ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 106 ซุบซิบนินทา
ในขณะที่โม่เทียนเกอกำลังป้อนยาบำรุงพลังจิตวิญญาณให้กับสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยของนาง นางแหงนหน้าขึ้นและเห็นลำแสงพุ่งผ่านท้องฟ้าจำนวนหนึ่ง
นางครุ่นคิดครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงย้ายสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยเข้าไปในหุบเขาเล็กๆ แล้วจึงออกจากถ้ำไป
หลังจากที่ภูเขาถูกปิดผนึก ม่านพลังป้องกันขุนเขาบนภูเขาไท่กังก็ได้เริ่มทำงาน เหลือทิ้งไว้เพียงแค่สองจุดที่ซึ่งสามารถเข้าและออกจากม่านพลังได้ ศิษย์คนที่ได้รับคำสั่งให้ฆ่าสัตว์ปีศาจจะเข้าและออกจากสำนัก ณ จุดนั้น อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากศิษย์หนึ่งร้อยคนที่ถูกสั่งให้ออกไปจากภูเขาตั้งแต่ต้นก็ไม่ค่อยได้มีคนที่จะเข้าและออกไปจากที่นี่อีก ลำแสงเหล่านั้นอาจจะเป็นผู้ฝึกตนที่ได้รับหน้าที่ในการกระจายข่าวก็เป็นได้
หลายวันได้ผ่านไปแต่ก็ยังไม่มีข่าวเพิ่มเติม เมื่อนึกถึงเยี่ยจิ่งเหวิน โม่เทียนเกอก็ใคร่ครวญพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงตัดสินใจไปที่โถงคนงาน
นางยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเข้าไปในโถงในขณะที่ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณสองคนที่เฝ้าประตูทักทายนาง “ท่านอาจารย์ลุงโม่”
โม่เทียนเกอยิ้ม ตอนนี้นางได้สร้างฐานแห่งพลังของนางแล้ว นางก็ได้กลายเป็น “ท่านอาจารย์ลุง” สำหรับพวกเขา นางเหลือบมองไปยังโถงคนงานและถาม “มีข่าวอันใดเกี่ยวกับการจลาจลของสัตว์ปีศาจบ้างหรือไม่”
ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณคนหนึ่งถามกลับ “ท่านอาจารย์ลุงมาเพื่อถามถึงข่าวหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว สหายเก่าแก่ของข้าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ออกไป เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าสถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างไรในตอนนี้”
ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณสองคนหันมองหน้ากันเองก่อนที่คนหนึ่งจะตอบ “ท่านอาจารย์ลุง พวกข้าเองก็ไม่ทราบมากนัก พวกข้าทราบเพียงว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ท่านอาจารย์ลุงไม่ควรบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณยังไม่รับรู้อะไร”
“อื้อ ข้ารู้ ในเมื่อสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก แล้วมีผู้บาดเจ็บบ้างหรือเปล่า”
“ดูเหมือนว่าจะมี ท่านอาจารย์ลุงอย่าได้วิตกไป ในอีกไม่ช้าท่านจะได้รับข่าวจากท่านอาจารย์ลุงหลัวอย่างแน่นอน”
คาดว่าศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณเหล่านี้คงไม่กล้าให้ข้อมูลรั่วไหลมากนัก โม่เทียนเกอจึงหยุดถามและพูดเพียงแค่ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอบใจพวกเจ้ามาก”
ไม่นานหลังจากที่นางกลับมาจากโถงคนงาน ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินก็ได้เรียกรวมศิษย์ทุกคนให้ไปที่ถ้ำเซียนของเขา
โม่เทียนเกอรีบไปยังถ้ำของเขา เมื่อนางไปถึงนางเห็นว่าศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเดินทางมากันแทบทุกคนแล้ว ต่างยืนอย่างสงบด้วยท่าทางที่ดูวิตกกังวล
นางค่อยๆ เดินไปทางด้านข้างหลัวเฟิงเสวี่ย หลัวเฟิงเสวี่ยส่ายหน้าให้โม่เทียนเกอพร้อมกับถอนหายใจ
เมื่อเห็นความอ่อนล้าของหลัวเฟิงเสวี่ย หัวใจโม่เทียนนั้นจมดิ่งและความกังวลปรากฏออกมาบนหน้าของนางทันที
เมื่อศิษย์ทุกคนมารวมอยู่ทั้งหมดแล้ว ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินก็ได้ลืมตาขึ้น ท่าทางของเขานั้นดูเคร่งขรึม “พวกเจ้าอาจจะรู้ว่าสถานการณ์จลาจลของสัตว์ปีศาจนั้นไม่สู้ดีนัก ข้าให้พวกเจ้ามาที่นี่เพราะข้ามีเรื่องที่ต้องบอกกับพวกเจ้า เฟิงเสวี่ย…”
หลัวเฟิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นพร้อมก้าวออกมาทางด้านหน้า “เจ้าค่ะท่านอาจารย์
“เจ้าอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาได้”
หลัวเฟิงเสวี่ยตอบ “เจ้าค่ะ” ก่อนที่จะหันกลับมาเผชิญหน้ากับศิษย์คนอื่น ด้วยท่าทางขึงขังนางพูด “ศิษย์พี่ชายและหญิงทั้งหลาย โถงคนงานได้รับข่าวจากศิษย์ที่ออกไปจากภูเขาวันนี้ ท่านอาจารย์ลุงหันอวี้แห่งยอดเขาล่องเมฆาเสียชีวิตแล้ว”
ปฏิกิริยาของทุกคนเปลี่ยนไปในทันที พวกเขารู้ว่าการตายของผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังหมายความว่าอย่างไร สงครามครั้งนี้ต้องดุเดือดเป็นอย่างมาก อันดับต่อไปจะต้องเป็นการส่งความช่วยเหลือออกไปอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็นคราวของท่านอาจารย์ของพวกเขาก็เป็นได้…
หลัวเฟิงเสวี่ยพูดต่อ “ท่านประมุขผู้อาวุโสสูงสุดได้ตัดสินใจที่จะส่งศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งออกไปเพื่อสมทบกับกลุ่มแรก จำนวนคนจะเทียบเท่ากับครั้งที่แล้ว แต่ละยอดเขาจะส่งผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังหนึ่งคน ศิษย์หัวกะทิจำนวนหนึ่งและศิษย์ทั่วไปอีกประมาณสิบคนออกไป ทุกอย่างได้ถูกตัดสินแล้วว่ายอดเขาวสันต์กระจ่างท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะเป็นคนไป ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไม่ได้มีศิษย์ในสังกัด ดังนั้นศิษย์ระดับหัวกะทิที่จะไปกับเขาจะถูกเลือกจากหมู่พวกเรา”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนที่ถูกส่งออกไปครั้งล่าสุดจะไม่ได้มีชื่อเสียงนัก แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาก็ไม่ได้น้อยเลย เห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนั้นว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายนัก อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นศิษย์ที่ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นระดับการฝึกตนหรือพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา เขาได้รับการนับถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังในโรงเรียนเสวียนชิง เป็นเวลาไม่นานนักตั้งแต่สงครามได้เริ่มต้นขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาต้องการที่จะส่งท่านออกไปน่ะหรือ ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะแย่มากจริงๆ
คนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวนางต่างคิดเช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งหลายกระซิบกับคนข้างเคียง ดูเหมือนจะร้อนใจและกังวลไปพร้อมๆ กัน
“หากเป็นเช่นนั้น” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดทำให้ศิษย์ทุกคนหยุดกระซิบ เขาจึงถาม “ในหมู่พวกเจ้ามีใครบ้างสมัครใจที่จะไป”
มีศิษย์มากกว่าสิบกว่าคนอยู่ ณ บริเวณนั้นแต่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวตอบรับ เวลาผ่านไประยะหนึ่งในที่สุดใครคนหนึ่งก้าวออกไปด้านหน้าพร้อมถาม “ท่านอาจารย์สถานการณ์ในตอนนี้แย่มากเลยหรือ”
ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะไม่ปิดบังพวกเจ้า ข่าวมาจากทางด้านนอกว่าผู้บาดเจ็บของศิษย์ในกลุ่มแรกที่ออกไปมีมากถึงสามส่วนแล้ว ออกไปตอนนี้นับได้ว่าเป็นอันตรายนัก” หลังจากนั้นเขามองไปทางศิษย์ทุกคนก่อนที่จะพูด “ศิษย์ที่อยู่ระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังไม่จำเป็นต้องไป”
โม่เทียนเกอรีบแอบชำเลืองมองไปรอบๆ ทุกคนต่างดูประหลาดใจ ท่านอาจารย์ของพวกเขาเพิ่งพูดว่าศิษย์ระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังไม่จำเป็นต้องไป… เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานการณ์นั้นอันตรายถึงขีดสุด
