หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้น ก็ได้พบกับแววตาอันแสนอ่อนโยนและเป็นห่วงของฉู่หมิงชุ่ยเข้า
“ อยากนั่งพักสักครู่ก่อนหรือไม่?” ฉู่หมิงชุ่ยเอ่ยถาม
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า รีบดึงมือออกจากการช่วยประคองนั้นอย่างไม่รู้ตัว “ไม่ต้องหรอก ขอบคุณมาก”
อ๋องฉี หยู่เหวินชิงหันกลับมา มองหน้าของหยวนชิงหลิงด้วยสายตาไม่พอใจ จากนั้นจึงพูดกับฉู่หมิงชุ่ยว่า “กับคนพรรค์นี้ จะต้องไปสนใจทำไมกัน?”
ฉู่หมิงชุ่ยกลับไปยืนเคียงข้างอ๋องฉีอีกครั้ง ก่อนจะกวาดสายตาไปมองดูหยวนชิงหลิงนิ่ง ๆ แวบหนึ่ง นางมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “อย่างไรก็ครอบครัวเดียวกันนะเพคะ”
“เจ้าน่ะใจดีเกินไปแล้ว” อ๋องฉีกุมมือฉู่หมิงชุ่ยแน่น ยามที่ทั้งสองยืนเคียงคู่กัน ช่างดูราวกับเทพเซียนจากสรวงสวรรค์คู่หนึ่งเลยทีเดียว
จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกถึงไอเย็นสายหนึ่งแผ่กระจายเข้ามาหาอย่างรุนแรง ซึ่งไอเย็นที่ว่านี้ แผ่มาจากร่างของหยู่เหวินเห้านั่นเอง
คนในใจของตัวเอง ยืนอยู่ข้างกายผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่เขา ทำไมจะไม่ทำให้เขารู้สึกทั้งเสียใจทั้งโกรธแค้นกันล่ะ ? หยวนชิงหลิงคิดแบบนั้นในใจ
ในส่วนพระตำหนักชั้นใน แว่วเสียงร้องไห้ดังมาให้ทุกคนได้ยิน
ทุกคน ณ.ที่นั่นต่างตื่นตระหนก รีบหันไปมองที่ประตูโดยพร้อมเพรียงกัน
ผ้าม่านถูกม้วนเปิดออก มีขันทีผมขาวโพลนคนหนึ่งเดินออกมา ดวงตาของเขาแดงก่ำและบวมช้ำ สีหน้าอิดโรยซีดเซียวดูท้อแท้สิ้นหวังอย่างยิ่ง เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ขอเชิญท่านผู้หญิง ท่านอ๋อง และพระชายาทุกพระองค์เข้าเฝ้าในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ ”
คนผู้นี้คือ ลี่กงกง ขันทีผู้รับใช้เบื้องพระบาทไท่ซ่างหวงมาถึงสี่สิบห้าปีเต็มๆ
สีหน้าของทุกคนพลันแลดูโศกสลด เคร่งเครียดหนักอึ้งจมดิ่งกันทันที พวกเขาเดินตามลี่กงกงเข้าไปในพระตำหนัก แต่ละก้าวที่เดินไปแผ่วเบาอย่างยิ่ง กระทั่งแรงที่ใช้หายใจก็ยังแทบจะเป็นการกลั้นใจเดินกันเลยทีเดียว
หยวนชิงหลิงเดินตามหลังหยู่เหวินเห้าไปเงียบ ๆ พยายามควบคุมอาการวิงเวียนศีรษะของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
ในพระตำหนัก มีคนหลายคนอยู่ในนั้นก่อนแล้ว
ไทเฮากับฮ่องเต้ทรงประทับนั่งอยู่ที่ข้างแท่นบรรทม ฮองเฮาก็ทรงประทับอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยเช่นกัน บรรดาพระเชษฐา พระอนุชา ของไท่ซ่างหวงซึ่งมีลำดับชั้นยศท่านอ๋องทั้งหลาย ต่างก็พากันกลับมาที่ราชสำนักนานแล้ว พวกเขาเข้าวังมาตั้งแต่เมื่อวาน และอยู่ยาวในพระตำหนักส่วนในจนถึงตอนนี้
หมอหลวงเกือบทั้งหมดในวัง ต่างมายืนเรียงรายเป็นสองแถวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หยวนชิงหลิงแอบชำเลืองดู เห็นแค่ผ้าม่านสีทองถูกที่ถูกม้วนขึ้น มีชายชราใบหน้าเหี่ยวย่นนอนอยู่บนเตียงไม้จันทน์ขนาดใหญ่ หมอนที่หนุนนั้นสูงมาก เขาอ้าปากกว้างเพื่อพยายามสูดลมหายใจเข้าไป ปากของเขาดูน่ากลัวดั่งหลุมดำ เบ้าตาลึกโบ๋
