หลังจากวางม่านพลังอำพราง โม่เทียนเกอซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในม่านพลังกำลังจ้องมองแผ่นหยกบันทึกในมือนางพร้อมกับถอนหายใจ
นางรู้สึกว่านางยิ่งเลือดเย็นมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป นางยังจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก นางมักจะชอบอ่านหนังสือในห้องสมุดของโถงบรรพบุรุษเสมอ ในตอนนั้น นางชื่นชมเหล่าวีรบุรุษที่หนังสือพวกนั้นเขียนถึงเป็นอย่างมาก นั่นคือวีรบุรุษนักกระบี่ที่มีศิลปะการต่อสู้โดดเด่นและออกท่องเที่ยวไปทั่วโลก บัดนี้ที่นางได้เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่นางกลับพบว่าตัวนางไม่อาจจะเทียบกับวีรบุรุษตามแม่น้ำและทะเลสาบในโลกมนุษย์ได้เลย
บางทีอาจจะกล่าวได้ว่านี่คือกฎเหล็กของโลกแห่งการฝึกตน มีเพียงเซียนเท่านั้น หาใช่วีรบุรุษ ความยุติธรรมเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ผลประโยชน์นั้นคงอยู่ไม่สิ้นสุด
พอคิดถึงเรื่องนี้ นางก็อดนึกขำตัวเองไม่ได้ เหตุใดนางต้องหาข้ออ้างให้ตัวเองด้วย ตราบใดที่จิตใจนางรู้แน่ชัดแล้วว่าอะไรที่นางสามารถทำได้หรือทำไม่ได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว นางไม่อยากจะเป็นคนไม่ดี แต่ก็ไม่อยากจะทำอะไรเกินตัวเพื่อเป็นคนดีเช่นกัน เรื่องบางเรื่องก็ควรที่จะปล่อยไปดีกว่าหากนางไม่มีพลังมากพอในการรับมือกับมัน หาไม่แล้วไม่เพียงแต่การกระทำของนางจะไร้ประโยชน์ แต่ยังอาจก่อให้เกิดหายนะถึงตายต่อตัวเองได้ นอกจากนี้ ในโลกที่ทุกคนให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตัวเองเป็นอันดับแรก นางไม่คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คนผู้เดียวที่นางสามารถควบคุมได้ก็คือตัวนางเอง
เมื่อสงบจิตสงบใจลง โม่เทียนเกอแยกส่วนจิตสัมผัส และใส่เข้าไปในหยกบันทึกแผ่นนี้ซึ่งเต็มไปด้วยคำต่างๆ ที่อัดแน่นอยู่ เมื่อนางอ่านผ่านดูคร่าวๆ นางก็ต้องประหลาดใจถึงขั้นสุด เนื้อหานั้น… เกี่ยวกับยาเพิ่มพลังการก่อเกิด ที่คนพวกนั้นพูดถึงอย่างแน่นอน!