เทียบกับศิษย์ทั่วไป ศิษย์ระดับหัวกะทิอย่างพวกเขานั้นอาจจะมีความเหนือชั้นกว่าในวิชาการต่อสู้และพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เห็นแก่ตัวมากกว่าและเห็นค่าชีวิตของตนเองมาก่อน การที่ถามให้พวกเขาอาสาสมัครมันเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก
เวลาผ่านไปนานและยังคงไม่มีใครที่ก้าวออกมาทางด้านหน้า ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินขมวดคิ้วและพูดด้วยความรำคาญ “ไม่มีใครสมัครใจไปเลยรึ”
“ท่านอาจารย์” เสียงผู้หญิงดังออกมาอย่างชัดเจน “ข้าไปเองเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมองผู้นั้นและต้องตะลึง อย่างไม่คาดคิดนั่นคือศิษย์พี่รองของนาง เว่ยจยาซือ! ด้วยความสัตย์จริง โม่เทียนเกอไม่ได้มีความประทับใจต่อศิษย์พี่เว่ยมากนัก ถึงแม้ว่าความสามารถของนางจะดี แต่พฤติกรรมของนางนั้นหยิ่งยโส ในแต่ละวันส่วนมากนางไม่ค่อยที่จะมองเข้าไปในคนอื่น อีกอย่างโม่เทียนเกอเองก็รู้สึกว่าศิษย์พี่เว่ยนั้นชอบดูถูกนางเสมอ
แต่นางไม่คาดคิดว่าศิษย์พี่เว่ยจะมีความกล้าเพียงนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานการณ์อันตรายอย่างที่สุด แต่นางก็ยังอาสาที่จะไป!
เมื่อเห็นเว่ยจยาซือสมัครใจ ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน เขาพูด “จยาซือ เจ้าจะทำได้ดี มีใครยินดีที่จะไปอีกหรือไม่”
โม่เทียนเกอหันไปมองรอบๆ เว่ยจยาซือยังคงมีความสงบนิ่งบนใบหน้า ยังคงมีความมุ่งมั่นในสายตาของนาง เป็นไปได้หรือไม่ว่านางมีเหตุผลบางอย่างทำให้นางตัดสินใจไป
“ท่านอาจารย์ ข้า… ข้ายินดีไป”
“ข้าด้วย”
หลังจากครู่หนึ่ง ศิษย์อีกสองคนจึงเสนอตัวไป เผยให้เห็นรอยยิ้มยินดีของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน เขาพูด “ดี ดีมาก! พวกเจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมสงครามเพื่อโรงเรียน ในฐานะอาจารย์ของพวกเจ้า ข้ายินดียิ่งนัก ที่เหลือกลับไปได้ พวกเจ้าสามคนอยู่ก่อน”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ ท่านอาจารย์”
“เทียนเกอ ไปเถอะ” เมื่อพวกเขาขอตัวลา หลัวเฟิงเสวี่ยก็จับมือโม่เทียนเกอเงียบๆ และดึงนางให้ออกจากถ้ำไปด้วยกัน
หลังจากออกมาจากถ้ำของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินและเดินไปได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ถาม “ศิษย์พี่หลัว สถานการณ์แย่มากจริงหรือ”
ในขณะที่กำลังนวดดวงตาที่แดงก่ำ หลัวเฟิงเสวี่ยพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าไม่แย่ ท่านปรมาจารย์คงจะไม่ปล่อยให้ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไป โธ่ ข้าหวังว่าท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งและท่านอาจารย์ลุงชิงหยวน [1] จะกลับมากันได้อย่างปลอดภัย… เจ้าคิดว่าอะไร”
โม่เทียนเกอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ “ข้าคิดเกี่ยวกับศิษย์พี่เว่ย”
หลัวเฟิงเสวี่ยเปล่งเสียง “ฮ่ะ!” และตบไหล่โม่เทียนเกอก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าคิดว่าเพราะศิษย์พี่รองเสียสละชีวิตของนางและยอมเสี่ยงออกไปนั่นทำให้นางเป็นคนน่าทึ่งงั้นหรือ”
“ไม่ใช่เสียทีเดียว… แต่การกระทำของนางนั้นหาได้ยาก” ผู้ฝึกตนส่วนมากจะเห็นแก่ตัวเอง แม้แต่จากกลุ่มฝึกตนใหญ่ที่เน้นให้ความสำคัญกับการฝึกตนทั้งจิตใจและนิสัยใจคอ ไม่ได้มีคนมากนักที่ยินดีจะไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอันตราย
หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ ตบไหล่โม่เทียนเกอพร้อมกระซิบอย่างมีความนัย “อย่าปล่อยให้คนอื่นมีอิทธิพลกับตัวเอง เหตุผลเดียวที่ศิษย์พี่รองมีความมุ่งมั่นที่จะไปเพราะ…” นางหยุดพูดและมอบไปรอบๆ ตัว เมื่อนางเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบตัวนาง นางจึงกระซิบต่อ “นั่นเป็นเพราะท่านอาจารย์โส่วจิ้ง!”
“หืม?” โม่เทียนเกอสับสน
หลัวเฟิงเสวี่ยตบที่ไหล่ของโม่เทียนเกออย่างช่วยไม่ได้ นางพูด “โง่เง่าจริง! เจ้ารอดูไปก่อน เดี๋ยวจะมีศิษย์ผู้หญิงจากยอดเขาวสันต์กระจ่างอาสาที่จะไปสงครามเพิ่มเติมอีกอย่างแน่นอน”
“หา” หลังจากใช้สมองคิดอย่างหนัก โม่เทียนเกอก็ดูจะเข้าใจยิ่งขึ้นและถามในทันใด “ท่านหมายถึง…”
“ฮึ่ม!” หลัวเฟิงเสวี่ยกลอกตาและบ่นพึมพำ “จากที่ข้าสังเกต พวกเขาทั้งหมดหลงผิดกันทั้งนั้น! ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นคนแบบไหนกัน ถ้าระดับการฝึกตนของพวกนางเทียบเท่าเขาไม่ได้แล้วจะไปนึกถึงเขาเพื่ออะไร ช่วงชีวิตของผู้ฝึกตนอาจจะยาวนานกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ถ้าไม่มีช่วงชีวิตที่เท่ากัน พวกเราจะสามารถรักษาไว้ซึ่งคู่ครองได้นานแค่ไหนกันเชียว ปัดโธ่…” แล้วนางก็ถอนใจหลังจากที่พูดจบ
ใครพูดกันว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างผู้ฝึกตนกับมนุษย์เท่านั้น สิ่งเดียวกันก็เกิดขึ้นกับผู้ฝึกตนกันเองด้วยเช่นกัน ระหว่างผู้ฝึกตนในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง พวกเขามีช่วงชีวิตที่แตกต่างกันอย่างน้อยสามร้อยปี ถึงแม้ว่าความรักของพวกเขาจะลึกซึ้งดั่งมหาสมุทร ความรักของพวกเขาก็จะถูกเวลาทำให้พรากจากกันในตอนท้ายอยู่ดี
โม่เทียนเกอถามด้วยความงุนงง “พวกเรามีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคน ทำไมพวกเขาถึงชอบเพียงแค่ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งล่ะ พวกเราไม่ใช่มนุษย์ผู้หญิงทั่วไป ดังนั้นอย่าบอกข้านะว่าพวกเขายังคงตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกกันอยู่”
หลัวเฟิงเสวี่ยตบไหล่โม่เทียนเกออีกครั้งหนึ่งแต่ครั้งนี้เป็นไปด้วยความพึงพอใจ นางพูด “ถูกต้องแล้ว! ข้าถึงบอกไงว่าพวกนางหลงผิด พวกนางกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของผู้ฝึกตน แต่ยังคงคาดหวังเช่นเดียวกันกับมนุษย์ผู้หญิง! อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ต้องสงสัยไป… ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะเป็นที่ดึงดูดสำหรับพวกนาง เขายังหนุ่ม ฉลาดหลักแหลม มีระดับการฝึกตนที่สูง และหน้าตาดี ไม่มีศิษย์พี่ระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนไหนในโรงเรียนของเราที่จะเทียบกับเขาได้เลย”
“จริงหรือ” โม่เทียนเกอถามด้วยความใคร่รู้ “ข้ายังไม่เคยพบท่านอาารย์ลุงโส่วจิ้ง เขาหน้าตาเป็นแบบไหนหรือ”
“…” ดูเหมือนหลัวเฟิงเสวี่ยต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้า สุดท้ายแล้วนางจึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ดูเหมือนกับศิษย์พี่ฉิน”
“โอ้…”
