หลังจากดื่มเสร็จ นางก็รู้สึกว่ามีความอบอุ่นระลอกหนึ่ง ค่อยๆแผ่ขยายขึ้นภายในท้อง ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกสบายขึ้นอย่างมากจริงๆ
แม่นมฉีพูดเบา ๆ ว่า ” พระชายา รอให้ท่านกลับจวนมาแล้ว ข้าน้อยจะค่อยๆปรับสมดุลให้ร่างกายท่านอีกครั้ง ตอนนี้ท่านโปรดหลับตาแล้วพักผ่อนสักครู่ อีกเดี๋ยวก็จะดีขึ้นแล้วเพคะ”
หยวนชิงหลิงหลับตาแน่น รับรู้ได้เพียงว่า เหมือนมีประกายแสงจากดอกไม้ไฟที่ระเบิดวูบวาบสาดกระจายอยู่ในสมองของนางไม่หยุด ทั้งมีเสียงเอะอะอีกทึกบางอย่าง ที่ดังกึกก้องไปมาจนจับใจความไม่ได้
“เจ้ายังไม่คู่ควรให้ข้าเกลียดเลยด้วยซ้ำ ข้าก็แค่ขยะแขยงเจ้า ในสายตาข้า เจ้ามันก็เหมือนแมลงวันที่คอยไล่ตอมกลิ่นเหม็นเน่า ใครเห็นใครก็รู้สึกรังเกียจนั่นล่ะ หากไม่เช่นนั้น ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องดื่มยาก่อนจะมาร่วมหอกับเจ้าหรอก ”
นั่นคือเสียงของอ๋องฉู่ หยู่เหวินเห้า ซึ่งอัดแน่นไปด้วยความเดียดฉันท์เกลียดชังในน้ำเสียงอย่างเต็มเปี่ยม นางไม่เคยได้ยินคำพูดอะไร ที่ช่างโหดเหี้ยมเลวร้ายมากถึงขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
เสียงใครบางคนกำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในหูของนาง ประกายไฟที่แตกกระจายอยู่ในหัวพลันเปลี่ยนสภาพเป็นรอยเลือดสด ๆ แดงเถือกที่ลากยาวคดเคี้ยวเหลือคณา
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ ทุกอย่างก็ค่อย ๆ สงบลงจนเข้าสู่ภาวะปกติ
มันราวกับว่า บรรดาเส้นเชือกนับหมื่นนับพันเส้น ที่พันกันยุ่งเหยิงอยู่ข้างในใจของนางได้ถูกคลายปมออกไปได้ในที่สุด
อาการเจ็บปวดค่อยๆหายไป หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ไม่ใช่ว่าหายเจ็บ แต่เป็นอาการชาเสียมากกว่า
นางลืมตาขึ้น ก็เห็นลู่หยายืนอยู่หน้าเตียง กำลังมองนางด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด
“พระชายา รู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่เพคะ?” ลู่หยาเห็นนางลืมตาขึ้นมาแล้ว จึงรีบละล่ำละลักถาม
“ ไม่เจ็บแล้ว” หยวนชิงพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
มันไม่เจ็บแล้ว แต่นางรู้สึกชาไปทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างน่ากลัว นางพยายามเอื้อมมือขึ้นไปหยิกหน้าของตัวเอง แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
เจ้าสิ่งนี้ได้ผลดีเสียยิ่งกว่ายาชาอีก!
