แว่วเสียงดังมาจากภายในเตาหลอมยา โม่เทียนเกอหยุดไฟตานเถียนของนางและเปิดเตาหลอมดู
กลิ่นยาแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นเหม็นไหม้ ส่วนพืชวิญญาณก็กลับกลายเป็นกากของเสีย
นางส่ายหน้า เทกากของเสียทิ้งและล้างเตาหลอมด้วยน้ำที่ตักมาจากอ่างหิน ก่อนที่นางจะใส่วัตถุดิบจำนวนพอเหมาะลงไปในเตาหลอมอีกครั้งและปรุงยาต่อไป
แม้ว่าถ้ำเซียนของนางจะเล็กแต่ก็มีทุกอย่างที่นางต้องการ น้ำจากบ่อน้ำพุใสบริสุทธิ์มีอยู่ท่วมท้นในยอดเขาวสันต์กระจ่าง น้ำบางส่วนยังไหลย้อนกลับมันจึงไหลเข้าสู่ห้องปรุงยา ทำให้กระบวนการปรุงยาสะดวกมากขึ้น สภาพแวดล้อมที่ดีและพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยมเช่นนี้ทำให้โม่เทียนเกอเห็นว่าการปรุงยานั้นเครียดน้อยลงกว่าเดิม การที่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงในระหว่างกระบวนการปรุงยา เช่นเดียวกับการเก่งขึ้นในขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าเพลิดเพลินใจมาก
เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่นางมาที่โรงเรียนเสวียนชิง ตอนนี้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ที่นี่นางมีถ้ำเซียนของตัวเองและได้คำแนะนำจากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แถมนางยังไม่ต้องลำบากใจกับตัวตนของนางเอง ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิและได้รับยาวิเศษและศิลาวิญญาณค่อนข้างมากในแต่ละเดือน เมื่อท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินแจกจ่ายส่วนแบ่งของเหล่าศิษย์ นางยังได้รับส่วนแบ่งของตัวเองด้วย ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการรับงานกิจธุระและสามารถจดจ่ออยู่กับการฝึกตนอย่างเดียวได้
เมื่อนางมาถึงที่นี่ตอนแรก อาจารย์ลุงเสวียนอินก็ประเมินสภาวะการฝึกตนของนางและบอกให้นางแปลงพลังวิญญาณทั้งหมดของนางไปเป็นพลังหยินก่อนที่นางจะสร้างฐานแห่งพลัง ทุกวันนี้นางได้ทำตามคำแนะนำของอาจารย์ลุงเสวียนอินและค่อยๆ ทำให้พลังวิญญาณเข้มข้นขึ้น ในเวลาว่าง นางก็จะค่อยๆ พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับการปรุงยาให้มากขึ้น
นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางอารมณ์ดีหรือเพราะพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยม แต่อัตราความสำเร็จในการปรุงยาของนางเพิ่มขึ้นมาก ทุกวันนี้อัตราความสำเร็จในการปรุงยาสามัญทั่วไปนั้นมากถึงสี่ส่วนแล้ว
การบรรลุผลสำเร็จขนาดนี้ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานของอาจารย์ปรุงยาทั่วไป ทำให้ความมั่นใจในตัวเองของนางเพิ่มมากขึ้น… อันที่จริง ทักษะในการปรุงยาของข้าก็ไม่ได้แย่นะ
ส่วนเรื่องลานสมุนไพรที่อยู่ด้านหลังถ้ำของนาง นางได้ขอเมล็ดพันธุ์บางอย่างมาจากหลัวเฟิงเสวี่ยและปลูกมันไว้ที่นั่น อย่างไรก็ตาม พืชสมุนไพรพวกนี้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีก่อนที่จะนำมาใช้งานได้
นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้ นางก็ยังได้พบกับศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้หญิงคนอื่นๆ อีกมากมายหลายคน
ภายใต้ความดูแลของอาจารย์ลุงเสวียนอินไม่ค่อยมีศิษย์ผู้หญิงมากนัก แม้จะรวมหลัวเฟิงเสวี่ยแล้วก็ยังมีศิษย์ผู้หญิงทั้งหมดเพียงแค่สามคน ซึ่งศิษย์อีกสองคนเข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว
ศิษย์พี่ผู้หญิงคนที่อาวุโสที่สุด หันชิงอวี้ มีอารมณ์มั่นคง มักปฏิบัติกับคนอื่นด้วยจิตใจดี ตามคำกล่าวของหลัวเฟิงเสวี่ย ศิษย์พี่ใหญ่นางนี้เป็นที่ชื่นชอบในหมู่สหายศิษย์ด้วยกัน ศิษย์ผู้หญิงคนอื่นๆ ก็เข้ากับนางได้ดี หลัวเฟิงเสวี่ยบอกว่าถ้าโม่เทียนเกอเจอปัญหาอะไรในอนาคต การถามศิษย์พี่ใหญ่นางนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ดีอย่างแน่นอน
ศิษย์ผู้หญิงคนที่สอง เว่ยจยาซือ มีนิสัยค่อนข้างทะนงตน ตอนที่โม่เทียนเกอเจอนาง เว่ยจยาซือพูดตรงๆ ว่านางต้องการจะฝึกตนและกลับเข้าถ้ำไป ตามคำกล่าวของหลัวเฟิงเสวี่ย ศิษย์พี่รองนางนี้เข้าใจว่าตัวนางเก่งกว่าคนอื่นมาโดยตลอด เพราะอย่างนั้นนางเลยอาจจะอิจฉาที่โม่เทียนเกอถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ลงนามจากท่านปรมาจารย์ นางจึงแสดงท่าทางด้านลบเมื่อพวกเขาเจอกัน ถึงอย่างนั้น คนที่ทะนงตนมักจะมีอารมณ์ที่ตรงไปตรงมา เว่ยจยาซือจะไม่เริ่มรังแกคนอื่นก่อน ดังนั้นโม่เทียนเกอก็แค่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ไปยั่วโมโหนางเข้า
โม่เทียนเกอแค่หัวเราะและมองข้ามเรื่องจุกจิกพวกนี้ไป ย้อนไปที่สำนักอวิ๋นอู้ หลักการใช้ชีวิตของนางเมื่อนางมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์คนอื่นๆ ก็คือ “คนที่ยิ้มแย้มจะไม่โดนหาเรื่อง” นางฝืนตัวเองให้ทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มและหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดความเกลียดชังใดๆ สถานการณ์ของนางตอนนี้ดีกว่าที่สำนักอวิ๋นอู้สิบเท่า เพราะงั้นทำไมนางจะต้องมากังวลกับเรื่องขี้ปะติ๋วอย่างท่าทางเย็นชาของเว่ยจยาซือด้วยเล่า?
สำหรับฉินซี ตั้งแต่เขาพานางมาที่นี่ ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้แม้แต่จะทักทายกัน อย่าว่าแต่เจอกันเลย โม่เทียนเกอเคยถามหลัวเฟิงเสวี่ยถึงสถานการณ์ของฉินซี หลัวเฟิงเสวี่ยตอบว่าอาจารย์ลุงของนางสบายดีและได้เข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิหลังจากเขากลับมาวันนั้น แต่ดูเหมือนนางจะไม่ยอมบอกอะไรโม่เทียนเกอมากไปกว่านี้
เรื่องนี้ทำให้โม่เทียนเกอเสียใจเล็กน้อย นางรู้อยู่แล้วว่าโรงเรียนเสวียนชิงคือโรงเรียนที่แท้จริงของเขาและเขาสนิทกับคนที่นี่มากกว่านาง แต่…
ในทางกลับกัน สถานการณ์เช่นนี้ก็ทำให้นางโล่งใจ ถึงแม้ว่านางจะถูกรับเข้ามาโดยท่านปรมาจารย์จิ้งเหอในฐานะศิษย์ลงนาม แต่ก็ยังมีความแตกต่างอยู่มากระหว่างสถานะของนางกับฉินซี หากพวกเขาไม่ได้เจอกันในอนาคต เช่นนั้นนางก็คงจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกแปรปรวนที่นางมีต่อเขาได้อย่างง่ายดายและหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่อารมณ์ของนางจะกลายเป็นมารภายในจิตใจในอนาคต
