หลังจากกินหมั่นโถวไปได้เกินครึ่ง นางก็รู้สึกว่า ร่างกายตัวเองค่อยฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อยแล้ว นางพยายามลุกไปที่โต๊ะโดยใช้ร่างกายส่วนบนช่วยพยุงตัว แต่ก็ไม่สามารถเทน้ำได้ไหว จึงทำได้เพียงนอนคว่ำตัวลงบนโต๊ะ แล้วดื่มน้ำที่ยังพอมีเหลืออยู่ในแก้ว
เมื่อรู้สึกว่าดีขึ้นบ้างแล้ว ก็ค่อยๆขยับขาทั้งสองข้างไปด้านหลัง เพื่อจะพลิกให้ตัวคว่ำลง แต่เพราะมีแรงไม่พอ จึงล้มกลับลงไปบนพื้นอย่างเก่า แรงล้มนั้นส่งผลกระเทือนไปถึงบาดแผลที่แผ่นหลังของนาง จนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกระลอก
นางฝืนกัดฟันอดทนให้มันผ่านพ้นไป จากนั้นจึงใช้ข้อศอกทั้งสองข้าง พาตัวเองคลานไปหากล่องยา แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่นางก็พอจะจำได้ว่า ยาแก้อักเสบกับยาลดไข้วางอยู่ตรงตำแหน่งไหน
เมื่อไม่สามารถฉีดยาได้ นางจึงทำได้เพียงกินยาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ผ่านไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง นางก็หยิบวิตามินซีออกมาอีก แล้วกินเข้าไปรวดเดียวครั้งละหลายๆเม็ด แต่เพราะต้องกลืนลงไปโดยที่ไม่มีน้ำกลั้วคอ รสชาติจึงเปรี้ยวมากเสียจนนางแทบอยากเอามือทุบพื้นเลยทีเดียว
หลังจากกินยาแล้ว นางก็นอนขดตัวหอบฮั่กๆอยู่กับพื้น ตั้งแต่เกิดมา นางยังไม่เคยได้รับความเจ็บปวดทรมานทางกายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต การลงทัณฑ์โบยตีด้วยไม้กระบองครั้งนี้ ทำให้นางรู้ชัดเจนเลยว่า ยุคนี้มันช่างแตกต่างจากยุคที่นางเคยอาศัยอยู่มากเหลือเกิน ยิ่งเป็นคนที่มีอำนาจบารมีสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสิทธิ์กุมชะตาชีวิต กุมความเป็นความตายของคนอื่นไว้ในมือได้มากเท่านั้น
และชีวิตของนาง ก็ถูกกำไว้ในอุ้งมือของอ๋องฉู่นั่นเอง
นางมีแต่จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความรุนแรงป่าเถื่อนลักษณะนี้ให้จงได้
แต่ก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้น ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แม้ว่าจะกำจัดหนองออกจากแผลแล้วก็จริง แต่ถ้าไม่ได้กินยา ก็ยากที่จะหายดีได้
ลานอ่าย
หลังจากที่หกเกอเอ๋อกินยาเข้าไป เขาก็กลับมามีไข้สูงอีกครั้ง
แม่นมฉีร้อนใจเสียจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานนี้เห็นได้ชัดว่าดีขึ้นมากแล้วแท้ๆ ทำไมพอถึงตอนค่ำ กลับเริ่มมีไข้ขึ้นสูงอีกแล้วล่ะ?
ลู่หยาก็ร้อนใจเช่นกัน พูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างไร ให้ข้าไปเชิญหมอลี่มาอีกครั้งดีหรือไม่?”
แม่นมฉีหันไปมองหลานชายที่กระทั่งจะหายใจก็ยังลำบาก ย้อนนึกถึงยาสองเทียบต่อเงินห้าตำลึงของหมอลี่ นางไม่มีเงินเหลือแล้วจริง ๆ ได้แต่พูดอย่างสิ้นหวังว่า “หมดหนทางแล้ว หมดหนทางแล้วจริงๆ ”
ลู่หยาร้อนใจจนร้องไห้โฮ “ เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกันดี นี่ข้าทำได้แค่ต้องเบิกตามองดูหกเกอเอ๋อ….. ” นางทนไม่ได้ที่จะพูดคำนั้นออกจากปากตัวเอง
แม่นมฉีกัดฟันแน่น ดวงตาของนางสาดฉายความโศกเศร้าและเกรี้ยวโกรธ “หากว่าหกเกอเอ๋อต้องจากไป ข้าจะยอมทุ่มทั้งชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ไปฆ่านังผู้หญิงคนนั้นให้จงได้”
นางเหลือแค่เพียงหกเกอเอ๋อ หลานชายคนนี้เพียงคนเดียวแล้ว หากว่าหลานชายต้องจากไป นางก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
ผู้หญิงคนนั้นเป็นพระชายา ทั้งยังเป็นลูกเมียหลวงของเจ้าพระยาจิ้ง หากว่าฆ่านางตายไปจริงๆ ตัวนางเองก็ไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้แน่ๆ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นางก็ไม่สนใจชีวิตแก่ชราชีวิตนี้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อหกเกอเอ๋อได้ยินคำพูดนี้เข้า กลับค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ
เขาลืมตาขึ้น ใบหน้าเห่อร้อนแดงก่ำจากพิษไข้ เด็กตัวเล็ก ๆคนหนึ่ง ช่างฉลาดรู้ความยิ่งนัก เขาพยายามพูดทั้งที่เจือเสียงสะอื้นว่า “ท่านย่า ข้าไม่เป็นไร”
แม่นมฉีน้ำตาไหลอาบหน้า ลูบมือที่หยาบกร้านของนางไปบนใบหน้าของหลานชายอย่างแผ่วเบา กัดฟันแล้วพูดขึ้นว่า ” เจ้าวางใจเถอะนะ ย่าจะต้องชำระความแค้นนี้แทนเจ้าให้จงได้ จะไม่ปล่อยให้นังผู้หญิงแซ่หยวนนั่นได้อยู่ดีแน่!”
หกเกอเอ๋อผงะไปเล็กน้อย ค่อยๆชันตัวขึ้นนั่ง สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง แล้วพูดว่า “พระชายา … รักษาบาดแผลให้ข้า พระชายาเป็นคนดี”
ลู่หยาตกตะลึงจนผงะค้างไปแล้ว “ หกเกอเอ๋อ นี่เจ้าไข้ขึ้นจนเลอะเลือนแล้วอย่างนั้นรึ เจ้าพูดเหลวไหลอะไรออกมา?”
หกเกอเอ๋อร้อนใจบ้างแล้ว รีบพูดขึ้นว่า “พระชายาขูดหนองให้ข้า บอกข้าว่าหลังจากขูดหนองแล้วกินยาเข้าไปก็จะหายดีแล้ว พระชายายังลูบหัวข้าด้วย บอกอีกว่าข้าจะไม่เป็นไร”
หลังจากพูดจบ เขาก็ทรุดตัวล้มลงไปบนเตียง แล้วหายใจหอบหนักรุนแรง
แม่นมฉีผุดยืนขึ้นทันที มองดูหกเกอเอ๋ออย่างตื่นตระหนก “ จริงๆหรือ? นางไม่ได้มาทำร้ายเจ้าหรอกหรือ?”
“ไม่ได้ทำร้ายข้า ….. ” ตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของหกเกอเอ๋อเริ่มจะดูเลื่อนลอยแล้ว คล้ายไม่อาจหาจุดรวมสายตาได้ เขายื่นมือออกมา “ท่านย่า ข้าหนาวเหลือเกิน”
เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว อ้าปากกว้างเพื่อจะหายใจ แต่มีเพียงลมหายใจออกเท่านั้น ไม่มีลมหายใจเข้าแล้ว
“ลู่หยา เจ้าดูหกเกอเอ๋อก่อนนะ ข้าจะรีบไปเชิญพระชายา” แม่นมฉียกตะเกียงขึ้นได้ ก็วิ่งออกไปทันที
แม่นมฉีพุ่งไปที่หอเฟิ่งหยี ผลักประตูเปิดออก ทันทีที่เสียงจากตะเกียงส่องเข้าไป ก็เห็นหยวนชิงหลิงนอนคว่ำอยู่บนพื้นด้วยสภาพร่อแร่เต็มทน
บนพื้น ล้วนเต็มไปด้วยบรรดาข้าวของที่กระจัดกระจายระเกะระกะ นับตั้งแต่วันนั้นมา ก็ไม่มีใครเข้าไปเก็บกวาดทำความสะอาดที่หอเฟิ่งหยีอีกเลย