“เช่นนั้น ข้าน้อยจะพยุงท่านลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะเพคะ ไม่อย่างนั้นท่านอ๋องอาจจะโกรธขึ้นมาอีกก็เป็นได้ ” ลู่หยายื่นมือเข้ามาช่วยพยุงนาง แม่นมฉีก็เดินจากข้างนอกเข้ามา พร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เมื่อเห็นว่านางลุกขึ้นแล้ว ก็รีบพูดว่า “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า ท่านอ๋องเร่งมาแล้ว”
หยวนชิงหลิงยืนตัวชาแข็งทื่อ ปล่อยให้ทั้งสองคนถอดและเปลี่ยนเสื้อผ้าบนร่าง ระหว่างการพันปิดบาดแผล นางไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็มานั่งอยู่ตรงหน้ากระจกทองแดง หยวนชิงหลิงมองจ้องเขม็งไปที่เงาคนในกระจก
เครื่องหน้าทั้งห้าล้วนงดงามลงตัว ผิวพรรณขาวละเอียด ขนตายาวโค้งงอนเป็นแพหนา บดบังเก็บซ่อนดวงตาที่ไร้ความรู้สึกคู่หนึ่งไว้
ริมฝีปากแห้งเป็นขุยซีดเซียว ดูไร้สีเลือดฝาดหล่อเลี้ยงโดยสิ้นเชิง ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าผากกว้างถูกปรกไปเกือบมิด ผิวพรรณไม่หลงเหลือความเงางามชุ่มชื้นเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยฝีไม้ลายมืออันเชี่ยวชาญของแม่นมฉีและลู่หยา หลังจากวุ่นวายมือเป็นระวิงอยู่บนใบหน้าของนางกันครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าคนในกระจกแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว คิ้วโก่งเรียวงามราวใบหลิว ริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวเป็นประกาย ดวงตาเชิดดั่งพญาหงส์ทรงเสน่ห์ หากแค่นางเบิกตาให้กว้างขึ้นสักหน่อย จะเสริมให้ดูมีพลังอำนาจขึ้นอีกหลายเท่าอย่างแน่นอน
“น้ำจื่อจินคืออะไรรึ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ท่านจำไม่ได้แล้วหรือเพคะ?” ลู่หยาตะลึงค้าง
นางจำไม่ได้ มีความทรงจำมากมายที่ไม่ได้เป็นของนาง แต่มันกลับเข้าไปพัวพัน หลอมรวมกับความทรงจำของนางจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน นางไม่มีเรี่ยวแรงนัก ต้องค่อยๆแยกแยะความทรงจำเหล่านั้นอย่างเชื่องช้า
แต่นางก็ไม่ได้ถามต่อเช่นกัน ในเมื่อลู่หยาพูดอย่างนั้นแล้ว นางจึงทำใจให้สงบนิ่ง ค่อยๆคิดไปแบบช้าๆไม่รีบร้อน นางก็คงจะรู้เองว่าน้ำจื่อจินคืออะไร
สิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจได้คือ มันต้องไม่ใช่ของดีงามอะไรแน่
นางลุกขึ้นยืน ก้าวเดินออกไปสองสามก้าว ไม่รู้สึกเจ็บที่บาดแผลเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะอาการชาที่เป็นอยู่ ทำให้เชื่องช้าอย่างมากในขณะที่ก้าวเดิน
“ พระชายา แม้ว่าจะไม่เจ็บแล้ว แต่ยังต้องระวังระหว่างการเดินเหินให้มาก พยายามอย่าสัมผัสบาดแผลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะเพคะ” แม่นมฉีกำชับอย่างเคร่งครัด
“หกเกอเอ๋อดีขึ้นบ้างหรือยัง?” หยวนชิงหลิงจับที่เสาคานประตู หันหน้ากลับมามองนาง
แม่นมฉีถึงกับสะดุ้ง พยักหน้าตอบรับโดยไม่รู้ตัว “ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”
หยวนชิงหลิงมองไปยังท้องฟ้าข้างนอก เมื่อครู่ยังพอมีแสงอาทิตย์อยู่ แต่มาตอนนี้ กลับเปลี่ยนเป็นสีเทาครึ้มๆ ขมุกขมัวแล้ว ดูเหมือนว่าฝนใกล้จะตกลงมาทุกที
“เรื่องของหกเกอเอ๋อ ข้าขอโทษจริงๆ!” นางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาอู้อี้จนแทบจะไม่ได้ยิน
แม่นมฉีกับลู่หยาหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งคู่งุนงงตกตะลึงอย่างหนัก
ไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? นางพูดว่าขอโทษ?
หยวนชิงหลิงเดินออกมาช้าๆ นางไม่คุ้นเคยกับการสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ และด้วยเหตุเพราะนางชาไปหมดทั้งตัว จึงเดินได้งกๆเงิ่นๆเชื่องช้าอย่างยิ่ง นางสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ แต่กลับสัมผัสถึงบางสิ่งที่อยู่ในแขนเสื้อได้ หยวนชิงหลิงยืนนิ่ง หลังจากล้วงมันออกมาดู พลันรู้สึกว่าเลือดในกายทั้งหมด มันเหมือนกับถูกแช่แข็งไปเลยทีเดียว