ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 126-1 ผู้ฝึกตนแห่งตระกูลอวี๋
โม่เทียนเกอสอดมือเข้าไว้ในแขนเสื้อขณะที่นางยืนอยู่เหนือประตูหอคอยสูงที่สุดของตระกูลอวี๋ สำรวจเกราะป้องกันของม่านพลังเหนืออาณาเขตตระกูลอวี๋อย่างใจจดใจจ่อ
เหนือเกราะป้องกันนี้ ผู้ฝึกตนสองคนกำลังสู้กับสัตว์ปีศาจ จู่ๆ หนึ่งในผู้ฝึกตนสังเกตเห็นโม่เทียนเกอและรู้สึกดีใจขึ้นมา เขาตะโกน “ท่านสหายนักพรต ได้โปรดมาช่วยเราด้วย!”
โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างไม่พอใจและทำหน้านิ่ว สัตว์ปีศาจตัวนี้เป็นสัตว์ระดับห้า ระดับของมันเทียบเท่ากับดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้น อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสัตว์ปีศาจไม่มีเครื่องราง อาวุธวิเศษ และของอื่นๆ พละกำลังในการต่อสู้ของมันจึงค่อนข้างอ่อนกว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้นเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นสัตว์ปีศาจระดับห้า คงเป็นการยากสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางสองคนในการเอาชนะมัน ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ดันนำทางมันเข้ามาสู่เขตแดนของตระกูลอวี๋และขอความช่วยเหลือโดยไม่รู้สึกผิดใดๆ สิ่งที่พวกเขาทำคือการไม่เห็นแก่ชีวิตของมนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกตนขั้นต้นของตระกูลอวี๋! พวกเขาอาจจะนำปัญหามาให้ตระกูลอวี๋และหนีไปด้วยซ้ำ
ความคิดของโม่เทียนเกออาจจะเหมือนดูถูก แต่นางไม่เคยกลัวการคาดเดาเจตนาแย่ๆ ของคนอื่น นางค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ตั้งใจลากตระกูลอวี๋เข้าไปข้องเกี่ยว แต่พวกเขาก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่โดยไม่รู้ตัว
ต่อให้ทั้งสองคนนี้มาจากกลุ่มการฝึกตนที่มีชื่อเสียง พวกเขาก็ยังไม่มีหวังในการสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้าและทำได้เพียงหลบเลี่ยงการโจมตีของมันเท่านั้น ขณะที่พวกเขาเริ่มหลบหลีกยากขึ้นและยากขึ้น ผู้ฝึกตนคนที่สองตะโกนว่า “สหายนักพรต ท่านจะยืนดูอยู่เฉยๆ หรือ!”
น้ำเสียงของเขาไม่น่าฟัง โม่เทียนเกอกวาดตามองสภาพรอบตัว มีเพียงผู้ฝึกตนระดับต่ำไม่กี่คนกำลังดูพวกเขาด้วยความนับถือ คนอื่นๆ ถูกตระกูลอวี๋อพยพออกไปที่บริเวณอื่นนานแล้ว จากนั้นนางหัวเราะหึเบาๆ และพูดอย่างเฉื่อยๆ “ข้าเป็นแค่แขกของที่นี่ ไม่ใช่หัวหน้า การมีส่วนร่วมของข้าต้องให้หัวหน้าตระกูลนี้เป็นคนตัดสิน ท่านสหายนักพรตควรจะรอก่อน”
“เจ้า–” ใบหน้าชายคนนั้นกลายเป็นสีม่วง เขารู้สึกได้ว่าคำพูดของโม่เทียนเกอเป็นการพูดแบบขอไปที แต่ชีวิตของพวกเขากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่บางมากๆ!
เพราะชั่ววินาทีแห่งความประมาท สหายของเขาโดนปีกของสัตว์ปีศาจฟาดเข้าและร่วงลงสู่พื้นดินด้วยเสียงกรีดร้องน่าสยดสยอง
“ศิษย์น้อง!” ชายคนนั้นแผดเสียง เขาถลึงตาใส่โม่เทียนเกออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะล่อสัตว์ปีศาจไปรอบๆ ม่านพลัง เขาไม่สามารถทนได้อีกนานมากนัก
โชคดีที่หัวหน้าตระกูลอวี๋และภรรยาของเขารีบลนลานเข้าไปหาพวกเขา เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ เขารีบพูดกับโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตโม่ ได้โปรดช่วยพวกเขาด้วย!”