ในหยกบันทึกเขียนไว้ว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดเป็นยามหัศจรรย์ที่ถูกส่งต่อมาจากสมัยยุคอดีตอันไกลโพ้น ถ้าใช้ร่วมกับยาวิเศษอื่น มันสามารถทำให้ฤทธิ์ของยาวิเศษนั้นมีพลังมากขึ้นไม่ว่าผู้ใช้ยาจะอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือดินแดนจิตวิญญาณใหม่ก็ตาม สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือวัตถุดิบส่วนใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำยานี้ไม่ได้แปลกพิสดารอะไรเลย แม้ว่าอายุของพืชวิญญาณที่จำเป็นบางอย่างอาจจะต้องมีอายุเก่าแก่มาก
นอกเหนือจากฤทธิ์ของยาแปลกประหลาดท้าทายอำนาจสวรรค์บางชนิด ประโยชน์ของยานี้ก็แทบจะไม่มีอะไรเทียบเคียงได้! จากสิ่งที่เขียนอยู่ในหยกบันทึก การทานยาหนึ่งเม็ดระหว่างการสร้างฐานแห่งพลังหรือการก่อแก่นขุมพลังจะเท่ากับการเพิ่มโอกาสำเร็จ
โม่เทียนเกอตื่นเต้นมากเสียจนนางรู้สึกค่อนข้างมึนหัว นางสงสัยว่าผู้ฝึกตนคนที่เจียงเฉิงเสียนฆ่านั้นไปได้ยามาจากที่ไหน นอกจากนั้นแล้วเจียงเฉิงเสียนรู้ได้อย่างไรว่าเขามียานี้
นางต้องใช้เวลาสักพักเพื่อดึงสติกลับมา จากนั้นจึงคิดถึงปัญหาอีกหลายข้อ ข้อแรก ในเมื่อฤทธิ์ของยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนั้นมีเอกลักษณ์อย่างมาก นางไม่สามารถปล่อยให้ใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แน่ มิเช่นนั้น ชีวิตน้อยๆ ของนางอาจตกอยู่ในอันตราย ข้อที่สอง นางไม่สามารถปรุงยาเองได้ แต่ในเมื่อความรู้เกี่ยวกับยานี้ไม่อาจยกให้ใครได้ หรือนางควรจะเรียนเรื่องการปรุงยาด้วยตัวเองเสียเลย
ปัญหาข้อแรกยังจัดการได้ง่าย นางไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวด ดังนั้นนางจึงแค่จำต้องเก็บสูตรยานี้ไว้ให้ดี ปัญหาข้อที่สองนั่นล่ะที่ทำให้นางค่อนข้างรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง
กฎของการปรุงยานั้นไม่ธรรมดา อาจารย์ปรุงยาต้องคิดหาพืชวิญญาณมากมาย มีความรู้ความเข้าใจอย่างดีในวัตถุดิบเหล่านั้น มีความเข้าใจที่ดีในการควบคุมความร้อน หรือแม้แต่มีการจัดการเวลาที่ดีรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะเปิดเตาหลอม มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างถ่องแท้ด้วยทฤษฎี แต่คนผู้นั้นต้องผ่านกระบวนการปรุงหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญอย่างช้าๆ เพราะฉะนั้น อาจารย์ปรุงยาผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปมักจะเกิดมาจากในกลุ่มการฝึกตนหรือเผ่าผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียง แทบไม่เคยเห็นอาจารย์พวกนี้ในหมู่กลุ่มการฝึกตนเล็กๆ หรือผู้ฝึกตนเดี่ยว และต่อให้มี อัตราความสำเร็จของพวกเขาก็มักจะต่ำมาก
แม้ว่าโม่เทียนเกอจะรู้สึกว่านางถือว่าค่อนข้างร่ำรวย แต่การเรียนด้วยตัวเองเพื่อให้กลายเป็นอาจารย์ปรุงยาด้วยศิลาวิญญาณเพียงสามพันอันก็ยากที่จะทำให้สำเร็จได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่รู้ด้วยว่านางมีความสามารถหรือไม่
หลังจากศึกษาแผ่นหยกบันทึกนั้นมาสักพัก จู่ๆ นางก็นิ่วหน้า นางเก็บหยกบันทึกและมองออกไปยังภายนอกม่านพลัง สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมาทางนี้
ในไม่ช้า มีใครบางคนกำลังวิ่งอย่างรีบร้อนมาจริงๆ เสียด้วย เขาคือเจียงเฉิงเสียน!
