บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 12

ตอนที่ 12

หลังจากดื่มเสร็จ นางก็รู้สึกว่ามีความอบอุ่นระลอกหนึ่ง ค่อยๆแผ่ขยายขึ้นภายในท้อง ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกสบายขึ้นอย่างมากจริงๆ

แม่นมฉีพูดเบา ๆ ว่า ” พระชายา รอให้ท่านกลับจวนมาแล้ว ข้าน้อยจะค่อยๆปรับสมดุลให้ร่างกายท่านอีกครั้ง ตอนนี้ท่านโปรดหลับตาแล้วพักผ่อนสักครู่ อีกเดี๋ยวก็จะดีขึ้นแล้วเพคะ”

หยวนชิงหลิงหลับตาแน่น รับรู้ได้เพียงว่า เหมือนมีประกายแสงจากดอกไม้ไฟที่ระเบิดวูบวาบสาดกระจายอยู่ในสมองของนางไม่หยุด ทั้งมีเสียงเอะอะอีกทึกบางอย่าง ที่ดังกึกก้องไปมาจนจับใจความไม่ได้

“เจ้ายังไม่คู่ควรให้ข้าเกลียดเลยด้วยซ้ำ ข้าก็แค่ขยะแขยงเจ้า ในสายตาข้า เจ้ามันก็เหมือนแมลงวันที่คอยไล่ตอมกลิ่นเหม็นเน่า ใครเห็นใครก็รู้สึกรังเกียจนั่นล่ะ หากไม่เช่นนั้น ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องดื่มยาก่อนจะมาร่วมหอกับเจ้าหรอก ”

นั่นคือเสียงของอ๋องฉู่ หยู่เหวินเห้า ซึ่งอัดแน่นไปด้วยความเดียดฉันท์เกลียดชังในน้ำเสียงอย่างเต็มเปี่ยม นางไม่เคยได้ยินคำพูดอะไร ที่ช่างโหดเหี้ยมเลวร้ายมากถึงขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต

เสียงใครบางคนกำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในหูของนาง ประกายไฟที่แตกกระจายอยู่ในหัวพลันเปลี่ยนสภาพเป็นรอยเลือดสด ๆ แดงเถือกที่ลากยาวคดเคี้ยวเหลือคณา

เวลาไหลผ่านไปช้าๆ ทุกอย่างก็ค่อย ๆ สงบลงจนเข้าสู่ภาวะปกติ

มันราวกับว่า บรรดาเส้นเชือกนับหมื่นนับพันเส้น ที่พันกันยุ่งเหยิงอยู่ข้างในใจของนางได้ถูกคลายปมออกไปได้ในที่สุด

อาการเจ็บปวดค่อยๆหายไป หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ไม่ใช่ว่าหายเจ็บ แต่เป็นอาการชาเสียมากกว่า

นางลืมตาขึ้น ก็เห็นลู่หยายืนอยู่หน้าเตียง กำลังมองนางด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด

“พระชายา รู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่เพคะ?” ลู่หยาเห็นนางลืมตาขึ้นมาแล้ว จึงรีบละล่ำละลักถาม

“ ไม่เจ็บแล้ว” หยวนชิงพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

มันไม่เจ็บแล้ว แต่นางรู้สึกชาไปทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างน่ากลัว นางพยายามเอื้อมมือขึ้นไปหยิกหน้าของตัวเอง แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย

เจ้าสิ่งนี้ได้ผลดีเสียยิ่งกว่ายาชาอีก!

“เช่นนั้น ข้าน้อยจะพยุงท่านลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะเพคะ ไม่อย่างนั้นท่านอ๋องอาจจะโกรธขึ้นมาอีกก็เป็นได้ ” ลู่หยายื่นมือเข้ามาช่วยพยุงนาง แม่นมฉีก็เดินจากข้างนอกเข้ามา พร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เมื่อเห็นว่านางลุกขึ้นแล้ว ก็รีบพูดว่า “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า ท่านอ๋องเร่งมาแล้ว”

หยวนชิงหลิงยืนตัวชาแข็งทื่อ ปล่อยให้ทั้งสองคนถอดและเปลี่ยนเสื้อผ้าบนร่าง ระหว่างการพันปิดบาดแผล นางไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็มานั่งอยู่ตรงหน้ากระจกทองแดง หยวนชิงหลิงมองจ้องเขม็งไปที่เงาคนในกระจก