เสียงร้องไห้ที่ดังมา เป็นเสียงขององค์ไทเฮานั่นเอง พระนางประทับนั่งอยู่บนขอบพระแท่น สวมชุดคลุมสีม่วงหลวม ๆ เห็นได้ชัดว่าพระนางซูบผอมบอบบางอย่างยิ่ง
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา แม้จะพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังมีเสียงสะอื้นดังลอดออกมาให้ได้ยินอยู่
เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้ามาแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้น น้ำตาเอ่อท้นออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ พูดด้วยน้ำเสียงขลุกขลักอยู่ในลำคอว่า “ทุกคนจงคุกเข่าลง น้อมส่งเสด็จปู่”
ทุกคนพากันคุกเข่าลง หยวนชิงหลิงเองก็คุกเข่าลงด้วยเช่นกัน
สุนัขตัวเล็กๆตัวหนึ่ง มุดจากนอกพระตำหนักเข้ามา ส่งเสียงครางหงิงๆพลางตะเกียกตะกายขึ้นไปบนแท่นบรรทมของไท่ซั่งหวง ไม่มีใครเข้ามาหยุดหรือรั้งมันไว้
นับตั้งแต่ไท่ซั่งหวงทรงเลี้ยงลูกสุนัขตัวนี้ ก็มองมันเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าในสายพระเนตรมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ทรงทอดพระเนตรเห็นมัน พระองค์ก็จะทรงสำราญพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เจ้าลูกสุนัขตัวนี้ เคยแอบหนีออกจากวังไปสองสามวันไม่ยอมกลับ ไท่ซ่างหวงก็ทรงไม่ยอมเสวยพระกระยาหารเป็นสองสามวันด้วยเช่นกัน
ครั้นไท่ซั่งหวงทอดพระเนตรเห็นลูกสุนัขตัวนั้น พระองค์ที่เดิมทีแค่จะหายใจก็ยังลำบากพลันกลอกดวงเนตรขึ้น สีพระพักตร์เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนมีเมตตาขึ้นมาหลายส่วน ยกพระหัตถ์ขึ้น ลูบไปที่ลูกสุนัขซึ่งนอนขดตัวอยู่ข้างๆแท่นบรรทมของพระองค์
ในพระตำหนัก มีเพียงเสียงของเจ้าสุนัขตัวน้อยนั่น ดังก้องไปมาไม่หยุด
หยวนชิงหลิงกลับรู้สึกราวกับว่าถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ก็ไม่ปาน ร่างทั้งร่างนางแข็งทื่อ ตกตะลึงพรึงเพริดอย่างทำอะไรไม่ถูก
นางถึงกับเข้าใจความหมายของเสียงเห่าของเจ้าลูกสุนัขตัวนั้น ว่าเจ้าลูกสุนัขตัวนั้นกำลังคร่ำครวญถึงเจ้านายที่กำลังจะจากมันไป
นางได้รับความสามารถพิเศษนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่? นางสามารถเข้าใจภาษาสุนัขได้อย่างนั้นหรือ?
ไท่ซ่างหวงลูบเจ้าลูกสุนัขตัวนั้นด้วยพระหัตถ์อันสั่นเทา จากนั้นก็ค่อย ๆ หันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรฮ่องเต้ แม้ว่าจะไม่อาจตรัสอะไรออกมาได้ แต่ทว่า ในสายพระเนตรของพระองค์ก็แสดงชัดถึงการกล่าวอำลาเป็นครั้งสุดท้าย
ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงเข้าพระทัยในความหมายของไท่ซ่างหวง รีบตรัสขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เสด็จพ่อโปรดทรงวางพระทัย หม่อมฉันจะดูแลฝูเป่าเป็นอย่างดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงทรงแย้มสรวลอย่างพอพระทัย ทอดพระเนตรมองไปยังเจ้าลูกสุนัขฝูเป่า หายใจได้อย่างราบรื่นผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่มาก
ไทเฮาตรัสถามด้วยสุรเสียงอู้อี้ในลำคอว่า “ไท่ซ่างหวง บรรดาโอรสราชนัดดาของท่าน ล้วนมาอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้ว พระองค์จะไม่ทรงทอดพระเนตรสักหน่อยหรือเพคะ?”