หลังจากครุ่นคิดเรื่องต่างๆ โม่เทียนเกออนุมานว่าเจียงเฉิงเสียนคงกลับมาเอาแผ่นหยกบันทึกที่อยู่ในมือนางแน่ เมื่อคนพวกนั้นตาย เขาคงจะประหม่าและรีบออกไป พอตอนนี้ที่เขาคิดทบทวนสิ่งต่างๆ แล้ว เขาคงกลับมาเพื่อตามหาหยกบันทึกแผ่นนั้น
แม้กระนั้นก็ตาม ในเมื่อหยกบันทึกตอนนี้ตกอยู่ในมือนาง นางไม่เอาออกมาแน่นอน นางคิดว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในถ้ำนั้น เขาจึงไม่น่าจะเจออะไร
นางสงบจิตใจและรอคอย แน่นอนว่าหลังจากผ่านไปสักพัก เจียงเฉิงเสียนก็กลับออกไปด้วยท่าทางฉุนเฉียว ไม่ได้รับรู้ถึงตัวนาง “นกกระจิบ” ที่กำลังแอบตาม “ตั๊กแตน” อย่างเขาเลยแม้แต่น้อย
ด้วยรอยยิ้มบางๆ นางจึงศึกษาสูตรยาต่อไป ที่จริงแล้วนางไม่ได้ให้ค่ากับเจียงเฉิงเสียนอะไรมากนัก เขาเป็นเพียงคนที่ไม่มีอะไรดี แค่มีผู้อาวุโสที่ทรงอำนาจ เขามีทั้งพื้นฐานการฝึกตนและทรัพย์สมบัติ แต่เขากลับไม่ชอบฝึกตนและชอบสั่งคนอื่นทำนั่นทำนี่แทน ทักษะของเขาในการต่อสู้ด้วยพลังเวทไม่ได้เรื่อง ความจริงที่ว่านางตามเขามาตั้งนานแต่เขาก็ยังไม่รับรู้ถึงตัวตนของนางนั้นก็เป็นหลักฐานได้มากพออยู่แล้ว
จากสิ่งที่เขียนไว้ในสูตรยา ดอกต่านหิมะ หญ้ากักพลังหยาง และดอกบัวเจ็ดกลีบล้วนเป็นพืชวิญญาณสามัญทั่วไปทั้งสิ้น มีเพียงแค่เห็ดหลินจือสีม่วงอายุมากกว่าห้าร้อยปีและต้นเฟิร์นอินทรีดำที่น่าจะหาได้ยาก
ขณะที่นางศึกษาสูตรยา นางก็ตระหนักว่าการผลิตยาเพิ่มพลังการก่อเกิดคงไม่ง่ายเหมือนอย่างที่จินตนาการเอาไว้ พืชวิญญาณสองชนิดอายุมากกว่าห้าร้อยปีไม่น่าจะหาได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะล้มเหลวในระหว่างกระบวนการปรุงยาอีก… ในช่วงเวลาปกติ นางไม่มีเงินมากพอหาซื้อยานี้แน่นอน แต่ถ้านางกำลังพยายามข้ามผ่านสภาวะติดขัดหรือก้าวไปสู่ดินแดนถัดไป นางจะต้องได้ครอบครองยานี้
หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็อดจะรู้สึกดีใจไม่ได้ แม้ว่าความเร็วในการฝึกตนของนางจะไม่รวดเร็วนัก แต่ก็ยังถือว่าอยู่ระดับเดียวกับผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณสามธาตุ ความยากสำหรับพวกเขาก็คือการบรรลุผ่านเข้าไปสู่ดินแดนถัดไป ซึ่งเหมือนกับสถานการณ์ปัจจุบันของนาง แต่สูตรยาวิเศษนี้จู่ๆ ก็มาปรากฏขึ้นทันเวลาที่จะใช้ร่วมกับยาสร้างฐานแห่งพลังของนางพอดีเลยไม่ใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงอยากกลับไปและปรึกษาท่านอารอง หรือบางทีนางอาจจะเรียนรู้การปรุงยาวิเศษด้วยตัวเอง เมื่อไหร่ที่นางได้ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนี้มา นางก็จะมีความมั่นใจในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
ด้วยความคิดเช่นนี้ นางเก็บแผ่นหยกบันทึกและนั่งลงเพื่อทำสมาธิ
เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับพลังวิญญาณในร่างกายของนาง นางจึงกลัวที่จะฝึกตนต่อ อย่างไรก็ตาม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในตานเถียนและเส้นลมปราณของนาง และพลังวิญญาณมืดก็ยังไม่ได้ส่งผลอะไร นางจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
