ตอนที่ 1061 บัญชีนี้จะคิดอย่างไร
อะไรนะ
สีหน้าของใต้เท้าซ่งพลันไม่กระดิกกระเดี้ยไปชั่วพริบตา และในชั่วพริบตานี้เขายังสงสัยว่าตนเองอาจจะได้ยินผิดไป
เพราะว่าช่างน่าตกใจเกินไปแล้ว เขาเผลอเอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ใต้เท้าซ่งได้ยินมิผิด ข้าพูดว่าห้าแสนชั่ง” ซูหลีมุมปากหัวเราะออกมาเบาๆ ในดวงตาพลันแปรผันเป็นประกายลึกลับ มองมาจนใจคนที่มองเห็นเต้นกระหน่ำ
“ใต้เท้าซู!” กู่ซู่อ้ำอึ้งไปก่อน จากนั้นหลังจากที่เขารู้สึกตัว ใบหน้าก็คล้ำเขียวหมดแล้ว
ไม่ว่าเขาจะมีเงินทองมากมายอย่างไร เงินห้าแสนชั่งสำหรับเขา นั่นถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล!
สำหรับคนสามัญธรรมดาแล้ว อย่าว่าแต่ห้าแสนชั่งเลย แม้แต่เงินห้าหมื่นชั่งก็สามารถทำให้ครัวเรือนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตได้หลายสิบปี นางยังกล้าพูดออกมาได้!
“ใต้เท้าซู นี่หมายความว่าอย่างไร เงินห้าแสนชั่ง! กู่ซู่ไม่ใช่คนเขลา!” ใช่แล้ว ในสายตาของกู่ซู่การกระทำของซูหลีเช่นนี้ ปฏิบัติต่อเขาเสมือนเขาเป็นคนเขลา!
“พ่อค้ากู่อย่าเพิ่งตื่นเต้น!” ซูหลีตวัดสายตามองเขาด้วยรอยยิ้มเสมือนไม่ยิ้มปราดหนึ่ง และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนที่พ่อค้ากู่จะรับสมบัติของสกุลข้าไป หรือจะไม่เคยตรวจสอบ ยามที่รับสวนผลไม้ นาดีเหล่านั้นไป เป็นช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวพอดี”
“ไม่ต้องพูดถึงสมบัติของสกุลข้า แต่นาดีที่ในมือข้าเหล่านั้นล้วนเป็นที่นาที่อุดมสมบูรณ์ สามารถเพาะปลูกพืชพรรณได้จำนวนไม่น้อย นั่นเป็นผืนดินของราชสำนัก หากพ่อค้ากู่ไม่เชื่อ สามารถไปตรวจสอบด้วยตนเองได้”
“ซ้ำยังมีร้านค้าของสกุลข้าเหล่านั้นล้วนเป็นแหล่งรายได้เท่านั้น เมื่อสมบัติเหล่านี้เปลี่ยนมาอยู่ในมือของพ่อค้ากู่ นั่นเป็นเงินจำนวนมหาศาล เงินจำนวนนี้สกุลข้าไม่ได้เก็บไป ดังนั้นว่าต้องอยู่ในคลังสมบัติของพ่อค้ากู่แน่นอน!”
คำพูดของซูหลีทุกประโยค ทำให้สีหน้าของกู่ซู่ย่ำแย่ลงไปหายส่วน
มิผิด ที่ซูหลีพูดมาทั้งหมดคือความจริง เป็นเรื่องจริง หลังจากที่เขาแย่งชิงสมบัติเหล่านั้นมา รวมถึงผลเก็บเกี่ยวในที่นาน ยังมีเงินที่ร้านค้ามาหาได้ล้วนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เขานั้นเอาเปรียบจริงๆ
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สมบัติรวมกันแล้วก็ไม่เกินห้าพันถึงหนึ่งหมื่นชั่ง นางเอ่ยปากพูดว่าต้องการห้าแสนชั่ง
ไยไม่ได้แย่งชิงเล่า?!
“เงินจากการเก็บเกี่ยว ยังมีจากร้านค้า พ่อค้ากู่ต้องคืนก็เงินอย่างครบถ้วนถูกต้องแล้ว แต่ห้าแสนชั่งนั้น…” ใต้เท้าซ่งที่อยู่ด้านข้างชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากพูดขึ้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือห้าแสนชั่ง นั่นจะเหลวไหลเกินไปแล้ว
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน เบี้ยหวัดของทหารที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรวบรวมไว้ยังไม่เหนือจินตนาการขนาดนี้!
ซูหลีนี่ช่างเรียกราคาสูงมาก!
“ท่านทั้งสองอย่าพึ่งรีบร้อน ข้ายังพูดไม่จบ” ซูหลีได้ยินเพียงก้มหน้าหัวเราะเท่านั้น ใบหน้านางยังฉายแววไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ดูเหมือนไม่รีบร้อนเลยสักนิดก็มิปาน
แน่นอนว่านางไม่รีบร้อน คนที่ต้องการเงินห้าแสนชั่งนี้คือนาง!
“นอกจากสมบัติเหล่านี้แล้ว ยังมีเหล่าคนดูแลที่ถูกพ่อค้ากู่ขับไล่ไปเหล่านั้นอีก คนดูแลเหล่านั้นทำงานในสกุลข้ามานานหลายปี ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของสกุลเข้า เมื่อถูกขับไล่ออกไปอย่างพิลึกพิลั่น ความเสียหายนี้จะคิดบัญชีกับใครกัน”
ดวงตาของนางกวาดมอง คนในที่นี้มิมีใครสามารถตอบคำถามนางได้สักคน
แม้แต่กู่ซู่เพียงแค่ขมุบขมิบปาก ไม่พูดออกมาแม้แต่คำเดียว
“ดูแล้ว ที่นี่คือเมืองหลวง สถานที่ที่ฮ่องเต้ประทับ พ่อค้ากู่เป็นพ่อค้าวาณิชคนหนึ่ง กลับนำคนมาทุบตีทำร้านบิดาของข้า คนรับใช้สิบกว่าคนของสกุลข้า หนึ่งในนั้นมีคนรับใช้คนหนึ่งขาพิการแล้ว บัญชีนี้ควรจะคิดบนหัวใครเล่า”
ใบหน้าของกู่ซู่กระตุก เวลานี้เขาอยากจะอธิบายอะไรบางอย่างอย่างรีบด่วน ทว่าคำพูดกลับติดอยู่ที่ปาก พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง
ตอนที่ 1062 จุดอ่อนทั้งหมด
“เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูด เพียงแค่เรื่องของบิดาของข้า ขุนนางขั้นสองระดับสูงผู้หนึ่งสมควรถูกเจ้าตีแล้วหรือ บิดาของข้าอายุมากแล้ว ได้ถูกทำร้ายเช่นนี้ เรื่องนี้ใต้เท้าซ่งสามารถรับผิดชอบกระมัง หรือพ่อค้ากู่สามารถรับผิดชอบได้”
ใต้เท้าซ่งฟังถึงตรงนี้ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปชั่วพริบตา
จุดสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ตำแหน่งขุนนางของซูไท่สูงกว่าเขามาก หลังจากเกิดเรื่องเขาไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้พ่อค้าวาณิชอย่างกู่ซู่กำเริบเสิบสาน
เรื่องนี้เมื่อพิจารณาดูแล้ว ไม่ว่าอย่างไรตำแหน่งของเขาคงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
เดิมยังคิดว่าซูหลีจะเป็นคนว่าง่ายคนหนึ่ง คิดว่าพูดแค่ประโยคสองประโยคก็สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ บัดนี้ดูแล้วเหมือนเขาจะคิดมากไป!
“ขุนนางคนหนึ่ง หรือว่าจะเปรียบกับเงินชดใช้จำนวนห้าแสนชั่งไม่ได้หรือ” ซูหลีพูดถึงตรงนี้จึงกวาดสายตาเยียบเย็นไปทางกู่ซู่ครู่หนึ่ง
“คำพูดของข้าถือว่าพูดให้ทุกท่านเข้าใจแล้ว ควรจะทำอย่างไร ในใจของพ่อค้ากู่ล้วนทราบดี”
ใบหน้าของกู่ซู่คล้ำเขียว มีความลำพองใจสักนิดเสียที่ไหน หลงเหลือความกระอักกระอ่วนเท่านั้น
ยังมีความเจ็บใจ
จะไม่ให้เจ็บใจได้อย่างไร
นั่นเงินตั้งห้าแสนชั่ง! หากจ่ายเงินห้าแสนชั่งนี้ไป เกรงว่าเขาต้องนำสมบัติที่ทำการค้าขายในช่วงเวลาหลายปีนี้ทั้งหมดชดใช้ให้แก่นาง!