อันที่จริง เพราะนางไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน นางก็สงสัยเหมือนกันว่านี่เป็นความรู้สึกปกติระหว่างชายและหญิงหรือไม่ นางเพียงแค่คิดว่าฉินซีค่อนข้างพิเศษสำหรับนางมากกว่าคนอื่นเพราะนางมีความสุขมากเมื่อได้เจอเขาและไม่ค่อยเต็มใจเมื่อต้องแยกจากกัน แต่เมื่อคิดอีกที นางก็ไม่ได้คิดว่าการไม่ได้เจอฉินซีจะถึงกับอดรนทนไม่ได้ขนาดนั้น เมื่อนางรับรู้ถึงเรื่องนี้ นางก็สับสนกับความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างมาก
บางทีความกังวลของนางอาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ บางทีนางอาจจะแค่รู้สึกซาบซึ้งเพราะฉินซีมาช่วยนางไว้เมื่อนางตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง อีกอย่าง เมื่อนางต้องเสียท่านอารองไป ฉินซีก็เป็นคนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนนาง บางทีนางอาจจะแค่เอาความรักที่นางมีต่อท่านอารองไปลงที่เขา
ภายในห้องปรุงยา กลิ่นสมุนไพรค่อยๆ แรงขึ้นทีละน้อย เมื่อสัมผัสได้ว่ายาวิเศษภายในเตาหลอมเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง โม่เทียนเกอจึงหยุดฝันกลางวันและเริ่มคำนวณ วินาทีที่นางรู้สึกว่ามีการควบคุมที่ดีแล้ว นางจึงเปิดฝาเตาหลอมยา
ยาวิเศษสีอ่อนหลายเม็ดอยู่ที่ก้นเตาหลอม แต่ละเม็ดทั้งใสและโปร่งแสง โม่เทียนเกอหยิบมันขึ้นมาและแกว่งมันอยู่ในมือสักพักก่อนที่นางจะเอาใส่ขวดหยกเล็กๆ ด้วยความพึงพอใจ
วัตถุดิบที่นางซื้อจากสำนักเทียนเต้าถูกใช้ไปจนหมดสิ้นและทักษะการปรุงยาของนางก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน แม้แต่ยาวิเศษธรรมดาพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับนางอีกต่อไป ตอนนี้นางสามารถที่จะหัดปรุงยาวิเศษที่มีระดับสูงขึ้นอีกเล็กน้อยได้แล้ว
แม้ว่านางจะปรุงยาวิเศษพวกนี้เสร็จแล้ว แต่นางก็ยังคงอยู่ในห้องปรุงยาเพื่อปรับลมปราณของนางสักครู่ ตั้งใจว่าจะออกเดินทางไปข้างนอกหลังจากนางทำเสร็จแล้ว
นอกเหนือจากเมืองเล็กๆ ที่ตีนเขา โรงเรียนเสวียนชิงยังมีตลาดนัดเล็กๆ ภายในที่ดินของโรงเรียนซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเหล่าศิษย์โดยเฉพาะ ร้านค้าทั้งหมดที่นั่นดูแลโดยทางโรงเรียน ผู้อุปถัมภ์ของตลาดนัดก็เป็นศิษย์ผู้ที่ต้องการที่จะเอาของของตัวเองออกมาขายหรือไม่ก็ซื้อของดีๆ ในราคาถูก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการทำธุรกรรมที่นี่มีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก
นางยังปรับลมปราณไม่เสร็จเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวจากม่านพลังภายนอกถ้ำของนาง ทันใดนั้นเครื่องรางกระจายเสียงก็ลอยเข้ามาในถ้ำ
ทันทีที่นางรับมา เครื่องรางก็ลุกไหม้อย่างฉับพลัน สะท้อนเสียงที่คุ้นเคยเข้าหูนางว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าอยู่ข้างนอก”
หัวใจนางสั่นไหวเล็กน้อย แต่แทนที่จะยิ้ม หน้าของนางกลับบึ้งตึง เฮ้อ นางไม่อยากจะเจอฉินซีตอนนี้เลยจริงๆ …
อย่างไรก็ตาม เขามาอยู่ที่หน้าประตูของนางแล้ว จะเป็นไปได้หรือที่นางจะไม่เจอเขา นางทำได้เพียงถอนหายใจ ลุกขึ้น จัดชุดให้เรียบร้อย และพยายามจะยิ้มให้เป็นปกติ หลังจากที่นางมั่นใจแล้วว่าอารมณ์ของนางมั่นคงนางจึงเดินไปสู่ทางเข้าถ้ำ
เมื่อนางเปิดประตู ก็ต้องเจอกับภาพชายหนุ่มในชุดคลุมแขนกว้างกำลังยืนเอามือไพล่หลัง การจัดท่าทางของเขาทั้งสูงสง่าและตัวตรง นางไม่สามารถเห็นอะไรได้นอกจากแผ่นหลังของเขา แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงพลังที่หนักแน่นของเขา
ชายหนุ่มมองทอดสายตาไปยังที่ไกล ไม่แน่ชัดนักว่าเขาจ้องมองอะไรกันแน่ เขาหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด
เมื่อเขาหันกลับมา โม่เทียนเกอถึงกับตะลึงงัน
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางมีใบหน้าที่นางรู้จักดี แต่กระนั้นเขากลับให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่นางจ้องเขา นางก็อดที่จะรู้สึกงุนงงไม่ได้ ชุดคลุมสีดำของสำนักอวิ๋นอู้ของศิษย์ทั่วไปนั้นธรรมดาแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดสักหน่อย แล้วทำไมศิษย์พี่ฉินคนนี้ถึงไม่เป็นที่สนใจในตอนนั้นนะ เสื้อผ้าของเขาแทบจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ตอนนี้เขากลับดูมีท่าทางที่งดงามและสง่า
โม่เทียนเกอยังไม่ได้พบกับท่านประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอ แต่ถ้านางได้พบเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจะต้องคิดว่ารูปลักษณ์ของฉินซีในตอนนี้มีบางอย่างคล้ายคลึงกับท่านประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอแน่
ในขณะที่โม่เทียนเกอสำรวจหน้าตาของฉินซี เขาก็พินิจมองนางเช่นกัน ความประหลาดใจวาบผ่านดวงตาของเขา เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ ที่ไม่เคยดูเป็นผู้หญิงเลยสักครั้ง จะสามารถดูอ่อนช้อยและงดงามได้หลังจากที่นางใส่เสื้อผ้าของสตรี… อันที่จริง เขาเคยเห็นนางใส่เสื้อผ้าสตรีมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ด้วยว่านางอยู่ในสภาพที่น่าสงสารและเปลี่ยนกลับไปใส่เสื้อผ้าผู้ชายไม่นานหลังจากนั้น เขาจึงจำไม่ได้ว่านางดูเป็นอย่างไร
ความประหลาดใจของเขาคงอยู่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น หลังจากนั้น ด้วยท่าทีที่ดูเป็นธรรมชาติ เขายิ้มและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เทียบกับก่อนหน้านี้ เจ้าแต่งตัวเช่นนี้แล้วดูดีกว่ามาก”
คำชมที่จริงใจของฉินซีทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างอับอายกับความคิดที่นางสั่งสมอยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของเขาหรือวิธีที่เขาพูดคุยกับนาง ฉินซียังคงปฏิบัติกับนางในฐานะ “ศิษย์น้องเยี่ย”
เมื่อรู้สึกว่านางไม่จริงใจมากพอ นางจึงทำจิตใจให้ปลอดโปร่งและหยอกล้อเขาด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างที่นางเคยทำในอดีต “วันนี้ศิษย์พี่ฉินดูต่างไปนะ ข้ารู้สึกแปลกๆ ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงแต่งตัวอย่างกับเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมตอนที่อยู่ในสำนักอวิ๋นอู้เล่า”
ฉินซีอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนที่เขาจะระเบิดหัวเราะออกมา เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยม… การเปรียบเทียบนี้ใช้ได้เลย หลังจากเขาหยุดหัวเราะ เขาก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าค่อยโล่งใจหน่อย เจ้ายังปากดีเหมือนเคย…”