บริเวณนั้นอากาศเย็นและสว่างไสวไปด้วยแสงจันทร์ ในไม่ช้า นางก็เข้าสู่สภาวะเข้าฌาน นางสัมผัสได้ว่าร่างกายของนางหลอมรวมกับโลก ไม่มีความรู้สึก ความนึกคิด หรืออารมณ์ใดๆ แม้แต่ร่างกายนางก็ดูเหมือนจะไม่มีอยู่จริง สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ ราวกับว่าตัวนางคือขนนกที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ราวกับว่านางกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกที่แม้แต่เวลาก็หยุดหมุนและไม่มีอยู่จริง
ถึงเวลากลางวันแล้วเมื่อนางตื่นขึ้นจากสภาวะเข้าฌาน นางยืนขึ้นและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นใช้วิชาตัวเบาเพื่อรีบไปยังตลาดนัด โดยทั่วไปนางมักจะเดินทางอ้อมในตอนขากลับเพื่อเลี่ยงไม่ให้ผู้คนสังเกตเห็นว่านางมาจากตรงไหน
เมื่อนางกลับมาที่โรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อร์ก็เข้ามาทักทายนางทันที “ท่านผู้เป็นเซียนกลับมาแล้ว! มีแขกมาหาท่านขอรับ”
“งั้นรึ” โม่เทียนเกอคิดว่าน่าจะเป็นเทียนเฉี่ยวเพราะพวกนางนัดกันไว้เมื่อวานนี้ ดังนั้นนางจึงถามทันที “แขกอยู่ที่ไหน”
เสี่ยวเอ้อร์เดินนำไปอย่างนอบน้อมขณะที่ตอบว่า “เป็นคุณหนูน่ะขอรับ นางยังคอยอยู่ เชิญทางนี้ขอรับ”
หลังจากเดินนำขึ้นไปชั้นบน เสี่ยวเอ้อร์เปิดม่านของห้องส่วนตัว แน่นอนว่าแขกคือเทียนเฉี่ยว เมื่อเห็นโม่เทียนเกอเข้ามาในห้อง เทียนเฉี่ยวซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าต่างจึงยิ้มให้
โม่เทียนเกอยิ้มให้กลับ แต่นางก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกในทันใดเมื่อเห็นสายตาที่มองแปลกๆ ของเสี่ยวเอ้อร์ ตอนนี้นางกำลังใส่เสื้อผ้าของผู้ชาย ในขณะที่เทียนเฉี่ยวแต่งตัวเหมือนหญิงที่แต่งงานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งสองคนกลับดูไม่เหมือนสามีภรรยากัน… เสี่ยวเอ้อร์คนนี้คงจะคาดเดาไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา
ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงหยิบทองออกมาให้กับเสี่ยวเอ้อร์พร้อมบอกว่า “ขอบใจ”
ทองก้อนนี้มีน้ำหนักประมาณสองเหลี่ยง [1] ทำให้เสี่ยวเอ้อร์มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าทันที เขาพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เป็นไรเลยขอรับ นายท่านต้องการอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่ บอกข้าได้ไม่ต้องเกรงใจ”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าและบอกว่า “ไม่ละ เจ้าไปได้”
เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าด้วยท่าทางประจบประแจงก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ออกไปแล้ว เทียนเฉี่ยวจ้องโม่เทียนเกอและพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าใจดีมากนะที่ให้ทองได้โดยง่าย…”