โม่เทียนเกอเข้าใจ นางจึงพยักหน้า “ข้าจะเปิดม่านพลัง ท่านไปคว้าตัวคนเจ็บมา จำไว้ว่าท่านต้องทำให้เร็ว! เรามีเวลาพอแค่เท่ากับจุดธูปหนึ่งดอกเท่านั้น ถ้าหมดเวลาและท่านยังไม่เข้ามาในม่านพลัง ข้าจะปิดม่านพลังอีกรอบเพื่อความปลอดภัยของคนอื่นๆ”
“เข้าใจล่ะ” ในเวลาสองสามวันที่ผ่านมา พวกเขารับผู้ฝึกตนเข้ามามากอย่างต่อเนื่อง หัวหน้าตระกูลอวี๋รู้ดีถึงวิธีการทำงานของโม่เทียนเกอ เมื่อนางบอกว่าธูปหนึ่งดอก นางก็หมายความว่าธูปหนึ่งดอกตามนั้น หากพวกเขาทำเกินเวลา ก็ต้องรับผิดชอบกับความตายของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูของพวกเขาเป็นสัตว์ปีศาจระดับห้าซึ่งเกินกว่าความสามารถของพวกเขา ถ้าพวกเขาสามารถช่วยชีวิตคนพวกนั้นและพาเขาเข้าข้างในได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
หัวหน้าตระกูลอวี๋ตะโกน “สหายนักพรตข้างบน! เราจะเปิดม่านพลังแค่เวลาเท่ากับจุดธูปหนึ่งดอก ขอให้เข้ามาข้างในโดยเร็ว! ถ้าท่านทำไม่ได้ก็ไม่มีอะไรที่เราจะช่วยท่านได้แล้ว”
ยินดีกับสิ่งที่เขาได้ยิน ชายคนนั้นตะโกนกลับมา “ขอบคุณ! ได้โปรดเปิดม่านพลังเร็วๆ! ข้าทนได้อีกไม่นานแล้ว”
โม่เทียนเกอเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป นางกุมมือเข้าด้วยกันทำท่ามุทราและเริ่มพึมพำร่ายคาถา
ม่านพลังสัตว์จตุรเทพโบราณนี้แตกต่างจากรูปแบบสมัยใหม่ซึ่งควบคุมด้วยธงม่านพลัง ม่านพลังอันนี้ควบคุมง่ายกว่าด้วยท่ามุทราและการร่ายคาถา
ภายหลังจากการร่ายคาถาของนาง แสงเป็นชั้นๆ ปรากฏขึ้นบนเกราะป้องกัน ในไม่ช้า เสียงหึ่งหนักๆ ดังขึ้น เมื่อได้ยินเสียงนี้ โม่เทียนเกอเร่งจังหวะในการอ่านคาถาของนาง ทันใดนั้นเอง รูเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนเกราะป้องกันพร้อมกับเสียงเสียดแทงที่บาดหู
โม่เทียนเกอตะโกนบอก “เร็วเข้า!”
หัวหน้าตระกูลอวี๋ส่งเสียงคำรามเป็นการตอบ จากนั้นเหาะอย่างรวดเร็วออกไปภายนอกเกราะพร้อมกับฮูหยินอวี๋ไปหาคนที่ร่วงอยู่ที่พื้น
ในทางกลับกัน เมื่อผู้ฝึกตนอีกคนที่ถูกสัตว์ปีศาจไล่เห็นโอกาสนี้ เขารู้สึกดีใจและรีบพุ่งไปยังรูที่เปิดอยู่ในม่านพลังโดยทันที
โม่เทียนเกอโกรธจัดเมื่อเห็นการกระทำของเขา คนนี้ช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก! เขาพุ่งเข้าไปยังม่านพลังทันทีโดยที่ไม่คำนึงเลยว่าเขาอาจจะนำทางสัตว์ปีศาจเข้ามาสู่ม่านพลังและทำร้ายตระกูลอวี๋!