โม่เทียนเกอตกใจกับคำพูดของเขา ความรู้สึกอบอุ่นค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในหัวใจนางช้าๆ … นางสัมผัสได้ถึงความคิดที่ใจดีของฉินซี คำพูดของเขาไม่มีอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกระหว่างชายหญิง มันเป็นเพียงแค่ความห่วงใยที่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะอย่างนั้นมันจึงยิ่งทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกอบอุ่นยิ่งขึ้น
นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าความรู้สึกเช่นนี้ดีกว่าความรู้สึกระหว่างชายหญิงที่รบกวนจิตใจของนางมาโดยตลอดหรือไม่
“ศิษย์น้องเยี่ย”
เมื่อได้ยินเสียงเขา ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงรู้สึกตัวว่าทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าประตูของนางและรีบหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ฉินซี นางกล่าวว่า “ขอโทษศิษย์พี่ฉิน เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อน”
“ไม่จำเป็นหรอก” ฉินซีเหลือบตามองรอบๆ จากนั้นจึงพูดอย่างมีนัยว่า “ข้ามาเพื่อเอาของบางอย่างให้เจ้า”
มีศิษย์ผู้หญิงหลายคนอาศัยอยู่ใกล้ๆ นาง พอเข้าใจว่าฉินซีต้องการเลี่ยงการกระตุ้นความสงสัยของพวกเขา โม่เทียนเกอจึงไม่ได้ตอแยและแค่พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่ฉินมีสิ่งใดมาให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
จากกระเป๋าเอกภพของเขา ฉินซีเอากล่องเล็กๆ ขนาดครึ่งตารางฟุตที่ตกแต่งด้วยทองและหินล้ำค่าต่างๆ ออกมา เขาให้นางและบอกว่า “ข้าเข้าสู่การทำสมาธิปิดประตูแห่งจิตเพื่อทำให้ระดับดินแดนของข้าคงที่หลังจากที่กลับมาและไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่หลังจากข้าออกมาวันนี้ ข้าก็ตระหนักได้ว่าตัวตนของเจ้าเปลี่ยนไปแล้วและเจ้าอาจจะต้องการของพวกนี้”
สีหน้าเขาดูแปลกประหลาดมากและสายตาก็หลุกหลิก… ดูประหนึ่งเขา… กำลังเขินอาย!
โม่เทียนเกอซึ่งรู้สึกสับสนเป็นที่สุดรับกล่องมาด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตาม นางเปลี่ยนจากสับสนไปเป็นตะลึงเมื่อนางเปิดกล่องดู
ฉินซีกระแอมและพูดว่า “ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ มันเป็นแค่ของขวัญที่ส่งมาโดยกลุ่มชินในโลกมนุษย์ สำหรับพวกเราผู้ฝึกตนชาย เงิน ทอง หรือเพชรพลอยนั้นถือว่าไร้ประโยชน์และมักจะจบที่การถูกโยนทิ้ง อย่างไรก็ดี มันน่าจะเป็นของที่พวกเจ้าผู้ฝึกตนหญิงยังต้องการอยู่”
โม่เทียนเกอหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาจากในกล่อง มันทำมาจากหยกอุ่นสีเขียวอ่อนและมีประกายแวววาวสดใส แม้ว่ามันจะไม่ได้มีการตกแต่งที่มากเกินไปและดูธรรมดาแต่ก็ยังดูวิจิตรงดงาม ในใจนางไม่เคยคาดคิดเลยว่าหลังจากที่กลับคืนสู่ตัวตนของนางที่เป็นผู้หญิง จะมีใครบางคนที่มอบของขวัญเป็นเครื่องเพชรและเครื่องประดับของผู้หญิงให้กับนางเข้าจริงๆ
ถึงแม้ความรู้สึกของนางจะหวั่นไหว แต่นางก็แค่หายใจเข้าลึกๆ และปิดกล่อง นางเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณมาก ข้าไม่เคยใส่ของที่มีค่าขนาดนี้มาก่อนเลย”
เมื่อเห็นท่าทีตอบสนองอย่างใจเย็นของนาง ฉินซีจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกในที่สุด เขายิ้มและพูดว่า “มีค่ารึ มันก็แค่ของกระจุกกระจิกจากโลกมนุษย์เท่านั้นเอง ถ้าเจ้าคิดว่ามันมีประโยชน์ก็ดีแล้วล่ะ”
“จะไม่มีค่าได้อย่างไร นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รับเครื่องประดับ…” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็หยุดพูด นางรู้สึกว่าคำพูดนางออกจะ… ค่อนข้างกำกวม น่ารำคาญจริงๆ! นางเพิ่งจะตั้งใจว่าจะพูดคุยกับเขาอย่างเปิดใจไม่ใช่รึไง แล้วทำไมเรื่องต่างๆ มันผิดเพี้ยนไปอีกแล้วล่ะ
ฉินซีที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติพูดว่า “ข้าก็เดาไว้แบบนั้นเหมือนกัน ศิษย์น้องเยี่ย…” เขาหยุดครู่หนึ่งและส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ “ไม่ได้ล่ะ กับรูปลักษณ์ปัจจุบันของเจ้า เรียกเจ้าว่าศิษย์น้องเยี่ยไม่เหมาะเลย อืม… ศิษย์น้องโม่”
โม่เทียนเกอประหลาดใจและบอกว่า “นี่… ฟังดูแปลกนิดหน่อยนะ”
“เห็นด้วย…” ฉินซีกล่าว จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นและครุ่นคิดนิดหนึ่ง “หรือให้ข้าเรียกชื่อเจ้าโดยตรงดีหรือไม่ เสี่ยวเทียน ไม่สิ เทียนเกอ”
“หา” นี่…
ฉินซีกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เมื่อเขาเห็นสีหน้าของนาง “แค่หยอกเล่น แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเรียกเจ้าว่าอย่างไรดีในอนาคต”
นี่เป็นปัญหาจริงๆ เสียด้วย ในอนาคตเขาคงไม่สามารถเรียกนางว่า ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ ไปได้ตลอด คนอื่นๆ จะรู้สึกแปลกถ้าได้ยิน
“อืม… ที่จริงข้าก็ไม่ถือนะถ้าท่านจะเรียกชื่อข้าโดยตรง” ถึงอย่างไรเขาก็เรียกเฟิงเสวี่ยด้วยชื่อของนางเช่นกัน ดังนั้นต่อให้เขาเรียกโม่เทียนเกอด้วยชื่อของนาง คนอื่นก็คงไม่คิดว่าแปลกอะไร
“เจ้าไม่ถือหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าสามารถ…” เขาหยุดพูดและเหลือบมองไปที่ด้านข้างของนาง
ขณะนั้นเอง ใครบางคนออกมาจากหนึ่งในถ้ำเซียนที่อยู่ข้างๆ เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น คนผู้นั้นมองทั้งสองคนด้วยความสงสัย
คนนั้นคือศิษย์พี่รอง เว่ยจยาซือ
ฉินซีหันเหสายตากลับมาอย่างสงบนิ่ง เขายิ้มและพูดว่า “ข้าขอตัวกลับก่อน ครั้งหน้าถ้าเจ้าต้องการอะไร เจ้าส่งเครื่องรางกระจายเสียงมาหาข้าได้”
ด้วยการที่มีคนยืนมองจากด้านข้าง โม่เทียนเกอเลยไม่ดึงดันให้ฉินซีอยู่ต่อ นางพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณสำหรับวันนี้ จนกว่าเราจะพบกันใหม่…”
ฉินซีพยักหน้าและออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เมื่อเขาเดินไปไกลแล้ว โม่เทียนเกอจึงหันกลับและทักทายด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เว่ย”
สีหน้าของเว่ยจยาซือดูค่อนข้างแปลก นางดูตกใจ สับสน และไม่พอใจ ในตอนท้าย นางเพียงแค่เหลือบมองโม่เทียนเกอด้วยสายตาเฉยเมยจากนั้นจึงกลับเข้าไปในถ้ำของตัวเอง