โม่เทียนเกอหัวเราะ “ตรงไหนของข้าที่ใจดีหรือ แค่ของในโลกมนุษย์อย่างทองพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินสำหรับผู้ฝึกตน ไปที่ห้องของข้ากันเถอะ”
เทียนเฉี่ยวพยักหน้าและตามโม่เทียนเกอไปที่ลานด้านหลัง หลังจากพวกเขาเข้าห้องไปแล้ว นางพูดอย่างระมัดระวังว่า “ข้าอยากจะขอบคุณเจ้าอีกครั้งสำหรับยาวิเศษเมื่อวานนี้”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าและบอกว่า “เมื่อวานเจ้าก็ขอบคุณข้าแล้ว เจ้าจะสุภาพขนาดนี้กับข้าจริงๆ หรือ”
“ข้าต้องสุภาพสิ! เมื่อวานสามีข้าบอกว่ายาวิเศษพวกนั้นคือยาผสานพลังวิญญาณ ขวดหนึ่งก็มีราคาอย่างต่ำสองร้อยศิลาวิญญาณแล้ว เราคงต้องเปิดร้านค้าเล็กๆ ของเราทั้งปีเพื่อให้ได้เงินจำนวนเท่านั้น สิ่งที่เจ้าให้มามันมีค่ามากเกินไป”
เมื่อเห็นว่าเทียนเฉี่ยวยังยืนกรานหนักแน่น โม่เทียนเกอไม่มีทางเลือกจึงต้องบอกว่า “ตกลง ข้ายอมรับคำขอบคุณของเจ้า อันที่จริง ถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ข้าก็คงจะลังเลที่จะมอบให้เจ้าเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว เท่าที่รู้ ยาวิเศษของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณพวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ข้าจึงเอาออกมาให้เป็นของขวัญสำหรับการพบกัน เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก”
เทียนเฉี่ยวไม่สามารถหุบยิ้มได้หลังจากได้ยินคำพูดของโม่เทียนเกอ “เจ้าเพิ่งจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ใจดี แต่เจ้าทำเหมือนว่าศิลาวิญญาณหลายร้อยอันนั้นไม่ได้มีราคามากมายด้วยซ้ำ… ถ้าเจ้ายังพูดเช่นนี้อีก อีกหน่อยข้าจะมาขอให้เจ้าเลี้ยงข้าวนะ ในอนาคตระวังไว้ด้วยล่ะ”
โม่เทียนเกอประหลาดใจ ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ยิ้มให้กัน เห็นพ้องกันไปโดยปริยายว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
“จริงสิ! ข้าเตรียมของบางอย่างมาให้เจ้า” เทียนเฉี่ยวกล่าว นางยกห่อที่อยู่ในมือนางขึ้นมา
“คืออะไรหรือ”
เทียนเฉี่ยวไม่ได้ตอบ นางเผยรอยยิ้มมีเลศนัยและแกะห่อต่อไป ภายในห่อนั้นมีหวี กระจก เครื่องประดับผมหลายชนิดและต่างหูอยู่ท่ามกลางของอื่นๆ อีกหลายอย่าง
โม่เทียนเกอรู้สึกงุนงงจึงพูดว่า “ของพวกนี้คือ…”
เทียนเฉี่ยวดึงโม่เทียนเกอขึ้นมาและดันตัวนางไปที่โต๊ะ ขณะที่นางหยิบกระจก เทียนเฉี่ยวก็พูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเจ้าแต่งตัวเป็นผู้ชายมาสิบปีแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงลืมแล้วว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างไร เมื่อก่อนนั้นเจ้าเป็นคนช่วยข้ามาตลอด ตอนนี้ปล่อยให้ข้าได้ช่วยเจ้าแต่งตัวบ้างสักครั้งนะ”
“อ๋า”
“นั่งตัวตรง” เทียนเฉี่ยวปล่อยผมของโม่เทียนเกอสยายลงมาและพูดด้วยความชื่นชม “พวกเจ้าผู้ฝึกตนนี่ใช้ชีวิตง่ายดายจริงๆ เจ้าไม่ต้องพยายามมากในการรักษารูปร่าง ดูผมเจ้าสิ! ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่เคยใส่ใจดูแลผม แต่ถึงอย่างนั้น ผมเจ้าก็ยังเรียบลื่นและจัดทรงง่ายขนาดนี้!”
