ตอนที่ 1071 เหนียงเหนียงมีชีวิตอยู่ได้มินาน
“ใต้เท้าเซียว” มีขุนนางอยู่ที่ด้านข้างยืนขึ้น เลิกคิ้วแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ราชกิจยามเช้าเพิ่งจะเริ่ม ใต้เท้าเซียวแสดงกิริยาเช่นนี้ มีอะไรเกิดขึ้นใต้เท้าเซียวสู้พูดออกมาอย่างชัดเจนดีกว่า ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา มันใช้ได้ที่ไหน”
“ใช่แล้ว นี่จะลืมตัวเกินไปแล้ว!”
“ใต้เท้าเซียวมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ! เลิกร้องไห้ได้แล้ว!”
…
เมื่อเซียวเก๋อเหล่าร่ำไห้อย่างสุดเสียงก็มีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่ลุกขึ้นยืน และขุนนางที่ลุกขึ้นเหล่านั้นไม่ใช่ขุนนางที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อเซียวเก๋อเหล่าทั้งหมด
ทั้งยังมีบางคนที่ดูแคลนเซียวเก๋อเหล่าที่ร้องไห้สร้างความวุ่นวายเช่นนี้ มองดูอากัปกิริยาของเขาจึงย่นคิ้ว
เสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยรอบดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องของเซียวเก๋อเหล่านั้นในเวลาถึงได้เบาลงไปบ้าง เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แหงนหน้าขึ้นด้วยอาการสั่นเทา แล้วเอ่ยเสียงดัง
“ฝ่าบาท ซูเฟยเหนียงเหนียงอาการมิดีแล้ว ตัวการสำคัญที่ทำร้ายซูเฟยเหนียงเหนียงยังลอยนวลอยู่ในราชสำนัก หัวใจของกระหม่อมทรมานโดยแท้!”
คำพูดนี้เมื่อเอ่ยออกมา ราวกับโยนหินก้อนใหญ่ลงไปในทะเลสาบที่ไม่สงบมาโดยตลอด
ในเวลานี้ทั้งตำหนักเสมือนถูกจุดระเบิด
คำที่เกี่ยวกับ ‘ซูเฟย’ ‘สกุลเซียว’ ดังขึ้นข้างหูของซูหลีอย่างไม่หยุดหย่อน ที่ประหลาดที่สุดก็คือ คล้อยหลังคำพูดของเซียวเก๋อเหล่า ครั้นซูหลีเงยหน้าขึ้นพลันรู้สึกได้ถึงสายตาที่สอดส่องมาจากทั่วทุกสารทิศ
“ใต้เท้าเซียว คำพูดนี้มิอาจพูดส่งเดช เหนียงเหนียงอยู่ในวังยังดีๆ อยู่เลย นี่ใต้เท้า…” ในขณะที่ทั้งตำหนักตกอยู่ในความวุ่นวาย ดวงตาของหวงเผยซานวูบไหว จากนั้นยืนขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เขาเป็นขันทีที่อยู่ภายในวังหลวงตลอด แน่นอนว่าเป็นคนที่รู้การเคลื่อนไหวของเหล่าสนมในวังหลังชัดเจนที่สุด!
“ก่อนหน้านี้เหนียงเหนียงยังดีๆ อยู่ ทว่าหากมิใช่เพราะกระหม่อมไปพบได้ทันเวลาพอดี เกรงว่าเหนียงเหนียงคงจะถูกทำร้ายจนตายไปแล้ว! ฝ่าบาท ครั้นกระหม่อมคิดถึงเรื่องนี้ จึงอดที่จะกลัวจนขึ้นสมองมิได้!” อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครจะพูดอะไร เซียวเก๋อเหล่ายังคงกัดฟันพูดคำพูดนี้ออกมา
จะพูดว่าเซียวซูเฟยใกล้จะตายแล้ว!
ตายแล้ว?
ซูหลีขยับเปลือกตาของตนไปมา ใบหน้ามีรอยยิ้มเสมือนไม่ยิ้มประดับไว้อยู่
“พูดให้กระจ่าง” เสียงนิ่งเรียบดังขึ้นจากเบื้องบน
น้ำเสียงเต็มไปด้วยอำนาจอย่างแท้จริง เพียงพริบตาเดียวสามารถทำให้ตำหนักที่มีเสียงดังวุ่นวายเงียบไปอย่างฉับพลัน
ในเวลานี้สายตาของทุกคนรวมไปอยู่ที่ร่างของเซียวเก๋อเหล่าที่คุกเข่าอยู่กลางตำหนัก ล้วนรอฟังประโยคต่อไปของเขา โดยไม่กล้าปริปากส่งเสียงออกมา
“กราบทูลฝ่าบาท เรื่องนี้เดิมกระหม่อมมิอยากที่จะสร้างวุ่นวายว่า ทว่าเมื่อคิดถึงซูเฟยเหนียงเหนียงที่เกือบจะสิ้นใจ กระหม่อมก็อดกลั้นไม่ไหวจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!” เซียวเก๋อเหล่าได้ยินเช่นนี้จึงพูดทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลพราก
อย่างไรกลับไม่มีคนพูดตอบเขา คำพูดของเขาเพียงทำให้สายตาของฉินเย่หานเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยียบเท่านั้น
เซียวเก๋อเหล่าสะดุ้งโหยง ไม่กล้าที่จะพูดวกไปวนมาอีกต่อไป รีบเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ต้องเท้าความไปเมื่อสองสามวันก่อน ในช่วงเวลานั้นหลังจากที่ซูเฟยเหนียงเหนียงตกเลือด อารมณ์ของพระองค์ก็มิดีมาโดยตลอด กระหม่อมถึงให้บ่าวในวัง และสะใภ้ในสกุลยื่นตราอาญาสิทธิ์เข้าไปให้วัง อยากที่จะขอเฝ้าเหนียงเหนียง”
“ให้เหล่าสะใภ้ปลอบโยนเหนียงเหนียงปล่อยวาง วันหน้าถึงจะสามารถมีโอรสที่สมบูรณ์ แตกหน่อออกผลแผ่กิ่งก้านสาขาให้กับฝ่าบาทได้”
เซียวเก๋อเหล่าพูดถึงตรงนี้ก็หยุดเว้นไปครู่หนึ่ง จากนั้นอากัปกิริยาพลันเปลี่ยนไป เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ใครจะรู้ว่า ครั้นภรรยาของกระหม่อมเข้าไปในวัง เพียงแค่พบหน้าเหนียงเหนียงแวบหนึ่ง กลับใช้ฉากคั่นระหว่างภรรยาของกระหม่อมกับเหนียงเหนียง ภรรยาของกระหม่อมนั้นสนิทสนมใกล้ชิดกันมาโดยตลอด เหนียงเหนียงมิเคยกระทำเช่นนี้มาก่อน”
“ในเวลานั้นภรรยาของกระหม่อมรู้สึกไม่วางใจ ก่อนจะออกจากตำหนักจึงเอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างพระวรกายของเหนียงเหนียง บ่าวรับใช้เหล่านั้นกลับพูดว่า…”
“พูดว่าเหนียงเหนียงมีชีวิตอยู่ได้มินาน!”
ตอนที่ 1072 อากาศที่ไร้สีไร้กลิ่น
ใบหน้าของเซียวเก๋อเหล่าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก คล้ายกับถูกข่าวนี้โจมตีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ยามนั้นภรรยาก็ตกใจเช่นกัน คนที่เดิมแข็งแรงดี ไยพอพูดว่าไม่ดีก็ไม่ดีแล้ว เพราะคำนึงความรักที่มีในสายเลือด ภรรยาจึงกลับไปที่ตำหนักของเหนียงเหนียงอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าจะพบซูเฟยเหนียงเหนียงที่ซีดเซียว!”
เขาพูดถึงตรงนี้ ในดวงตาก็ทะลักน้ำตาออกมาหลายหยด สีหน้าดูย่ำแย่จนถึงที่สุด กลับไม่เหมือนเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย
ซูหลีหรี่ตามอง หรือร่างกายของเซียวซูเฟยจะย่ำแย่จริงๆ ?
“อย่างไรก็ตามสิบกว่าวันมานี้ เหนียงเหนียงซูบผอมจนรูปร่างเปลี่ยนไปถนัดตา บรรทมอยู่บนเตียง ไม่มีข่าวคราวอะไรสักนิด ดูแล้วประหนึ่งตะเกียงน้ำมันที่ใกล้จะมอดดับไปมิปาน!”
“ยามนั้นภรรยาประหนึ่งถูกโจมตีอย่างรุนแรง หลังจากกลับไปก็ป่วยล้มพับไป เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นลูกสะใภ้ที่ตามภรรยาเข้าไปในวังหลวงเป็นคนบอกกระหม่อม กระหม่อมเป็นบุรุษ มิอาจจะเหมือนกับสตรีที่ถูกเรื่องเช่นนี้โจมตีจนล้มพับไป”
“อีกทั้งกระหม่อมยังจำได้ดี หลังจากซูเฟยเหนียงเหนียงตกเลือด อารมณ์ก็ย่ำแย่มาโดยตลอด ทว่าร่างกายกลับยังแข็งแรงดี ไม่มีทางที่ภายในสิบกว่าวันจะกลายเป็นเช่นนี้! ในเวลานั้นกระหม่อมระมัดระวังอยู่บ้าง หลังจากนั้นจึงเชิญหมอหลวงอย่างใต้เท้าจางอย่างตรวจอาการของซูเฟยเหนียงเหนียงโดยเฉพาะ”
“กระหม่อมไม่คิดเลยว่า เมื่อตรวจอาการก็พบว่ามีปัญหา!” เซียวเก๋อเหล่าหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปทางบัลลังก์แล้วโขกศีรษะลงพื้นอย่างแรง
“ซูเฟยเหนียงเหนียงนั้นมิได้ป่วย แต่…ถูกคนใช้ยาพิษทำร้าย!”
คำพูดนี้เมื่อพูดออกมา ทำให้เสียงดังเกรียวกราวทั้งตำหนัก
คนจำนวนมากมองหน้ากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยตะลึงงัน
คนคนหนึ่งที่ยังแข็งแรงดี กลับกล่าวประหลาดๆ ว่าร่างกายย่ำแย่ ฟังแล้วรู้สึกว่ามีเงื่อนงำบางอย่าง ทว่าตำแหน่งของเซียวซูเฟยนั้นถือว่าเป็นตำแหน่งขั้นสูงสุดในวังหลัง เป็นพระสนมที่ได้รับการโปรดปรานมากที่สุด ใครจะกล้าคิดในมุมมองนี้กัน
ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ!
“ยาพิษนั้นเป็นยาพิษที่ร้ายแรงมาก เป็นอากาศธาตุที่ไร้สีไร้กลิ่น หลังจากที่คนสูดอากาศนี้เข้าไป คนที่ได้รับพิษจะค่อยๆ สูญเสียความมีชีวิตชีวา ทั้งร่างจะคล้ายกับดูพลังชีวิตก็มิปาน ในช่วงเวลาสั้นๆ จะไร้เรี่ยวแรงและค่อยๆ ตายไป!”
เสียงของเซียวเก๋อเหล่าเมื่อดังออกมา เบื้องล่างมีเสียงสูดหายใจดังขึ้น
เมื่อซูหลีได้ยินประโยคที่กล่าวว่า ‘อากาศธาตุที่ไร้สีไร้กลิ่น’ นี้ พลันเลิกคิ้วของตนขึ้น ยาช่วยชีวิตของนางก็เป็นอากาศธาตุประเภทนี้เช่นนี้
ทว่ากลับมิได้เป็นอากาศธาตุที่ไร้สีไร้กลิ่น
ทว่ายาที่เป็นอากาศธาตุประเภทนี้ ในราชวงศ์ต้าโจวนั้นมีไม่มาก แม้แต่ยาช่วยชีวิตของนางก็ยังใช้กรรมวิธีในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดของตน ผสมผสานกับความรู้เรื่องตัวยาของนาง ถึงได้สามารถปรุงยาออกมาได้
ยาพิษที่เซียวซูเฟยได้รับก็เป็นอากาศธาตุเช่นนี้เหมือนกัน?
อีกทั้งยังไร้สีไร้กลิ่น
นี่ช่างประหลาดเกินไปแล้ว
“กราบทูลฝ่าบาท! สกุลเซียวนั้นเป็นสกุลซื่อสัตย์ ซูเฟยเหนียงเหนียงถือว่าเป็นสตรีที่เป็นแบบอย่างในวังหลัง กลับถูกคนใช้ยาพิษที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้อย่างเงียบๆ ในใจของกระหม่อมรู้สึกหวาดกลัวโดยแท้!”
“หากไม่ใช่เพราะกระหม่อมใช้ชีวิตหลายสิบปี จึงมีความระแวดระวังมากว่าคนอื่นๆ เกรงว่าซูเฟยเหนียงเหนียงคง…” เขาพูดถึงตรงนี้ เหมือนกับว่าพูดต่อไปไม่ได้แล้ว จากนั้นร่ำไห้ออกมาเสียงดัง
“กราบทูลฝ่าบาท ยาพิษอันตรายเช่นนี้ปรากฏขึ้นในวังหลัง เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว เรื่องนี้กระหม่อมคิดว่าจักต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หลังจากคำพูดของเซียวเก๋อเหล่าจบลง ก็มีคนลุกขึ้นยืนทันใด ต้องการให้ฝ่าบาททรงตรวจสอบเรื่องในวังหลัง
“ใต้เท้าทุกท่านคงยังไม่ทราบ” จากนั้นเซียวเก๋อเหล่าพลันเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลันและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “คนในวังหลังที่สัมผัสกับโอสถนั้นมีไม่มาก อีกทั้งยังเป็นยาที่ไร้สีไร้กลิ่น เป็นตัวยาที่ปรุงได้ยากนัก เรื่องนี้มิใช่วิธีของคนในวังหลัง แต่เป็น…”
คำพูดของเขาขาดหายไปอย่างฉับพลัน สายตาที่เฉียบคมมีเลศนัยมองไปยังซูหลีที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรที่อยู่ด้านข้าง!