สีหน้าของนางยิ่งเดือดดาลมากขึ้นขณะที่นางมองสัตว์ปีศาจข้างหลังชายคนนั้น นางทำท่ามุทราอีกครั้ง ดวงตาแห่งม่านพลังซึ่งเป็นดวงตาของสัตว์จตุรเทพนี้จู่ๆ ก็ปล่อยแสงสว่างจ้าขึ้นมากะทันหัน ลำแสงนี้ได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นมังกรเขียว เสือขาว หงส์แดง และเต่าดำ ซึ่งจากนั้นได้สาดส่องลงไปยังสัตว์ปีศาจ
ลำแสงเหล่านี้ดูเหมือนจะรวมเข้าด้วยกัน นาทีที่ลำแสงฉายส่องลงบนตัวสัตว์ปีศาจ มันก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวเชื่องช้าและปล่อยควันออกมา ด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง สัตว์ปีศาจกระพือปีกของมันด้วยความโกรธ ทุบตีและตัดลำแสงที่สร้างขึ้นโดยม่านพลัง
ทันใดนั้น ศิลาวิญญาณที่อยู่บนดวงตาแต่ละดวงของม่านพลังแตกสลายทีละดวงไปตามๆ กัน แม้แต่พลังวิญญาณในร่างกายของโม่เทียนเกอก็ลดลงด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง นางกัดฟัน แอบปล่อยจิตสัมผัสของนางและสอดมันเข้าไประหว่างสัตว์ปีศาจระดับห้าและม่านพลังสัตว์จตุรเทพ เมื่อนางสบโอกาส นางเล่นงานสัตว์ปีศาจอย่างไม่ปรานี
สัตว์ปีศาจระดับห้าคำรามด้วยความเจ็บปวดทันที สัตว์ลำแสงทั้งสี่กระโจนเข้าหามันและกัดมันอย่างไร้เมตตา ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกตนคนนั้นใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้และรีบพุ่งเข้าไปที่ทางเข้าม่านพลัง หัวหน้าตระกูลอวี๋และภรรยาก็เคลื่อนไหวอย่างเร็วเช่นกัน พวกเขาเหาะหนีและรีบเข้าไปข้างในตามหลังผู้ฝึกตนคนนั้น
ขณะมองภาพนี้ โม่เทียนเกอก็รีบทำท่ามุทราอีกทีและประสานเข้ากับการร่ายคาถา แสงวาบผ่านเกราะป้องกันอีกครั้งหนึ่ง ทำให้รูที่อยู่ในนั้นหดเล็กลงจนกระทั่งมันหายไปในที่สุด
เป็นเวลาพักหนึ่งที่สัตว์ปีศาจยังไม่ยอมแพ้และพยายามจะตามเข้าใกล้พวกเขา อย่างไรก็ตาม พอเห็นว่าความพยายามของมันไม่เป็นผล ในที่สุดมันก็จากไปด้วยหัวใจที่ขุ่นเคือง
หลังจากยืนยันแน่แล้วว่าม่านพลังปิดแล้วและสัตว์ปีศาจจากไปแล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นั่นถอนใจด้วยความโล่งอก โม่เทียนเกอเอามือลงช้าๆ แต่จู่ๆ นางก็จับตรงหน้าอกและไอออกมา
“สหายนักพรตโม่!” ฮูหยินอวี๋ร้องเรียกด้วยความตกใจ
โม่เทียนเกอเช็ดเลือดที่ไอออกมาด้วยมือและส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่ออกแรงใช้พลังวิญญาณมากไปหน่อย ท่านควรจะไปเพิ่มศิลาวิญญาณที่ดวงตาแต่ละข้างของม่านพลัง”
เมื่อฮูหยินอวี๋ได้ยินดังนั้น นางไม่กล้าที่จะเพิกเฉยและออกไปจัดการกับหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง
ขณะนั้น ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงหันไปมองหัวหน้าตระกูลอวี๋และผู้ฝึกตนสองคนที่เพิ่งเข้ามา หัวหน้าตระกูลอวี๋ได้ตรวจดูแผลบนตัวผู้ฝึกตนที่ไม่ได้สติเรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้ฝึกตนอีกคนก็หลับตาและกำลังทำสมาธิ เมินนางโดยสิ้นเชิง
โม่เทียนเกอแค่ส่ายหน้า ทานยาอนุคืนสภาพและไม่สนใจพวกเขาอีก
ในผู้ฝึกตนสองคนนี้ คนที่ไม่ได้สติค่อนข้างอายุน้อย เขาดูเหมือนอยู่ในช่วงอายุสามสิบต้นๆ ส่วนคนที่ทำสมาธิเพื่อปรับลมปราณแก่กว่าเล็กน้อย ดูเหมือนอยู่ในช่วงปลายสามสิบ พวกเขาใส่ชุดเครื่องแบบของโรงเรียนตานติ่งและค่อนข้างหยิ่งยโส อาจจะเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิ พวกเขาถือว่าค่อนข้างอายุน้อยแต่ก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว คาดว่าพวกเขาคงจะมีอนาคตสดใสถึงได้ดูถูกคนอื่นๆ
การช่วยทั้งสองคนไม่เหนือกว่าความสามารถของนางและยังถูกขอร้องมาจากหัวหน้าตระกูลอวี๋อีกด้วย ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้หวังว่าพวกเขาจะสำนึกบุญคุณ นางไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
เมื่อฮูหยินอวี๋กลับมา หัวหน้าตระกูลอวี๋ยังคงตรวจดูคนผู้นั้น จากนั้นทั้งสองคนจึงช่วยกันรักษาอาการบาดเจ็บของเขา
ไม่นานนักคนผู้นั้นก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ “ท่านลุง ท่านป้า!”
หัวหน้าตระกูลอวี๋ดีใจที่ได้เห็นเขาฟื้นขึ้น เขากล่าว “ดีๆ ดีแล้วที่เจ้าตื่นขึ้นมา! อย่าเพิ่งพูด กลับไปและรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าก่อน”
โม่เทียนเกอตกใจ กลายเป็นว่าคนผู้นี้คือผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังคนเดียวที่ตระกูลอวี๋เหลืออยู่ คนที่กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนตานติ่ง? ไม่น่าแปลกใจที่เขาขอให้ข้าช่วยชีวิตเขาอย่างง่ายดาย ปรากฏว่าที่นี่คือบ้านของเขา! แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังเป็นศิษย์ของโรงเรียนอื่น เขาหยาบคายเหลือเกิน!
หลังจากสั่งงานให้คนพาผู้ฝึกตนวัยหนุ่มกลับไป หัวหน้าตระกูลอวี๋หันมาและประสานมืออย่างจริงใจมาทางโม่เทียนเกอ “ข้าไม่รู้จะขอบคุณท่านอย่างไรดี สหายนักพรตโม่ ข้าจะจดจำคุณงามความดีของท่านไว้ในใจตลอดไป”
โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “หัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่ต้องเกรงใจหรอก ข้าแค่ทำสิ่งที่ข้าพอจะทำได้”
หัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่สนคำพูดของนางและเอาขวดยาวิเศษขวดหนึ่งให้กับนาง “สหายนักพรตโม่บาดเจ็บ นี่คือยาโคมเขียว เป็นยาลับของตระกูลอวี๋และได้ผลดีมากกว่ายาอนุคืนสภาพ กรุณารับมันไว้ในฐานะของที่แสดงถึงความขอบคุณของข้า”
ยาลับสำหรับรักษาบาดแผลเป็นสิ่งที่โม่เทียนเกอขาดไปพอดี ดังนั้นนางจึงรับมาทันที “ขอบคุณมาก”
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผู้ฝึกตนที่พักฟื้นอยู่ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นและหายใจออก ขณะที่เขาเงยหน้ามอง เขายืนขึ้นและโค้งคำนับให้กับหัวหน้าตระกูลอวี๋ “ท่านลุงอวี๋ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”
หัวหน้าตระกูลอวี๋ยิ้มและช่วยพยุงเขาขึ้นมา “ข้าไม่ได้มองให้ชัดเจน ศิษย์น้องโจวนี่เอง! ศิษย์น้องโจวสุภาพเกินไป ทำไมเจ้าถึงเรียกข้าว่าลุงเล่า ระดับการฝึกตนของเราอยู่ในดินแดนเดียวกัน ข้าจะดีใจถ้าเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่”
ศิษย์น้องโจวคนนี้ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก โม่เทียนเกอเห็นได้ว่าเขาไม่ได้คิดชื่นชมหัวหน้าตระกูลอวี๋ผู้ที่ไม่มีความหวังในการบรรลุผ่านไปสู่ดินแดนถัดไปสักเท่าใดนัก เขาอาจจะแค่พูดแบบนั้นตามมารยาทเพื่อเห็นแก่ศิษย์น้องจากตระกูลอวี๋ที่บาดเจ็บอยู่
ความรู้สึกดูถูกวาบผ่านในดวงตาเขาขณะที่เขาถามหัวหน้าตระกูลอวี๋ “ข้าขอถามได้ไหมว่าศิษย์น้องอวี๋อยู่ที่ไหน เขาเป็นอะไรหรือเปล่า”
หัวหน้าตระกูลอวี๋กล่าว “หลานชายของข้าไม่เป็นอะไร เขากลับไปเพื่อพักผ่อน ถ้าศิษย์น้องโจวต้องการพบเขา ข้าจะให้คนพาเจ้าไป” จากนั้นเขาเรียกผู้ฝึกตนระดับต่ำมาหาและสั่งเขาเล็กๆ น้อยๆ