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เจ้าก็เป็นคนที่เกิดมาหน้าตาสะสวย เจ้าพูดถึงข้าทำไมล่ะ”
“ถึงแม้จะเกิดมาเป็นคนสวย ข้าก็ยังต้องแต่งตัวแต่งหน้าให้สวย ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ธรรมดาก็ไม่อาจเทียบได้กับคนจากโลกแห่งการฝึกตน ลองคิดดูสิ มีผู้หญิงหน้าตาน่าเกลียดในหมู่ผู้ฝึกตนบ้างหรือไม่ ทุกคนล้วนเป็นคนสวย เจ้ารอดูเถอะ ข้ารับประกันเลยว่าเดี๋ยวอีกสักครู่เจ้าจะต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจเมื่อเจ้าเห็นตัวเอง!” พูดจบ เทียนเฉี่ยวก็เคลื่อนไหวด้วยความว่องไว เริ่มหวีและจัดแต่งผมของโม่เทียนเกอ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอก็ค่อนข้างประหลาดใจจริงๆ เมื่อนางจ้องมองเงาของตัวเองในกระจก
ใบหน้าในกระจกดูมีชีวิตชีวา มีทั้งความนุ่มนวลและสง่างามที่ผู้ชายไม่มี เช่นเดียวกับความกล้าหาญและองอาจที่ผู้หญิงขาดไป การผสมผสานกันของบุคลิกลักษณะเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของนางยิ่งดูสวยงามและมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
เทียนเฉี่ยวเข้ามาใกล้พร้อมกับความพึงพอใจ นางจ้องมองใบหน้าคล้ายคลึงกันของทั้งสองที่สะท้อนอยู่ในกระจกและพูดว่า “ตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็ก ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าดูดีกว่าข้า ดูตัวเจ้าตอนนี้สิ เจ้าสวยมาก”
ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอส่ายหน้าและบอกว่า “แบบนี้… ข้ารู้สึกแปลก”
“อย่านะ!” โม่เทียนเกอกำลังจะเช็ดหน้าของนาง แต่เทียนเฉี่ยวรีบผลักมือของนางออก เทียนเฉี่ยวถามด้วยความสับสน “ข้าต่างหากที่รู้สึกแปลก ทำไมเจ้าต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายด้วย ข้าอยู่ในคุนอู๋มาเกือบสามปีและเห็นผู้ฝึกตนหญิงมากมาย แม้ว่าพวกนางจะเทียบกับผู้ฝึกตนชายไม่ได้ก็จริง แต่คนในโลกแห่งการฝึกตนก็เคารพคนที่แข็งแกร่ง ผู้ฝึกตนหญิงที่ทรงพลังจึงได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน คนไม่กล้าที่จะรังแกพวกนาง”
คำถามนี้ทำให้โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มขมขื่น นางกล่าวว่า “ตอนนี้ข้ายังห่างไกลจากการเป็นคนที่แข็งแกร่งน่ะ มีผู้ฝึกตนชายมากมายที่ทรงพลังและถ้าพวกเขาหนึ่งหรือสองคนต้องการที่จะ… ข้าไม่อยากเป็นหญิงบำเรอหรือร่างเตาหลอม”
เทียนเฉี่ยวจึงตอบว่า “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า แต่ผู้ฝึกตนชายระดับสูงแทบจะไม่เคยปรากฏกายข้างนอกและเจ้าก็มีสำนักคอยหนุนหลังอยู่ น่าจะไม่มีใครกล้าบังคับขืนใจเจ้า ใช่ไหม อีกอย่าง สามีข้าเคยบอกว่าถึงแม้ผู้ฝึกตนจะไม่อาจมี ‘จิตใจบริสุทธิ์และความปรารถนาเพียงน้อยนิด’ แต่พวกเขาก็ยังพยายามที่จะอดกลั้นความปรารถนาทางโลกของพวกเขาเอาไว้ มีเพียงแค่พวกตัณหากลับที่มีอำนาจเท่านั้นล่ะที่อยากจะได้หญิงบำเรอ ส่วนเรื่องร่างเตาหลอมนั้น ทุกคนที่ใช้ร่างเตาหลอมจะถูกเหยียดหยามในหมู่คนจากฝ่ายธรรมะ เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้มีหลายคนนักที่อยากใช้ร่างเตาหลอม”
แน่นอนว่าโม่เทียนเกอเข้าใจสถานการณ์ได้แจ่มแจ้งกว่าเทียนเฉี่ยว แต่…
นางถอนหายใจและบอกว่า “เจ้าเข้าใจหรือเปล่าว่าการฝึกตนร่วมสัมพันธ์คืออะไร”
เทียนเฉี่ยวพยักหน้า
โม่เทียนเกอกล่าวว่า “แม้ว่าการฝึกตนร่วมสัมพันธ์จะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย แต่ข้าไม่ยอมให้ตัวข้าเสียทางเลือกไปหรอก” นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อไป “นอกจากนี้ คนที่ใช้ร่างเตาหลอมถูกเหยียดหยามก็เพราะผลประโยชน์ของการใช้ร่างเตาหลอมไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ถ้าผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับนั้นยิ่งใหญ่มากพอ พวกเขาก็คงไม่สนใจว่าจะโดนดูถูกจากคนอื่นๆ หรือไม่”
เทียนเฉี่ยวรู้สึกว่ามีความลับในคำพูดของโม่เทียนเกอ นางจึงถาม “เจ้าหมายความว่า…”
เทียนเกอลังเลเล็กน้อย ท่านอารองบอกว่านางต้องไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด แต่นี่คือเทียนเฉี่ยว… จากนั้นนางจึงพูดว่า “ร่างกายของข้าค่อนข้างพิเศษ เห็นได้ชัดว่าร่างของข้านั้นเหมาะสำหรับการฝึกตนร่วมสัมพันธ์หรือการเป็นร่างเตาหลอม ดังนั้น… ข้าไม่ถือสาอะไรที่ให้เจ้ารู้เรื่องนี้ แต่เจ้าห้ามบอกสามีเจ้าเด็ดขาด ข้าจะมีปัญหาใหญ่แน่ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า”
การเน้นย้ำเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้โม่เทียนเฉี่ยวตกใจ “มันรุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าอย่างจริงจัง นางยินดีจะบอกเทียนเฉี่ยวก่อนเพราะมิตรภาพของพวกนางนั้นแตกต่างและนางก็เชื่อว่าเทียนเฉี่ยวจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ อีกอย่าง เทียนเฉี่ยวคงจะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ฝึกตนคนอื่นนอกเสียจากเมิ่งซือกุย ผู้ที่โม่เทียนเกอไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร
นอกจากนี้ เทียนเฉี่ยวและสามีของนางก็ไม่รู้ว่านางอยู่กลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มไหน พวกเขารู้จักนางด้วยชื่อสุดแสนจะธรรมดาอย่าง “เยี่ยเสี่ยวเทียน” เท่านั้น เพราะฉะนั้น ต่อให้ข่าวเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ผู้คนก็คงไม่สามารถตามตัวนางเจอได้เร็วนัก ยิ่งไปกว่านั้น นางตั้งใจมานานแล้วว่าจะแยกตัวออกจากสำนักอวิ๋นอู้หลังจากนางสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้แล้ว
——
[1] 1 เหลี่ยง เท่ากับประมาณ 50 กรัม