เครื่องหน้าทั้งห้าล้วนงดงามลงตัว ผิวพรรณขาวละเอียด ขนตายาวโค้งงอนเป็นแพหนา บดบังเก็บซ่อนดวงตาที่ไร้ความรู้สึกคู่หนึ่งไว้

ริมฝีปากแห้งเป็นขุยซีดเซียว ดูไร้สีเลือดฝาดหล่อเลี้ยงโดยสิ้นเชิง ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าผากกว้างถูกปรกไปเกือบมิด ผิวพรรณไม่หลงเหลือความเงางามชุ่มชื้นเลยแม้แต่น้อย

แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยฝีไม้ลายมืออันเชี่ยวชาญของแม่นมฉีและลู่หยา หลังจากวุ่นวายมือเป็นระวิงอยู่บนใบหน้าของนางกันครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าคนในกระจกแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว คิ้วโก่งเรียวงามราวใบหลิว ริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวเป็นประกาย ดวงตาเชิดดั่งพญาหงส์ทรงเสน่ห์ หากแค่นางเบิกตาให้กว้างขึ้นสักหน่อย จะเสริมให้ดูมีพลังอำนาจขึ้นอีกหลายเท่าอย่างแน่นอน

“น้ำจื่อจินคืออะไรรึ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ท่านจำไม่ได้แล้วหรือเพคะ?” ลู่หยาตะลึงค้าง

นางจำไม่ได้ มีความทรงจำมากมายที่ไม่ได้เป็นของนาง แต่มันกลับเข้าไปพัวพัน หลอมรวมกับความทรงจำของนางจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน นางไม่มีเรี่ยวแรงนัก ต้องค่อยๆแยกแยะความทรงจำเหล่านั้นอย่างเชื่องช้า

แต่นางก็ไม่ได้ถามต่อเช่นกัน ในเมื่อลู่หยาพูดอย่างนั้นแล้ว นางจึงทำใจให้สงบนิ่ง ค่อยๆคิดไปแบบช้าๆไม่รีบร้อน นางก็คงจะรู้เองว่าน้ำจื่อจินคืออะไร

สิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจได้คือ มันต้องไม่ใช่ของดีงามอะไรแน่

นางลุกขึ้นยืน ก้าวเดินออกไปสองสามก้าว ไม่รู้สึกเจ็บที่บาดแผลเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะอาการชาที่เป็นอยู่ ทำให้เชื่องช้าอย่างมากในขณะที่ก้าวเดิน

“ พระชายา แม้ว่าจะไม่เจ็บแล้ว แต่ยังต้องระวังระหว่างการเดินเหินให้มาก พยายามอย่าสัมผัสบาดแผลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะเพคะ” แม่นมฉีกำชับอย่างเคร่งครัด

“หกเกอเอ๋อดีขึ้นบ้างหรือยัง?” หยวนชิงหลิงจับที่เสาคานประตู หันหน้ากลับมามองนาง

แม่นมฉีถึงกับสะดุ้ง พยักหน้าตอบรับโดยไม่รู้ตัว “ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”

หยวนชิงหลิงมองไปยังท้องฟ้าข้างนอก เมื่อครู่ยังพอมีแสงอาทิตย์อยู่ แต่มาตอนนี้ กลับเปลี่ยนเป็นสีเทาครึ้มๆ ขมุกขมัวแล้ว ดูเหมือนว่าฝนใกล้จะตกลงมาทุกที

“เรื่องของหกเกอเอ๋อ ข้าขอโทษจริงๆ!” นางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาอู้อี้จนแทบจะไม่ได้ยิน

แม่นมฉีกับลู่หยาหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งคู่งุนงงตกตะลึงอย่างหนัก

ไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? นางพูดว่าขอโทษ?

หยวนชิงหลิงเดินออกมาช้าๆ นางไม่คุ้นเคยกับการสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ และด้วยเหตุเพราะนางชาไปหมดทั้งตัว จึงเดินได้งกๆเงิ่นๆเชื่องช้าอย่างยิ่ง นางสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ แต่กลับสัมผัสถึงบางสิ่งที่อยู่ในแขนเสื้อได้ หยวนชิงหลิงยืนนิ่ง หลังจากล้วงมันออกมาดู พลันรู้สึกว่าเลือดในกายทั้งหมด มันเหมือนกับถูกแช่แข็งไปเลยทีเดียว

บัลลังก์หมอยาเซียน

บัลลังก์หมอยาเซียน

Status: Ongoing

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง”หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: “ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น”อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: “เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่” หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: “ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท