เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ – ตอนที่ 1111 เบื้องหลังของหอหร่วนเซียง / ตอนที่ 1112 หวาดหวั่นใจ

ตอนที่ 1111 เบื้องหลังของหอหร่วนเซียง / ตอนที่ 1112 หวาดหวั่นใจ

ตอนที่ 1111 เบื้องหลังของหอหร่วนเซียง

หลังจากทิ้งความวุ่นวายนี้ไว้ ซูหลีก็ถูกฉินเย่หานอุ้มกลับวังหลวงไปแล้ว

เมื่อถึงภายในตำหนักอวิ๋นซิน ฉินเย่หานถึงได้ปล่อยนางลง

แม้จะปล่อยนางแล้ว ทว่าเขากลับไม่เอ่ยอะไร เพียงจ้องมองนางตาไม่กะพริบ ยามที่ซูหลีมองไปทางเขาอยู่สองสามครา ก็พบว่าสีหน้าของเขาเคร่งขรึมเกินจะเปรียบ

อีกทั้งยังท่าทีคล้ายกับกำลังคาดโทษนางอยู่

“แค่กๆ!” ซูหลีไอกระแอมอย่างไม่สบายใจนัก บรรยากาศในเวลานี้ช่างแปลกประหลาดรัก นางรู้สึกว่านางควรจะพูดอะไรบางอย่างออกมา อย่างน้อยก็อย่าให้ฉินเย่หานใช้สายตาที่น่ากลัวเช่นนี้จ้องนางตาเขม็ง

“วันนี้ฝ่าบาททรงน่าสนใจนัก…ทรงเสด็จไปหอหร่วนเซียงเพื่อซื้อตัวหงหลัวคนหนึ่ง” ทันทีที่เอ่ยปากพูด ซูหลีก็ยังจะกัดลิ้นตนเองทิ้งซะเดี๋ยวนี้

ที่จริงแล้วนางไม่รู้จะพูดอะไรดี ท่าทีของฉินเย่หานก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า เขาไม่เห็นหงหลัวในสายตาเลยแม้แต่น้อย ท้ายที่สุดยามที่เขามอบหงหลัวให้กับฉินมู่ปิง เห็นได้ชัดว่าฉินเย่หานไม่รู้จักชื่อของหงหลัวด้วยซ้ำ

หรืออาจจะพูดได้ว่าไม่เคยแยแสมาก่อน

ดังนั้นนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เกรงว่าเขาจะรู้สึกว่านางเจตนาหาเรื่องทะเลาะ!

“ซูหลี!” เป็นอย่างที่คิดไว้มิผิด ทันทีที่นางพูดจบ ฉินเย่หานพลันมีสีหน้าเคร่งเครียดและแผดเสียงออกมา

“ฝะ ฝ่าบาท” ซูหลีมองเขาด้วยท่าทีที่อ่อนลง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มประจบประแจง

“เรายังไม่ได้พูดอะไร เจ้ากลับด่วนตัดสินไปแล้ว!” คำสี่คำท้ายประโยค ออกจากปากเขาทีละคำ ซูหลีได้ยินแล้วทั้งร่างอดไม่ได้จะสั่นเทิ้ม

“ฝ่าบาท! กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนี้ กระหม่อมเพียงรู้สึกว่า ฝ่าบาททรงเป็นผู้ที่มีศีลธรรม ทรงมิเคยชื่นชอบการเที่ยวเตร่หอบุปผาเช่นนั้นมาก่อน วันนี้จักต้องถูกจิ้งหนานอ๋องทรงตัวพระองค์ไปอย่างแน่นอน!”

“ในพระทัยของฝ่าบาทจักต้องไม่สมัครใจอย่างแน่นอน…”

“แล้วเจ้าเล่า?” การประจบสอพลอของซูหลีครานี้ ช่างแสดงท่าทีที่ออดอ้อนยิ่งนัก ทว่านางยังไม่ทันพูดจบก็ถูกฉินเย่หานขัดจังหวะเสียแล้ว

นางตะลึงค้างอยู่ครู่หนึ่ง นางควรจะทำอย่างไรดี

“สถานที่เฉกเช่นหอบุปผา เจ้าควรไปงั้นรึ” ใบหน้าของฉินเย่หานเย็นยะเยียบประหนึ่งน้ำค้างในเหมันตฤดู

“แค่กๆ ๆ!” ซูหลีแทบจะสำลักน้ำลายตนเองตาย อะไรที่เรียกว่ายกก้อนหินทุบเท้าตนเอง[1] เพียงมองนางก็จะทราบแล้ว

ทว่าต้นตอในวันนี้ไม่มีทางที่จะหลบหลีกได้จริง ๆ ซูหลีหวนคิดถึงใบหน้าที่เย็นชาของฉินเย่หานที่หอหร่วนเซียงแล้ว หัวใจพลันสะดุ้งโหยงขึ้นทันที

“กระหม่อม! ฝ่าบาท…” ซูหลีกัดฟัน ก้าวเท้าเดินไปนั่งข้างกายของฉินเย่หานแล้วเอ่ยเสียงดัง

“กระหม่อมผิดไปแล้ว!”

ความดังกึกก้องของเสียง ทำให้แม้แต่ซูหลีเองก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

ใบหน้าของซูหลีเคร่งเครียด ไยนางถึงรู้สึกว่าตนเองจะหนาวตายไปแล้ว

พูดเสียงดังขนาดนี้ เป็นการยอมรับผิดหรือยั่วยุเขากัน

“ฝ่าบาท เรื่องในวันนี้ที่จริงแล้วจะโทษกระหม่อมไม่ได้ หอหร่วนเซียงไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร ถึงได้จัดหาแม่นางยอดดอกเหมยเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังส่งจดหมายเชิญให้กับกระหม่อม หากกระหม่อมไม่มา เกรงว่าเหตุการณ์ในวันนี้คง…”

สมองนางประมวลผลอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาเดียวก็สามารถหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผล

ไม่สิ ๆ ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ข้ออ้าง

ก่อนที่จะมานางมีลางสังหรณ์ไว้บ้างแล้ว งามชุมนุมดอกเหมยวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ทว่าคิดไม่ถึงว่าจักต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้

ครั้นคิดถึงว่าอีกฝ่ายมีความคล้ายคลึงกับนางหลายส่วน อีกทั้งยังเจตนาให้สตรีคนนั้นเข้าใกล้นาง และมาประมูลต่อหน้าผู้คน สีหน้าของซูหลีจึงอดที่จะแสดงท่าทางเย็นชามิได้

“หอหร่วนเซียง เป็นสินสมรสของหวังเฟยของจิ้งหนานอ๋อง” ในขณะที่ซูหลีคิดว่า คำอธิบายคำรบนี้ของนางจะทำให้ฉินเย่หานไม่พอใจ เขาพลันเอ่ยปากพูดขึ้น

ซูหลีได้ยินคำพูดนี้กลับรู้สึกตะลึงค้างไป

หมายความว่าอย่างไร หอหร่วนเซียงมีความเกี่ยวข้องกับจิ้งหนานอ๋องหรือ

——

[1] ยกก้อนหินทุบเท้าตนเอง เป็นสำนวน หมายถึงการหาเรื่องใส่ตัว ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า หาเหาใส่หัว หรือ แกว่งเท้าหาเสี้ยน

ตอนที่ 1112 หวาดหวั่นใจ

“หอหร่วนเซียง…อย่างไรก็เป็นหอโคมเขียว” หลังจากซูหลีตะลึงงัน ในเวลานี้จึงเอ่ยประโยคนี้ออกมา

ในฐานะสินสมรสของหวังเฟยแล้ว หอโคมเขียว เกรงว่าคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง

ทันทีที่นางพูดจบ กลับได้รับสายตาเย็นชาจากฉินเย่หานมองมา หลังจากซูหลีถูกเขาตวัดสายตามองอย่างเย็นชาเช่นนี้ นางจึงจูงมือเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจงแล้วเอ่ยว่า

“ฝ่าบาท ท่านบอกกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยจบก็ดึงมือเขาแกว่งไปมา

ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาลุ่มลึกปราดหนึ่ง หากนางมีหางละก็ เกรงว่าหางนี้คงจะกระดิกไปมาแล้ว

“สินสมรสของหวังเฟยของจิ้งหนานอ๋อง คือร้านเครื่องหอมร้านหนึ่ง” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึง

มิน่าเล่านางถึงรู้สึกว่าชื่อของหอหร่วนเซียงนั้นแปลกๆ แม้จะชื่อของหอโคมเขียวส่วนใหญ่จะค่อนข้างธรรมดา ทว่าชื่อนี้ก็ช่างไม่มีความเกี่ยวข้องกับหอโคมเขียวสักเท่าไร

เพียงแต่หลังจากที่หอหร่วนเซียงขยับขยายใหญ่แล้ว ทำให้คนต่างไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหอโคมเขียวเอาเอง นี่ถึงทำให้ชื่อนี้มีความหมายเช่นนั้น

“ต่อมาหวังเฟยก็ตามเสด็จพี่ออกจากเมืองหลวง ร้านค้าก็ขายทอดตลาดและกลายเป็นหอโคมเขียว” ขณะที่ซูหลียังไม่ดังสติกลับมา ก็ได้ยินฉินเย่หานพูดประโยคนี้เสริมขึ้น

ดวงตาของนางเปล่งประกาย พลันเข้าใจขึ้นมาทันใด ทำไมวันนี้นางถึงได้พบฉินมู่ปิงและฉินเฮ่าสองพ่อลูกในหอหร่วนเซียงพร้อมกัน

พูดๆ ไปแล้ว ตั้งแต่ฉินเฮ่าเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง ความประพฤติของสองพ่อลูกนี้ก็ดูพิลึกพิลั่นมาโดยตลอด

ซื่อจื่อเจ้าสำราญคนหนึ่ง ต้องเป็นคนที่ยโสโอหังที่สุดในเมืองหลวง กระทำเรื่องอะไรคงจะต้องอึกทึกครึกโครมให้คนใต้หล้ารับรู้ไปทั่ว ทว่าราชนิกุลสายตรงผู้นั้น ท่านอ๋องผู้นั้นกลับอ่อนน้อมถ่อมตน คล้ายกับไร้ตัวตนมิปาน

เหมือนกับเหตุการณ์เช่นคืนนี้ โอกาสที่จะพวกเขาทั้งสองจะปรากฏตัวขึ้นนั้นที่จริงแล้วมีไม่มาก

โดยเฉพาะฉินเฮ่า นอกจากงานเลี้ยงที่จวนจิ้งหนานอ๋องเชิญไปคราวนั้น ซูหลีก็แทบจะไม่เห็นเขาในวังหลวง คล้ายกับสถานที่เดียวที่จะสามารถเจอเขาได้นั้น ก็คือในท้องพระโรงยามประชุมราชกิจเท่านั้น

“บัดนี้คนในหอหร่วนเซียงส่วนใหญ่ มากกว่าครึ่งล้วนเป็นคนเก่าแก่ของร้านเครื่องหอม”

ดูเหมือนเพื่อให้ตรงกับที่ความคิดของซูหลีมิปาน จู่ๆ ฉินเย่หานก็พูดอีกประโยคหนึ่ง

ซูหลีหรี่ตาเล็กน้อย ในชั่วพริบตาก็สงบเสงี่ยมลง

เกรงว่าเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังของหอหร่วนเซียงนี้ คงจะเป็นคนของจวนจิ้งหนานอ๋องกระมัง

มิฉะนั้นในหอโคมเขียวแห่งนี้ ไยถึงมีคนเก่าแก่ของร้านเครื่องหอมมากกว่าครึ่งกัน

การทำเครื่องหอมกับหอโคมเขียว ทั้งสองกิจการนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่าว่าแต่ขณะนี้หอหร่วนเซียงเป็นหอโคมเขียวที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงเลย ถึงแม้จะเป็นหอโคมเขียวปกติ เกรงว่าก็ไม่มีทางใช้คนที่ออกมาจากร้านเครื่องหอมกระมัง

ก่อนหน้านี้นางมักได้ยินเสมอว่า เจ้าของหอหร่วนเซียงเป็นพ่อค้าที่อ่อนน้อมถ่อมตนคนหนึ่ง บัดนี้ดูเหมือนว่า พ่อค้าคนนั้นคงจะเป็นแค่ฉากบังหน้า

อีกทั้งคนที่กุมบังเ**ยนของหอโคมเขียวอันดับหนึ่งแห่งนี้อย่างแท้จริงคือจวนจิ้งหนานอ๋อง และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นจิ้งหนานอ๋องฉินเฮ่า!

มิฉะนั้นวันนี้เขาคงไม่ปรากฏตัวเช่นนี้!

ครั้นซูหลีคิดถึงตรงนี้ ในสมองพลันมีแสงวูบวาบเข้ามาทันที!

เดิมนางคิดว่า ที่แม่นางยอดดอกเหมยมีความคล้ายคลึงกับนางหลายส่วนเป็นเพราะต้องการใช้เรื่องนี้จัดการนาง บัดนี้ดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เกรงว่า…

เรื่องนี้มีไว้จู่โจมฉินเย่หานตั้งแต่แรก!

ที่ฉินเย่หานปรากฏตัวที่นั่น เป็นเวลาประมูลหงหลัวพอดี ฉินเฮ่าประมูลให้กับฉินเย่หาน…

เมื่อเชื่อมโยงกับรูปโฉมของหงหลัวคนนั้นที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับนางแล้ว ดวงใจซูหลีจึงรู้สึกหวาดหวั่นในทันที

นี่!

นี่หาคนที่คล้ายคลึงกับนางมาก ก็เพราะต้องการใช้นางมาแทนที่ซูหลีหรือ

ฉินเย่หานปฏิบัติต่อนางเป็นพิเศษ บัดนี้ทุกคนแทบจะทราบกันดี

เช่นนั้นถึงหาคนที่เชื่อฟังคำพูดของพวกเขา อีกทั้งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับนางเพื่อแทรกแซงอยู่ข้างกายฉินเย่หาน!

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

Status: Ongoing

ชาติที่แล้ว เพียงเพราะส่งเสริมอำนาจให้ผิดคน ผลที่ได้คือนางถูกทรยศหักหลัง ตระกูลของนางถูกใส่ร้ายจนต้องโทษประหารทั้งตระกูล และจบชีวิตลงด้วยความเคียดแค้น

ทว่านางกลับฟื้นขึ้นมาในร่างของ ซูหลี หญิงสาวผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทั้งยังถูกมารดาเลี้ยงดูมาเยี่ยงเด็กผู้ชาย เมื่อสวรรค์หยิบยื่นหนทางแก้แค้นมาให้ในชาตินี้ นางยินยอมจะใช้ทุกเล่ห์เพทุบายล้างมลทินให้ตระกูล และสิ่งที่นางมอบให้คนทรยศผู้นั้นไป นางย่อมต้องทวงคืนกลับมาด้วยมือตนเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท