ตอนที่ 1169 เรื่องในอดีตของสกุลจี้
“คุณหนูก็คงพอจะรู้ว่า คุณชายจี้ฉินเป็นลูกหลงของนายท่านจี้กระมัง” เย่ว์ลั่วแม้จะไม่ทราบว่าทำไมซูหลีถึงสอบถามเรื่องของสกุลจี้ ทว่าอะไรที่ตนทราบก็บอกซูหลีอย่างหมดเปลือก
นางอยู่ข้างกายซูหลีเป็นเวลานานขนาดนี้ ก็ถือว่าเข้าใจความคิดซูหลีเป็นอย่างมาก
นางทราบดีว่าซูหลีเป็นคนอย่างไร ดังนั้นถึงได้เอ่ยเรื่องที่ตนรับรู้ทั้งหมดออกมาอย่างวางใจ
ซูหลีผงกศีรษะเบาๆ ไม่เพียงแต่เท่านั้น จี้ฉินยังเป็นบุตรคนเดียวของจี้เก๋อเหล่า
ประเด็นนี้นางรู้สึกประหลาดใจมาโดยตลอด อายุของจี้เก๋อเหล่า เมื่อเทียบกับบิดาของนางซูไท่ก็ยังอายุเยอะกว่ามาก ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้มีจี้ฉินเป็นบุตรคนเดียว
“ที่จริงเรื่องนี้ล้วนมีสาเหตุ ฮูหยินอาวุโสคนปัจจุบันนี้ เมื่อนายท่านอายุสามสิบเจ็ดปีถึงจะแต่งเข้าเรือน” หลังจากเห็นซูหลีผงกศีรษะ เย่ว์ลั่วจึงเอ่ยต่อ
สามสิบเจ็ดปี!
ซูหลีหรี่ตาลงเล็กน้อย ช่วงอายุที่แต่งภรรยาและให้กำเนิดบุตรดูเหมือนจะมากเกินไปบ้าง!
อย่าว่าแต่ในสมัยราชวงศ์ต้าโจวเลย แม้แต่ในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่นางอยู่ในอดีต อายุสามสิบเจ็ดปีแต่งงานก็สามารถเรียกว่าเป็นการแต่งงานช้า
“หากอิงจากฐานะครอบครัว ทั้งยังมีน้องสาวอย่างไทเฮา จี้เก๋อเหล่าก็ไม่ควรจะแต่งงานในอายุเท่านี้นี่นา!” ซูหลีรู้สึกประหลาดใจ นางอยู่ต่อหน้าเย่ว์ลั่วก็ไม่จำเป็นจะต้องเสแสร้งอะไร จึงเอ่ยถามออกมาตามตรง
“คุณหนูมีเรื่องที่ไม่ทราบ…ก่อนที่จะมีฮูหยินอาวุโส นายท่านเคยมีสัญญาหมั้นหมายไว้แล้ว เพียงแต่หลังจากนั้นอีกฝ่ายถอนหมั้น คนที่หมั้นหมายกับนายท่านไปแต่งงานกับผู้อื่น!”
คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นถึงจับใจความหลักในคำพูดของเย่ว์ลั่ว นางพลันฉุกคิดอะไรบางอย่างได้จึงถามว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่เคยหมั้นหมายกับจี้เก๋อเหล่านั้น สกุลอะไร เป็นคนที่ใดกัน”
เย่ว์ลั่วชะงักไปเล็กน้อย ทว่านี่เป็นสิ่งที่นางเตรียมจะพูดออกมาอยู่แล้ว ดังนั้นใบหน้าของนางจึงไม่แสดงความลังเลอะไรออกมา พลันเอ่ยว่า
“สกุลเหยียน อีกทั้งยังเป็นคนเซ่าซิง มณฑลเจ้อเจียง!”
สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สกุลเหยียน! อีกทั้งยังเป็นคนเซ่าซิง มณฑลเจ้อเจียง ในบรรดาทุกคนที่นางรู้จัก มีท่านหนึ่งที่สกุลนี้และเป็นคนเซ่าซิง!
ก็คือมารดาของนาง เหยียนซื่อ!
เป็นมารดาของหลี่จื่อจิน ไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดซูหลี!
“ท่านนายนั้นคะนึงหาและไม่เคยลืมเลือนสตรีสกุลเหยียนท่านนี้มาโดยตลอด หลังจากถูกอีกฝ่ายถอนหมั้น นายท่านก็ซูบผอมลงไปยี่สิบกว่าจิน[1]ในช่วงเวลาอันสั้น จนนายท่านมีรูปโฉมเปลี่ยนไป หลังจากนั้นยังทางเดินทางไปที่เจ้อเจียงโดยเฉพาะ ทว่าสุดท้ายไม่มีผลอะไรถึงได้กลับไป!”
