องกันบนร่างกายของนางทำหน้าที่ของมัน พิษตกลงสู่พื้นก่อนที่จะเข้าถึงตัวนาง หลังจากการโจมตีครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม กำแพงป้องกันบนร่างกายของนางสั่นสะท้านเหมือนกับจะแตกละเอียดได้ทุกเวลา นางไม่เสี่ยงด้วยการติดเครื่องรางป้องกันอีกอันบนตัวของนาง ภายหลังจากที่นางทำเช่นนั้น นางรีบจัดการกับกระบี่ป่าขจีด้วยการบังคับให้มันพุ่งตรงเข้าไปที่จุดตายของงูตัวนั้น
งูปีศาจตัวนี้คล่องแคล่วว่องไวมาก มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปานสายฟ้า บางครั้งยืดตัว บางครั้งหดตัวเพื่อตั้งรับกับกระบี่ป่าขจีของนาง
ในขณะที่โม่เทียนเกอกวัดแกว่งกระบี่ป่าขจีด้วยความระมัดระวัง นางก็หยิบเมล็ดพันธุ์บางอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพ ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่มันกำลังวุ่นวายกับกระบี่ป่าขจี นางขว้างเมล็ดพันธุ์ไปด้านหน้า เมื่อเมล็ดเหล่านี้สัมผัสเข้ากับตัวงูนั้น พวกมันก็โตขึ้นมาเป็นหนามเพลิงขดพันไปรอบงูปีศาจตัวนี้ ภาพที่เห็นทำให้นางรู้สึกสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมา นางก็ต้องตกใจขีดสุดจนแทบจะตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง
งูตัวนั้นกำลังดิ้น แต่หนามเพลิงเหล่านั้นไม่สามารถทะลวงผ่านผิวของมันได้เลย ในทางกลับกัน เพียงแค่มันตวัดหาง หนามเพลิงเหล่านั้นก็ลอยกระเด็นไปบนอากาศ
ปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอเคร่งเครียดขึ้นมาทันที สิ่งที่นางประหลาดใจคือ เกล็ดของหนังงูตัวนี้แข็งมากขนาดที่หนามเพลิงไม่สามารถที่จะเจาะทะลุเข้าไปได้
หลังจากที่หลบหลีกกระบี่ป่าขจี สัตว์ปีศาจตัวนี้ก็หันหัวพุ่งเข้าหานาง มันพ่นบางอย่างออกมาจากปลายลิ้น แต่แทนที่จะพ่นพิษออกมา มันกลับพ่นหมอกหนาออกมาแทน
นางรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันที นี่คงจะเป็นหมอกพิษ! นางเพิ่มความรอบคอบมากขึ้น ในขณะที่พยายามกลั้นหายใจ นางก็หยิบยาออกมาจากกระเป๋าเอกภพและโยนเข้าไปในปาก เมื่อยาฟื้นคืนสติ เริ่มออกฤทธิ์ สติของนางเริ่มกลับมาชัดเจนขึ้น
ด้วยกลัวว่าการต่อสู้นี้จะกินเวลานาน นางจึงหยิบเครื่องรางออกมาแล้วโยนไปที่ร่างของงูปีศาจ
คลื่นน้ำขนาดใหญ่สูงตระหง่านตกลงบนร่างของงูปีศาจพร้อมกับจับตัวกลายเป็นน้ำแข็งทันที ส่งผลให้มันเคลื่อนไหวได้ช้าลงทันใด กระบี่ป่าขจีพุ่งทะยานด้วยความเร็วไปด้านหน้า “ฉึก!” มันแทงทะลุเกล็ดโจมตีเข้าสู่จุดตายอย่างแม่นยำ
งูปีศาจบิดร่างกายของมันจนเป็นเกลียว แต่มันก็ไม่สามารถหลุดออกจากทั้งน้ำแข็งและกระบี่ป่าขจีได้ จนในที่สุดมันก็หยุดหายใจและนอนสิ้นใจไปอย่างสงบ
โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเรียกกระบี่ป่าขจีกลับคืนพร้อมเช็ดทำความสะอาด นางมองไปยังน้ำแข็งที่จับตัวอยู่บนร่างของซากงูปีศาจด้วยความเสียดาย เครื่องรางเยือกแข็งนั้นไม่ใช่ของถูกเลย
อันตรายนั้นแฝงอยู่ได้ทุกมุมของป่านี้ นี่เป็นเพียงแค่งู แต่ก็ทำให้นางรู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างหนักและทำให้นางต้องใช้เครื่องรางเยือกแข็งออกไป!
กล่าวถึงซากงูที่นอนตายอยู่บนพื้น จริงๆ แล้วโม่เทียนเกอนั้นรู้สึกหนักใจ ผู้อาวุโสที่สำนักย้ำกับพวกนางก่อนที่จะออกเดินทางมาว่าให้นำซากสัตว์ปีศาจกลับไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม งูตัวนี้มันดูช่างน่าขยะแขยง นางไม่สามารถแม้แต่จะรวบรวมความกล้าเพื่อแตะมันได้เลย
หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หยิบกระเป๋าหนังออกมาจากกระเป๋าเอกภพ ใช้กระบี่ป่าขจีในการยกซากนั้นขึ้นมา แล้วโยนซากนั้นเข้าไปในกระเป๋าหนัง จากนั้นรีบปิดกระเป๋าและโยนมันกลับเข้าไปในกระเป๋าเอกภพทันที
เมื่อจัดการเสร็จสิ้นแล้ว นางก็กำหนดเส้นทางอย่างระมัดระวัง แล้วเริ่มก้าวไปข้างหน้าเพื่อออกไปจากป่าอันกว้างใหญ่นี้
ภายในป่าที่หนาทึบ ลำธารไหลคดเคี้ยวผ่านไปในทุ่งโล่งที่ชอุ่มไปด้วยน้ำจากลำธาร ทุ่งโล่งนั้นงดงามไปด้วยดอกไม้ป่า มันคือความงามในพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างแท้จริง
แม้กระนั้น ทิวทัศน์ที่สวยงามนี้ได้ถูกทำลายไปจากการปรากฏตัวของชายสองคน
ชายผู้หนึ่งใส่ชุดคลุมสีม่วงในขณะที่อีกคนใส่เสื้อคลุมสีเหลือง แต่ที่ปลายแขนเสื้อของพวกเขานั้นปักสัญลักษณ์เดียวกัน ทั้งสองคนต่างจ้องมองกันอย่างโหดเ**้ยม
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงส่งเสียง “ฮึ่ม” พร้อมพูดด้วยความโกรธ “ศิษย์แห่งจินเตา! เจ้ากล้าซุ่ม โจมตีข้าคนนี้เชียวหรือ!”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนดูไม่สะทกสะท้านและน้ำเสียงของเขาเรียบเฉยเมื่อพูดว่า “ช่างโง่เขลายิ่งนัก ข้าซุ่มโจมตีท่านแล้วอย่างไร”
หน้าของชายหนุ่มบูดเบี้ยวไปด้วยความโกรธในความไร้ซึ่งมารยาทของผู้ฝึกตนคนนั้น “เจ้า!!! ข้าเป็นถึงศิษย์แห่งสำนักจื่อซย่าใหญ่ในขณะที่เจ้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนจากโรงเรียนที่ถูกทำลายจนสิ้น เจ้าไม่เกรงกลัวว่าจะถูกตำหนิเลยหรือ”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ “ถ้าเพียงข้าทำอย่างไร้ร่องรอย ใครจะสืบกลับมาหาได้กัน”
“เจ้า!!!” ชายหนุ่มสบถด้วยความเดือดดาล เป็นไปได้ว่าในเมื่อเขาไม่มีประสบการณ์มากพอ และไม่เคยต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ตลอดระยะเวลาแห่งการฝึกตน เขาจึงถูกยั่วยุได้ง่าย ในขณะนั้น เขาควบคุมเครื่องมือวิญญาณในมือของเขาให้พุ่งตรงเข้าไปสู่ผู้ฝึกตนวัยกลางคน
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนหลบหลีกด้วยความระมัดระวัง ในขณะที่ใช้เครื่องมือวิญญาณของเขา เขาแอบหยิบเครื่องรางออกมาอย่างลับๆ
ทั้งสองคนเป็นผู้ฝึกตนระดับสิบ ในชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาแลกการโจมตีกันและสู้กันอย่างสูสี
ในขณะนั้นเอง ใครบางคนก็ออกมาจากป่า ชายผู้นั้นใส่ชุดคลุมสีดำ
เมื่อเห็นชายสองคนกำลังสู้กัน สีหน้าชายคนนั้นเปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ในที่สุดเขาก็หยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพและโยนไปที่ชายคนหนึ่ง
โม่เทียนเกอกำลังเดินตามเสียงธารน้ำไหล จนเมื่อความผันผวนของพลังวิญญาณหลายอย่างดึงความสนใจของนางเข้า นางซ่อนตัวอย่างระมัดระวังก่อนที่จะเดินไปยังพื้นที่ต่อสู้นั้น
ในพื้นที่โล่งข้างลำธาร ศิษย์แห่งสำนักจื่อซย่าและโรงเรียนจินเตากำลังต่อสู้กันด้วยพลังเวท ในขณะที่มุมหนึ่งของป่า ศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ท่าทางดุดันขว้างเครื่องมือวิญญาณของเขาออกไปทางด้านหน้า
“อ๊าก!!!” เสียงกรีดร้องน่าสยองขวัญ ศิษย์สำนักจื่อซย่าล้มลงจมกองเลือด ไร้ซึ่งลมหายใจ
ศิษย์ทั้งจากโรงเรียนจินเตาและสำนักอวิ๋นอู้ต่างถอนหายใจ พวกเขาไม่สู้กัน แต่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรต่อกัน หลังจากแบ่งสิ่งของของศิษย์สำนักจื่อซย่าและเผาศพลบร่องรอยเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง
โม่เทียนเกอหลบอยู่ในป่า ตัวเปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ สิ่งที่สวีจิ้งจือกังวลอยู่นั้นในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว ศิษย์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของโรงเรียนจินเตาและสำนักอวิ๋นอู้ร่วมมือกันฆ่าศิษย์ของสำนักจื่อซย่าที่อยู่ตัวคนเดียวเพื่อระบายความเกลียดของพวกเขา
นางจินตนาการได้อย่างชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต คนที่ฆ่าศิษย์สำนักจื่อซย่าจะลงมืออีกครั้ง และเมื่อเกิดซ้ำขึ้นบ่อยๆ ศิษย์สำนักจื่อซย่าจะรับรู้ได้ว่าสหายร่วมสำนักถูกทำร้าย ด้วยความโกรธที่เกิดขึ้น พวกเขาจะแก้แค้นทั้งสองกลุ่ม หลังจากนั้น ทั้งสามกลุ่มจะเข้าร่วมการต่อสู้ ความเสียหายจะมีมากจนไม่อาจนับได้
แน่นอนอยู่แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ไม่เพียงแต่ต้องปกป้องตัวเองจากสัตว์ปีศาจในป่า ทว่าพวกนางจะต้องคอยระวังตัวจากผู้ฝึกตนกันเองด้วย