“ลองคิดดูสิ ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง… อืม… อายุเพิ่งจะหนึ่งร้อยสี่สิบปีในปีนี้ ด้วยอายุเพียงเท่านี้ เขาได้เข้าถึงระดับกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว ถ้าเขาโชคดี มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ก่อนที่เขาจะอายุสองร้อยปี อีกอย่างนิสัยของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งนั้นก็ดี ถึงแม้ว่าเขาจะหมกมุ่นและคลั่งไคล้เกี่ยวกับการฝึกตน ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เขาดูน่าดึงดูดใจ บางครั้งผู้หญิงก็เหมือนผู้ชาย ยิ่งผู้ชายสุขุมและทะนงตัวเท่าไหร่ ผู้หญิงก็ยิ่งอยากจะชนะใจเขามากขึ้นเท่านั้น เจ้าเห็นด้วยไหม”
โม่เทียนเกอมองไปบนท้องฟ้าในขณะที่ครุ่นคิด อย่างไรก็ตาม นางก็ส่ายหัวพร้อมพูดว่า “ข้าไม่คิดเช่นนั้น”
หลัวเฟิงเสวี่ยบอกว่าท่านอาจารย์โส่วจิ้งดูเหมือนกับศิษย์พี่ฉิน แต่ด้วยความสัตย์จริง หากพูดถึงศิษย์พี่ฉินแล้ว ถ้านางไม่ได้เคยอยู่ใกล้ชิดเขามาก่อนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และได้พัฒนาความรู้สึกที่ต้องการพึ่งพาอาศัยเขา โม่เทียนเกอก็คงไม่มีวันที่จะคิดว่าเขานั้นมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ไม่ว่าจะน่าเกลียดเพียงไร ผู้ฝึกตนส่วนมากก็จะไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น ยังมีผู้ฝึกตนที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาอยู่มาก อีกอย่าง พวกเขาส่วนมากนั้นล้วนคลั่งไคล้ในการฝึกตน นางไม่คิดว่ามันจะมีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง
หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกพ่ายแพ้อย่างที่สุด นางพูด “ข้าเคารพเจ้าที่สุด!”
“ข้าเพียงแค่ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น รู้หรือไม่” โม่เทียนเกอยิ้มและถามต่อ “ศิษย์พี่หลัว ท่านกำลังบอกว่าศิษย์พี่เว่ยชอบท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอย่างนั้นหรือ”
“ฮะๆ คนอื่นๆ อาจไม่รู้แต่ข้ารู้” หลัวเฟิงเสวี่ยกระซิบอย่างดูถูก “ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งบางครั้งออกมาจากถ้ำเพื่อเทศน์ และในทุกครั้งศิษย์พี่รองก็จะเข้าร่วมอยู่ตลอด ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไม่มีศิษย์ในสังกัด เพราะเหตุนั้นเองศิษย์ภายในอย่างพวกเราจึงมักจะได้รับหน้าที่ให้ไปที่ถ้ำของเขาเพื่อรับงานกิจธุระต่างๆ ศิษย์พี่เว่ยมักจะรับงานไปที่ถ้ำของเขา ครั้งหนึ่งนางเคย…”
หลัวเฟิงเสวี่ยหันมองซ้ายและขวา เมื่อนางเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ตัว นางก็ลดเสียงลงและพูดต่อ “เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าต้องพูดถึงอีกคนหนึ่งก่อน ก่อนหน้านี้พวกเรามีอาจารย์ลุงท่านหนึ่งชื่อชิงหย่วน [2] ท่านเป็นศิษย์คนที่สองของท่านปรมาจารย์แต่ตายไปด้วยอุบัติเหตุ ผู้สืบทอดของเขาคือศิษย์พี่คนหนึ่งเพราะนางได้รับการดูแลจากท่านปรมาจารย์ของเราที่ยอดเขาวสันต์กระจ่าง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ในช่วงเวลานั้นท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเพิ่งถูกท่านปรมาจารย์พามาที่เขาไทกัง ทั้งสองคนมีอายุที่ไล่เลี่ยกันดังนั้นจึงถูกสอนมาด้วยกันกับท่านปรมาจารย์”
“พูดถึงศิษย์พี่ผู้นั้น ความฉลาดของนางค่อนข้างด้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด นอกจากนี้เพราะท่านปรมาจารย์เป็นคนสอนนางด้วยตัวเอง แล้วนางจะแย่ได้สักเพียงไรกัน จริงไหม เพราะเหตุนั้นเช่นเดียวกันกับอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง นางประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังตอนอายุยี่สิบ แต่อาจจะเป็นเพราะนางมักจะอยู่กับอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง นางจึงดูเหมือนตกหลุมรักเขาเข้า ยิ่งไปกว่านั้น เพราะนางได้รับการสั่งสอนจากท่านปรมาจารย์โดยตรง นางจึงกลายเป็นคนที่อวดดีและมองว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็น ‘บางสิ่งบางอย่าง’ ของนาง”
ถึงแม้ว่าคำอธิบายของหลัวเฟิงเสวี่ยจะซับซ้อน แต่โม่เทียนเกอก็ยังคงเข้าใจถึงความคิดนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยเล่าเรื่องของนางต่อ “มาในภายหลัง ระดับการฝึกตนของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งนั้นเหนือกว่านาง ท่านปรมาจารย์จึงมอบถ้ำเซียนให้กับเขา ตั้งแต่นั้นมาท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกับศิษย์พี่คนนั้นเท่าไหร่นัก”
“เจ้าก็รู้นี่ว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งคลั่งไคล้การฝึกตนเป็นอย่างมาก เขาไม่ชอบที่จะทำอะไรอย่างอื่นนอกเหนือไปจากการฝึกตน ความฝันของศิษย์พี่คนนั้นเลยแตกสลาย อย่างไรก็ตาม นิสัยของนางนั้นก็แย่ นางมักจะทำร้ายศิษย์ผู้หญิงคนที่จะเข้าไปทำงานในถ้ำของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอยู่เสมอ”
“อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่รองเว่ยถูกทำร้าย?”
“ใช่!” หลัวเฟิงเสวี่ยกัดปากพูด “ในตอนนั้น ศิษย์พี่รองอยู่เพียงแค่ระดับต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ในขณะที่ศิษย์พี่ผู้นั้นอยู่ระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ศิษย์พี่ผู้นี้ได้เกิดเป็นบ้าขึ้นมาและทำร้ายทุบตีศิษย์พี่รองจนบาดเจ็บภายในอย่างสาหัสถึงกับกระอักเลือด และเพราะเหตุนี้เองท่านปรมาจารย์จึงขับไล่ศิษย์พี่คนนั้นออกไปจากภูเขาไท่กัง จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ไหน!”
ครั้นได้ยินเรื่องราวความอิจฉาริษยาระหว่างศัตรูความรักเช่นนี้ทำให้โม่เทียนเกอถึงกับพูดไม่ออก อย่างไม่คาดคิด เรื่องซุบซิบนินทาแบบนี้มีอยู่ระหว่างกลุ่มผู้ฝึกตนที่มีความชอบธรรมขนาดใหญ่เช่นนี้ได้
“เจ้าจะต้องไม่พูดกับใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะบอกรายละเอียดกับเจ้าเมื่อข้ามีเวลา ตอนนี้ข้าเหนื่อยเจียนตาย อยากจะพักผ่อนมากแล้ว”
——
[1] ชิงหยวน ท่านอาจารย์ของเยี่ยจิ่งเหวิน
[2] ชิงหย่วน ศิษย์คนที่สองของปรมาจารย์จิ้งเหอที่ตายไปแล้ว ชื่อฟังดูคล้ายกับท่านอาจารย์ของเยี่ยจิ่งเหวิน แต่เขียนด้วยตัวอักษรจีนและอ่านออกด้วยเสียงที่แตกต่างกัน