เย่ว์ลั่วพูดถึงตรงนี้ พลันชะงักไปครู่หนึ่ง นางมองไปทางซูหลีแล้วเอ่ยว่า
“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นายท่านก็เปลี่ยนไป ไม่ปริปากพูดเรื่องของสตรีสกุลเหยียนออกมาอีกเลยหลังจากนั้นกลับไปที่จวนหลี่ติดต่อกันอยู่บ่อยครั้ง ติดต่อกันอยู่เดือนเศษล้วนไปแต่เช้า ดึกดื่นถึงจะกลับมา”
“ทว่าไม่มีใครรู้ว่านายท่านไปทำอะไรมาบ้าง บ่าวได้ยินคนรอบข้างคิดกันไปเอง กล่าวว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับสตรีสกุลเหยียน ทว่าความจริงเป็นอย่างไรล้วนไม่มีใครรู้”
“บ่าวอยู่ในสกุลจี้มาเป็นเวลานาน ทว่าเรื่องที่สกุลจี้กับสกุลหลี่มีความเกี่ยวข้องกัน ก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น!”
เมื่อเย่ว์ลั่วหวนคิดจนเสร็จสิ้น จากนั้นจึงมองไปทางซูหลี
ทว่ากลับเห็นสีหน้าซูหลีที่ไม่น่าดูถึงที่สุด ไม่รู้ว่านางกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่!
มิน่านางแทรกแซงคนไปสอดแนม แม้กระทั่งส่งคนไปถามลู่อวี้เหิงในเมืองหลวง กลับสอบถามเรื่องความสัมพันธ์ของสกุลจี้กับสกุลหลี่ออกมาไม่ได้
แทบจะไม่มีเรื่องอะไรเลยทั้งสิ้น
ที่แท้ก็เป็นเรื่องเช่นนี้เอง!
หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดของเย่ว์ลั่ว ในใจถึงมีการสันนิษฐานอะไรบางอย่าง อีกทั้งนางสามารถยืนยันได้ว่าเรื่องแปดถึงเก้าส่วนเป็นเรื่องจริง!
จี้เก๋อเหล่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับบิดาของนาง กลับเคยหมั้นหมายกับเหยียนซื่อมารดาของนาง!
——
[1] จิน เป็นหน่วยน้ำหนักของประเทศจีน เท่ากับ 500 กรัม หรือ 0.5 กิโลกรัม
ตอนที่ 1170 ทำให้คนปวดหัว
เหยียนซื่อ มารดาของหลี่จื่อจินเป็นสตรีที่อ่อนหวานเป็นอย่างมาก
มารดาและบิดาของนางมีความรู้สึกที่แน่นแฟ้นเป็นอย่างมาก ทั้งชีวิตของทั้งสองคนมีหลี่จื่อจินเป็นบุตรีเพียงคนเดียว หลี่รุ่ยอิงกลับไม่ได้รับอนุเข้ามา หรือทำให้เหยียนซื่อลำบากใจเลยแม้แต่น้อย
เขารักใคร่เหยียนซื่ออย่างแท้จริง
เหยียนซื่อก็ซื่อสัตย์กับเขาไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตามซูหลีทราบดีว่า เหยียนซื่อมารดาของนางอายุมากกว่าหลี่รุ่ยอิงอยู่หลายปี อีกทั้งยังเคยมีการหมั้นหมายมาก่อน ทว่าหลังจากนั้นถูกบิดาของนางแย่งชิงนาง
มิผิด เป็นการแย่งชิง!
รายละเอียดเป็นอย่างไร ซูหลีนั้นไม่ทราบอย่างชัดเจน ทว่าที่กล่าวว่าแย่งชิงมานั้น สามารถยืนยันได้ เพราะในความทรงจำของนางนั้น ยามที่เหยียนซื่อเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ใบหน้ากับแสดงท่าทางนั้นหน่ายใจทั้งหวานชื่น
ซูหลีรู้สึกหนักใจอยู่เล็กน้อย หากเป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้เซียวเก๋อเหล่าจัดการกับสกุลหลี่ อย่างไรก็เป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้
จี้เก๋อเหล่าไม่แต่งงานจนกระทั่งอายุสามสิบเจ็ดปี ก็เห็นได้ชัดว่า เขามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อมารดาของนางอยู่มาก มิฉะนั้นคงไม่เป็นเข่นนี้
ทว่าหากเป็นเพราะเรื่องนี้จึงทำร้ายครอบครัวของพวกเขา แม้กระทั่งใช้ชีวิตของเหยียนซื่อก็ยังต้องชดใช้ไปด้วย นี่เป็นสิ่งที่ซูหลีไม่อาจรับได้
สามารถมีความรักได้ ทว่าหากความรักเป็นบ่อเกิดแห่งความแค้น จนกระทั่งทำเรื่องขาดสติได้ถึงเพียงนี้ นั่นก็คือความหลงใหลแล้ว
ซูหลีรู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง ที่จริงแล้วเรื่องนี้พูดไปก็คือความผิดของบิดาของนาง ก่อนหน้านี้นางไม่เชื่อมาโดยตลอดว่า บิดาที่สุภาพและเรียบง่ายของตนจะทำเรื่องแย่งชิงคนได้
ทว่าคนรอบกาย อีกยังมีการแสดงออกมาเหยียนซื่อ ทั้งหมดล้วนบอกนางว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริง
หากพูดในมุมมองนี้ นั่นเป็นความผิดของบิดานางจริงๆ หากเซียวเก๋อเหล่าจะโทษพวกเขาสกุลหลี่ แม้กระทั่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับหลี่รุ่ยอิง นั่นก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว
ทว่าหากเป็นสาเหตุนี้จึงมีส่วนร่วมกับการสังหารทั้งสกุลหลี่ แม้กระทั่งทำร้ายหลี่รุ่ยอิงกับเหยียนซื่อจนทั้งสองคนตายอย่างอนาถ ซูหลีรู้สึกว่าวิธีการจะโหดเ**้ยมเกินไปบ้าง
นางยังมีชีวิตอยู่ หากเป็นเช่นนี้แล้วแสดงท่าทีขอบคุณ ความอาฆาตแค้นจะได้รับกรรมตามสนองเมื่อไหร่กัน…
ทว่าความแค้นที่ไม่ได้แก้แค้นนี้กำลังกดทับบนอกของนาง คดีฆาตกรรมทั้ง 413 คนของสกุลหลี่จะทำอย่างไรดี
“เป็นอะไรหรือ” ในขณะที่ทั้งร่างของซูหลีกำลังกลัดกลุ้ม ไม่พูดอะไรต่อ ในเวลานี้ก็ได้เสียงที่เย็บยะเยียบดุจน้ำแข็งดังขึ้น
นางชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นจึงหันศีรษะกลับมามอง สายตาจึงเห็นฉินเย่หานที่สวมชุดอาภรณ์สีเหลืองสว่างแสบตาเดินย้อนแสงเข้ามา
ไยฉินเย่หานถึงมาที่นี่กัน
นางอดที่จะตะลึงไม่ได้ เขาไม่ใช่เพิ่งผละออกจากนางไปตอนเช้าหรือ
เขามักชอบเดินตามมาทางด้านหลังอย่างว่องไวและจู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่รู้ว่าคำพูดที่นางกับเย่ว์ลั่วคุยกันเมื่อครู่ เขาได้ยินแล้วหรือไม่
ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย ในเวลานี้ถึงมีท่าทีตอบสนอง จึงฉีกยิ้มเดินไปข้างเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ไยฝ่าบาทถึงเสด็จมาที่นี่”
“เรามาไม่ได้หรือ” ฉินเย่หานกวาดตามองนางปราดหนึ่ง แววตามีความเย็นยะเยียบอยู่บ้าง ในสายตาของเขาเห็นใบหน้าซูหลีมีความซีดเผือดอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งในดวงตายังมีความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
สายตาของฉินเย่หานเข้มขึ้นเล็กน้อย เขามองนางอย่างล้ำลึกอยู่ครู่หนึ่ง สายตานี้เสมือนกับสามารถมองทั้งร่างนางอย่างทะลุปรุโปร่งมิปาน ซูหลีถูกเขามองเช่นนี้รู้สึกว่าหัวใจมีแต่ความมึนงง
และในเวลานี้นางได้ยินเขาเอ่ยว่า
“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นหรือ”
หัวใจของซูหลีสะดุ้งเล็กน้อย ดังนั้นคำพูดที่นางพูดกับเย่ว์ลั่วเมื่อครู่ เขาคงได้ยินแล้ว?
เพราะในใจกำลังสับสนเป็นอย่างมาก ซูหลีจึงไม่ได้ตอบคำถามเขาในทันที อารมณ์ที่ปรากฏผ่านสีหน้ายิ่งเย็นยะเยียบยิ่งกว่าเดิม