หยวนชิงหลิงมองดูอ๋องซุนที่ลดความอ้วนกินเหมือนพายุหมุน ของว่างสองจาน เนื้อแกะทอดหนึ่งจาน ยังมีผัดผักสองจาน แถมข้าวสวยหนึ่งถ้วย กินจนไม่เหลือแม่แต่น้ำ
“หากท่านพี่รองยังไม่พอ ข้าจะให้คนไปทำเพิ่มอีกหน่อย” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าเขายังคงมองจานที่ว่างเปล่า มีความรู้สึกเหมือนยังกินไม่อิ่ม
อ๋องซุนมองนางอย่างเคร่งขรึม “ไม่แล้ว ข้าจะลดความอ้วน เจ้าจะมาทำร้ายข้าแบบนี้ไม่ได้นะ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกหมดหนทาง คนที่บอกว่าลดความอ้วนแล้วมาทานอาหารมากมายที่นาง จากนั้นยังจะบอกว่านางทำร้ายเขา
“งั้นท่านพี่รองก็อย่ากินอีกเลย” หยวนชิงหลิงทำได้เพียงพูดแบบนี้
อ๋องซุนค่อยๆเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ “ก็แค่ทานของว่างของเจ้าไปแค่สองชิ้น? ต้องขี้เหนียวขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ไม่ใช่……….” หยวนชิงหลิงมองไปใบหน้าอ้วนที่โกรธของเขา ห่อไหล่ลง กล่าวอย่างจำยอม “ข้าหมายถึง ท่านพี่รองกินไปพอสมควรแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมากินใหม่”
“พรุ่งนี้จะทำของว่างอะไรเหรอ?” อ๋องซุนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดปากมุมปากที่มันเยิ้มอย่างนุ่มนวล ถามแบบไม่ทันตั้งตัว แต่แววตานั้นเห็นได้ชัดว่ารอคอย
“ท่านพี่รองอยากกินอะไรก็ให้พ่อครัวทำอันนั้น” ต้องยอมเขาเลยจริงๆ
“ทำอะไรก็ได้” อ๋องซุนก้มหน้าลง ล้วนเข้าไปในแขนเสื้อค้นหาไปสองสามที ก็หยิบรายการออกมาหนึ่งใบ “พูดไปก็บังเอิญนัก อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของข้า พระชายาบอกว่าจะฉลองวันเกิดให้ข้า ก็เลยได้คิดรายการขึ้นมาโดยเฉพาะ งั้นก็ให้พ่อครัวในวังทำตามรายการอาหารนี้ ข้าก็จะได้ลองรสชาติไปด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในวันงานจริง ปริมาณไม่ต้องเยอะ ข้าลดความอ้วนอยู่ กินได้ไม่ค่อยเยอะ”
ใบรายการวางอยู่บนโต๊ะ หยวนชิงหลิงหยิบมันขึ้นมาดู แล้วนับดู ทันใดก็พูดไม่ออกเลย งานวันเกิดของท่านพี่รอง “มีรายการอาหารสามสิบแปดรายการเลยเหรอ?”
“ถึงแม้จะดูฟุ่มเฟือยไปหน่อย ไปประหยัดในส่วนอื่นก็ได้แล้ว เรื่องการแสดงไม่มีก็ได้ เรื่องการกินต้องดีกับแขกหน่อย” อ๋องซุนกล่าวด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“แต่พรุ่งนี้ก็ไม่สามารถที่จะทำอาหารสามสิบแปดอย่างได้นะ” หยวนชิงหลิงเหนื่อยแทนพ่อครัวในวังจริงๆ
“พรุ่งนี้ทำแค่สามอย่างก็พอ วันมะรืนทำอีกสามอย่าง ถ้าทำเช่นนี้ สิบวันก็น่าจะทำครบแล้ว”
“มันไม่เลยวันเกิดไปแล้วหรอกเหรอ?”
“เลื่อนออกไป!” กล่าวอย่างกระชับและรัดกุม
พวกตะกละนั้นมีเหตุผลที่ใหญ่เสมอ
นางค่อนข้างที่จะมั่นใจ ที่อ๋องซุนมาเยี่ยมนาง เป็นเพราะฮ่องเต้ส่งพ่อครัวในวังมาที่จวนสองคน
ความจริงก็ได้ยืนยันชัดเจนอยู่แล้ว ก่อนที่เขาจะจากไปก็ไม่ได้ถามอาการของหยวนชิงหลิงแม้แต่คำเดียว
เช้าวันรุ่งขึ้น อ๋องจี้กับชายา และอ๋องฉีกับชายาได้มาที่จวนพร้อมกัน
ราชสำนักหยุดงานสิบวัน ด้วยเหตุนี้วันนี้หยู่เหวินเห้าก็ไม่ได้ไปที่กรม กำลังคุยอยู่กับอ๋องฉีกับอ๋องจี้ในห้องโถง และพระชายาจี้กับฉู่หมิงชุ่ยคุยอยู่กับหยวนชิงหลิงที่หอเฟิ่งหยี
วันนี้ฉู่หมิงชุ่ยสวมชุดสีเหลืองปักลายดอกเหมยแซมด้วยผีเสื้อ เกล้าผมขึ้นไปทั้งหมด ปักด้วยปิ่นหยกลายเมฆ ก็ไม่ได้สวมเครื่องประดับอย่างอื่นอีกเลย แต่มันกลับให้ดูสดใสอ่อนหวานและมีเสน่ห์
นางมีนางตาที่โดดเด่น เพียงแค่แต่งหน้าบางๆ สีลิปที่ผ่านการผสม ทำให้มันเรืองแสงเหมือนน้ำผึ้ง
มีคิ้วที่สวยงาม หางคิ้วเชิดขึ้นเล็กน้อย ความมีเสน่ห์นี้แฝงไว้ด้วยความดุร้ายเล็กน้อย
แล้วมามองพระชายาจี้ สวมชุดสีมรกตพิมพ์ลายดอกไม้ขอบเสื้อเป็นลายเมฆสีเทา เกล้าผมทรงสูงปักด้วยปิ่นทอง รูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่ว่ามีสง่าราศีมาก หว่างคิ้วมีไฝอยู่หนึ่งเม็ด นางเกิดในตระกูลขุนนางชั้นสูง มีความรู้และรอบรู้ทุกด้าน เมื่อยืนด้วยกันกับฉู่หมิงชุ่ย ก็ไม่ได้ถูกรัศมีของฉู่หมิงชุ่ยบดบัง แต่กลับทำให้ดูสง่าผ่าเผย
ในทางตรงกันข้ามหยวนชิงหลิงที่ใบหน้าซีดขาว สวมชุดสีแดงกึ่งเก่า ผมถูกรวบอย่างไม่เป็นทางการ ภายใต้ความเร่งรีบได้ทาลิปไปนิดหน่อย ก็ไม่สามารถปิดบังสีหน้าที่เหนื่อยล้าได้
พระชายาจี้มองนาง กล่าวด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าพระยาหุ้ยติ่งจะโอหังเพียงนี้ อยู่ในเมืองหลวงยังกล้าทำเรื่องที่โหดร้ายแบบนี้ น้องสะใภ้ห้าครั้งนี้ตกใจมากเลยใช่มั้ย?”
“ไม่มากนัก ขอบคุณพระชายาจี้ที่เป็นห่วง” หยวนชิงหลิงไม่สนิทกับนาง และไม่รู้ว่านางเป็นคนอย่างไร จึงได้ตอบแบบทั่วไป
ฉู่หมิงชุ่ยฟังคำพูดของพระชายาจี้ ในใจก็ไม่ค่อยจะพอใจ แม้ว่าเจ้าพระยาหุ้ยติ่งจะเป็นคนก่อเรื่อง แต่เหมือนจงใจจะพูดต่อหน้านาง
นางไม่พูดไม่จา เพียงแต่มองหยวนชิงหลิง
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเคยร้ายใส่กันมาแล้ว วันนี้ก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งทำ เพียงแต่อ๋องฉีจะมา นางก็เลยมาจับตามอง เขามันคนซื่อบื้อ
พระชายาจี้นั้นกระตือรือร้นอย่างมาก “ได้ยินมาว่าเสด็จจัดพ่อครัวในวังมาสองคน วันนี้เรากินข้าวด้วยกันมั้ย? พวกเราพี่ๆน้องๆก็ไม่ได้นั่งพูดคุยกันนานแล้ว”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ได้สิ!”
เดิมทั้งสามคนก็ไม่มีอะไรจะคุยกัน แต่พระชายาจี้นั้นเป็นคนที่คุยเก่งมาก ไม่ทำให้บรรยากาศน่าอึดอัด ชวนหยวนชิงหลิงพูดคุยสัพเพเหระ คุยเรื่องในจวนนอกจวน จนกระทั่งเรื่องที่ไปปรนนิบัติไท่ซ่างหวง
“ไท่ซ่างหวงมีความชอบอะไรบ้าง? ตอนที่เจ้าปรนนิบัติอยู่ที่ตำหนักฉินคุน ไท่ซ่างหวงปรนนิบัติยากมั้ย?”
ตอนนี้หยวนชิงหลิงรู้ตัวบ้างแล้ว ยิ้มแล้วกล่าว “ข้าเพียงแต่ดูแลเรื่องการกินยาของไท่ซ่างหวง เรื่องอื่นๆนั้นส่วนใหญ่ไม่ใช่ข้าทำ ในเวลาปกติไท่ซ่างหวงก็คุยกับข้าน้อยมาก ก็ไม่รู้สึกว่าปรนนิบัติยากอะไร”
“ใช่หรือ? เพียงแต่ข้าเคยได้ยินมาว่าไท่ซ่างหวงให้เจ้าไปเดินชมดอกไม้เป็นเพื่อนพระองค์” พระชายาจี้กล่าวอย่างยิ้มๆ
“เป็นเช่นนั้นจริง” หยวนชิงหลิงกล่าว ก็แค่ไปเดินชมดอกไม้กับไท่ซ่างหวงเพียงรอบเดียว ก็ดึงดูดความสนใจของคนมากมายเลยเหรอ
อ๋องซุนจอมตะกละทำไมยังไม่มา?
“ไท่ซ่างหวงก็ค่อนข้างที่จะเชื่อใจเจ้า นานแล้วที่พระองค์ไม่ทรงออกมาชมสวนดอกไม้ ครั้งนี้ให้เจ้าเดินชมเป็นเพื่อน อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าเป็นเจ้าที่พยุงพระองค์ท่านเดิน?” พระชายาจี้ถามอย่างเป็นมิตร
หยวนชิงหลิงยิ้มจนหน้าจะชาแล้ว “วันนั้นไท่ซ่างหวงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“เป็นเพราะเจ้าปรนนิบัติได้อย่างดี” พระชายาจี้กล่าวชื่นชม
อ๋องซุนจอมตะกละจะมามั้ยเนี่ย?
คนที่อึดอัดเหมือนกับหยวนชิงหลิงยังมีฉู่หมิงชุ่ยอีกคน นางไม่อยากฟังเรื่องเหล่านี้แม้แต่นิดเดียว เรื่องแบบนี้แค่ถามก็รู้แล้ว ไยต้องจี้ถามหยวนชิงหลิงเช่นนี้? การถามนางก็เท่ากับทำให้นางหยิ่งผยอง
พระชายาจี้เป็นคนที่ไม่ยอมพลาดโอกาสที่มีเลยแม้แต่นิดเดียว
นางตัดสินใจยืนขึ้น กล่าว “ไม่สู้ออกไปเดินเล่นกันหน่อย”
หยวนชิงหลิงรีบลุกขึ้น “ดี!”
พระชายาจี้เข้าไปพยุงแขนของหยวนชิงหลิง “เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ เดินระวังหน่อย”
หยวนชิงหลิงกินไม่เข้าคายไม่ออก คนเราดูภายนอกไม่ได้เลยจริงๆ
พระชายาจี้ดูแล้วสง่างามหนักแน่น แต่การกระทำดูล่อกแล่ก ดูแล้วการออกไปเดินเล่นก็คงไม่สงบสุขแน่
อย่างไรก็ตาม แม่นมสี่เป็นคนที่ดูสีหน้าคนเก่ง เห็นหยวนชิงหลิงไม่อยากที่จะรับหน้านางสองคนแล้ว ก็เลยเดินขึ้นมากล่าว “พระชายา ได้เวลาให้หมอหลวงเปลี่ยนยาแล้ว”
หยวนชิงหลิงกล่าวขอโทษพระชายาจี้ “ต้องขออภัยจริงๆ ข้าต้องขอตัวสักครู่ เดี๋ยวเจอกันบนโต๊ะอาหาร”
“เปลี่ยนยา?” พระชายาจี้เดิมอยากจะไปช่วย แต่เมื่อคิดถึงแผลที่เต็มไปด้วยเลือด ก็รู้สึกขยะแขยง ทำได้เพียงกล่าว “ก็ได้ เดี๋ยวเจอกัน”
ฉู่หมิงชุ่ยได้ออกไปแล้ว คุยกับผู้หญิงคนนี้ ช่างน่าเบื่อจริงๆ ใจของนางบินไปอยู่ในห้องโถงแล้ว เขาอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เจอเขามาหลายวันแล้ว
เมื่อกี้ตอนที่เข้ามา ได้แค่มองไกลๆไปแวบเดียว ยังไม่ได้ทักทาย ก็ถูกพระชายาจี้ดึงตัวไปที่หอเฟิ่งหยี