“หากเป็นเช่นนั้น นี่ใต้เท้าซูก็ทำเกินไปแล้วกระมัง ใต้เท้าซูไม่ได้ดูแลครอบครัว ไม่รู้ว่าข้าวของแพง ตั้งเงื่อนไขเช่นนี้ในเวลา อย่างไรก็ทำให้คนบางส่วนรู้สึกว่าใต้เท้าซูฉวยโอกาสขูดรีดผู้อื่น จะพูดอย่างไรใต้เท้าซูก็เป็นขุนนาง กระทำเรื่องเช่นนี้เกรงว่าคงไม่เหมาะสมกระมัง!”
เซียวเสวียนที่ฟังอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด ในที่สุดก็อดทนต่อไปไม่ไหว
ตลอดหลายปีมานี้เขารับได้การช่วยเหลือจากกู่ซู่จำนวนไม่น้อย ทว่าสิ่งที่เขาได้รับ บวกรวมกันแล้วคาดว่ายังไม่ถึงห้าหมื่นชั่งด้วยซ้ำ
นี่ซูหลีเอ่ยปากต้องการยึดทรัพย์สินในบ้านของกู่ซู่ไปจนหมด จะให้เขาอดทนไหวได้อย่างไรกัน
“ไม่เหมาะสมหรือ” ซูหลีถูกเขายั่วโมโหจนหัวเราะออกมา นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังเซียวเสวียนแล้วเอ่ย “ใต้เท้าเซียว หากข้าน้อยจำมิผิด ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อค้ากู่ผู้นี้กับสกุลเซียวของพวกท่านมิได้ตื้นเขินนี่นา!”
“เช่นนั้นข้าน้อยอยากจะถามใต้เท้าเซียวสักหน่อย ท่านพูดว่าข้าต้องการเงินห้าแสนชั่งไม่เหมาะสม เช่นนั้นกู่ซู่ทุบตีทำร้ายขุนนางขั้นสองระดับสูง ยึดชิงสมบัติของผู้อื่น นี่เป็นเรื่องเหมาะสมหรือ”
ในเวลานี้เซียวเสวียนถึงกับเป็นใบ้ นี่เขาจะพูดว่าเหมาะสมได้อย่างไรกัน!
ด้านข้างมีชาวบ้านราษฎรจำนวนมากมองดูอยู่ คำพูดหากวันนี้เขาพูดออกมาไป พรุ่งนี้ฝ่าบาททรงได้สดับฟัง คาดว่าคงสามารถเด็ดหัวเขาได้!
“ใต้เท้าเซียว” ซูหลีชำเลืองเห็นอากัปกิริยาเช่นนั้นของเขา จึงหัวเราะขึ้นอย่างแผ่วเบา พลันสาวเท้าเดินไปตรงหน้าเขา
เซียวเสวียนเห็นนางหยุดยืนตรงหน้าของตน สีหน้าของเขามีอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาแหงนหน้าขึ้นมองนางครู่หนึ่งอย่างเงียบเชียบไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา
“ข้าน้อยนั้นสงสัยมาโดยตลอด พ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวงนี้อาศัยอะไรถึงก้าวมาถึงทุกวันนี้ได้ เฉกเช่นพ่อค้ากู่เช่นนี้ หากมิใช่มีคนในราชสำนักคอยหนุนหลัง คิดดูแล้วคงไม่กล้ากำแหงขนาดนี้กระมัง”
“อีกทั้งพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวงแต่ก่อน ไยข้าถึงจำได้ว่าเป็นคนสกุลหวง แม้แต่หอติ่งไท่ตรงหน้านี้ ก็เหมือนจะเป็นของสกุลหวง…”
“ใต้เท้าซู!” เซียวเสวียนได้ยินถึงตรงนี้ในที่สุดก็อดกลั้นต่อไปไม่ได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก ถลึงตาใหญ่เท่าระฆังก็มิปาน จ้องซูหลีตาเขม็ง
“นี่ใต้เท้าเซียวเป็นอะไรกัน” ซูหลียกมุมปาก ใบหน้าฉายแววที่มิอาจบรรยายออกมาได้ เหมือนกับไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรไป ส่วนใบหน้าของเซียวเสวียนเขียวคล้ำไปหมดแล้ว