หยู่เหวินเห้าที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใช้มือตบโต๊ะ จนแก้วบนโต๊ะกระเด็นตกลงไปบนพื้นจนแตกเป็นชิ้นๆ“ไม่ไว้ใจนาง?คนที่ไม่มีแม้แต่ความสามารถในการปกป้องตัวเอง มีตรงไหนทำให้ข้าไว้ใจนางได้บ้าง ?เรื่องนี้ช่างมันเถอะ เอาเถอะ ข้าไม่เอาความนางเรื่องนี้ ……”
เขายกเหยือกสุราขึ้นแล้วดื่มลงไป ก่อนจะหยุดลงแล้วใช้มือเช็ดมุมปาก “เรื่องนี้ข้าจะไม่เอาความกับนาง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่านางพูดอะไร?นางกล้าบอกว่าข้าชอบใจที่ถูกฉู่หมิงชุ่ยล่วงเกิน……”
“ฉู่หมิงหยางไม่ใช่หรือ? เจ้าเมาแล้ว” เหลิ่งจิ้งเหยียนแย้ง
หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลงมองเขา “แล้วฉู่หมิงชุ่ยคือใคร?อ่อ รู้จัก รู้จัก……”
เขาตบโต๊ะอีกครั้ง “ใช่ฉู่หมิงหยางนั่นแหละ บังอาจพูดว่าข้าล่วงเกินฉู่หมิงหยาง แล้วข้ารู้สึกสุขใจ ……”
“เป็นฉู่หมิงหยางที่ล่วงเกินเจ้าต่างหาก !” เหลิ่งจิ้งเหยียนแย้งอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ เขาเป็นหนึ่งในบัณฑิตผู้ศึกษาวิชาการ เขาจึงไม่อาจทนต่อความบกพร่องทางภาษาเช่นนี้ได้
หยู่เหวินเห้าจ้องเขาอีกครั้ง “เหตุใดเจ้าถึงได้พูดมากเช่นนี้?เจ้าจะต้องขัดคำข้าให้ได้เลยใช่หรือไม่? ได้ เจ้าพูด เจ้าพูดมาสิว่าสรุปแล้วหยวนชิงหลิงทำอะไรผิดกันแน่”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพายมือเชิญให้เขาพูดต่อ “ไม่ ไม่ เจ้าพูดจะดีกว่าว่านางยังทำอะไรอีกบ้าง ?”
“ก็คือนางพูดว่าฉู่หมิงหยางล่วงเกินฉู่หมิงชุ่ย แล้วข้าก็ ……” เขาหันหน้าไปอีกข้างแล้วครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมาอย่างตกใจ : “ดูสิ ข้าโกรธจนเป็นบ้าไปแล้ว นางสามารถทำให้ข้าโกรธจนเสียสติไปแล้ว หญิงขี้เหร่คนนี้ ข้ากลับไปจะต้องเฆี่ยนนางสักทีเสียหน่อยแล้ว”
เขาวางมือทั้งสองลงบนขอบโต๊ะ พยายามเรียบเรียงคำพูดอย่างหนัก อย่างไรเสียเขาก็จะต้องพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเย็นนี้ให้กระจ่าง
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดพลางส่ายหน้า : “เรื่องเล็กแต่ทำเป็นเรื่องใหญ่ ตามที่ข้าคิดแล้วไม่ว่าตอนแรกพระชายาฉู่จะพูดอะไร นางคงจะเพียงแค่หยอกล้อเจ้าเล่นเท่านั้น แต่เจ้ากลับคิดจริงจัง เจ้าจึงคิดมากแล้วพูดถึงเรื่องที่เกิดที่จวนองค์หญิงขึ้นมา เหตุใดเจ้าถึงได้เอาเรื่องเก่ามาเล่าความใหม่ด้วยเล่า ?สิ่งต้องห้ามที่สุดในการทะเลาะคือการฝื้นฝอยหาตะเข็บเอาเรื่องที่ผ่านไปแล้วมาพูด สำหรับเรื่องของหมันเอ่อ จริงอยู่ที่พระชายาขาดการพิจารณาแล้วยังจะใจอ่อนเกินไป แต่เจ้าเองควรจะต้องคิดด้วยว่าเจ้าเป็นคนที่อยู่ในสนามรบ เคยเห็นการเข่นฆ่ากัน เคยได้เห็นกองศพที่เรียงรายเป็นภูเขา แต่นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ใช้ชีวิตอยู่เรือน เรื่องที่สนมซูฆ่าตัวตายในคุกคงจะทำให้นางเกิดความหวาดกลัวอย่างมาก พอเจ้าพูดว่าจะตีหมันเอ่อห้าสิบไม้โบย เช่นนั้นเท่ากับว่าต้องการฆ่าหมันเอ่อเสีย ซึ่งก็พอจะยอมรับได้ที่นางจะตื่นตระหนก จะว่าไปแล้วตอนนั้นหลังจากที่นางกลับมาจากการสำเร็จโทษสนมซู เจ้าเคยปลอบประโลมนางหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าตอบกลับทันที : “นางถูกจำคุก นางไม่ได้ฆ่าตัวตายเสียน้อย เหตุใดต้องปลอบประโลมนางด้วย?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม : “พอกันที คนเช่นเจ้าสามารถมีพระชายาได้ก็นับว่าเป็นโชคดีมากแล้ว กลับไปเถอะ เจ้าหนีออกมาเช่นนี้จะทำให้นางตกใจเอาได้”
“ก็แค่ขู่ขวัญนางเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นนางจะไม่หลงระเริงจนได้ใจหรือไร?” หยู่เหวินเห้าตอบอย่างไม่พอใจ
กู้ซือใช้มือแตะคาง : “ใช่แล้ว ต้องขู่ขวัญนางเสียหน่อย ดีที่สุดคือขู่ขวัญจนนางไม่ทานอาหาร ไม่นอนเพราะกังวลใจจนอยากจะออกไปดู ในขณะที่ข้างนอกมืดมิดไปหมดจนกลิ้งลงบันได ……”
เขากำหมัดซ้ายแล้วเหวี่ยงเข้าไป แต่กู้ซือกลับยกมือขึ้นยับยั้งกำปั้นนั้นของเขาเอาไว้ได้ พลางถอนหายใจ : “กลับไปเถอะ เจ้าหนีออกมาดื่มสุราคนเดียว พระชายาคงจะคิดมากต่างๆ นานา เองไม่น้อย อย่าได้เอาความคิดเช่นนี้มาทำให้เจ้าเสียใจทีหลังจะดีกว่า”
หยู่เหวินเห้าเดินออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายลม
แต่ทันทีที่เขาวิ่งออกมาถึงลานด้านนอกก็ล้มพับลงไปกับพื้นทันที
กู้ซือรีบวิ่งออกมาช่วยพยุงเขาเอาไว้ “ดูๆ ดูความคออ่อนของเจ้าสิ ยังดื่มไม่ถึงสองสามเหยือกก็เมาจนกลายเป็นสภาพนี้ไปแล้ว”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างบ้าคลั่ง : “พร่ำบ่นอะไรนักหนา?ยังจะไม่ส่งข้ากลับจวนอีก?”
กู้ซื้อจึงต้องพยุงเขาออกไปข้างนอก “ข้าล่ะไม่อยากสนใจเจ้าเลยจริงๆ โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วยังจะทำตัวเป็นเด็กน้อยวิ่งหนีออกมาอีก มีเรื่องอันใดพูดคุยปรับความเข้าใจกันไม่ได้หรือ? ก็แค่หมันเอ่อคนหนึ่งไม่ใช่หรือไร?คนทั้งจวนยังไม่สามารถดูแลนางได้อีกหรือ?เจ้ากลัวหมันเอ่อจะทำร้ายพระชายาขนาดนี้เลยงั้นหรือ?เจ้าเองก็รู้ดีว่าพระชายามีองครักษ์ลับผีของไท่ซ่างหวงคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ เจ้าก็แค่ไม่พอใจที่พระชายาปกป้องสาวใช้คนนั้น แล้วยังไม่ชอบใจที่นางเยาะเย้ยเรื่องของเจ้ากับฉู่หมิงหยาง ขี้น้อยใจ !”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกรำคาญที่ได้ยินเขาพูดพร่ำทำเพลง จึงใช้มือบิดคอเขา “พอเสียที ข้าจะขี่ม้ากลับเอง”
“หยุดเถอะ จะยืนให้มั่นคงเจ้ายังทำไม่ได้เลย” กู้ซือดึงเขาเข้าไปในรถม้า โดยระหว่างทางกลับได้เปิดผ้าม่านเอาไว้เพื่อให้ลมพัดช่วยให้เขาสร่างเมา
หลังจากมาถึงจวนอ๋อง กู้ซือก็ฝากเขาไว้ให้กับทังหยางแล้วกลับไปทันที
ตอนนี้หยู่เหวินเห้าสร่างเมาแล้วไม่น้อย ทั้งยังยืนยันที่จะไม่ให้ทังหยางประคองเขา ในขณะระหว่างทางเขาพยายามที่จะไม่ถามถึงหยวนชิงหลิง จนเดินมาถึงตำหนักเซี่ยวเยว่ เขาถึงค่อยชะงักฝีเท้าลงแล้วกล่าวถาม : “นางทานอาหารหรือยัง?”
“แม่นมสี่บอกว่าพระชายาไม่ทานเลยแม้แต่คำเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าเม้มริมฝีปากแล้วพูดอย่างเฉยชา : “ไม่ทานก็ไม่ทาน ใครสนใจกัน?”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทานอาหารมื้อเดียวคงจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ว่าได้ยินแม่นมสี่บอกว่าตอนที่อยู่ในห้องอาบน้ำพระชายาเกิดลื่นแล้วล้มลงไป จากนั้นก็มีอาการเจ็บครรภ์เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ให้เรียกหมอเข้ามาดูอีก”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว “จะเป็นตายร้ายดีข้าก็ไม่สนใจ”
“พ่ะย่ะค่ะ อย่าสนใจเลย แล้วคืนนี้เจ้าอ๋องจะนอนที่ไหนดีพ่ะย่ะค่ะ ? เพราะคิดดูแล้วเจ้าอ๋องคงจะไปยอมร่วมห้องกับพระชายาเป็นแน่” ทังหยางกล่าวถาม
“ใครอยากร่วมห้องกับนางกัน?ข้า……” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาอย่างโมโห “เหตุใดถึงไม่เรียกหมอเข้าไปดู?ล้มเจ็บตรงไหนแล้ว?ดูสิข้าจะด่าว่านางให้ตายไปเลย”
พูดจบเขาก็เดินดุ้มๆ เข้าไปด้านใน พลางใช้เท้าเตะประประตูดัง “ปัง” ทำเอาบานหน้าต่างสั่นสะเทือนไปด้วย
แม่นมสี่ที่อยู่ด้านในถึงกับตกใจ เมื่อเห็นเขาที่กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่โกรธเคือง นางจึงรีบเข้าไปขวางทางเอาไว้ทันที แต่เขากลับไม่หยุดชะงักแล้วเดินพุ่งเข้าไป
เขาเดินตรงเข้าไปตรงหน้าหยวนชิงหลิง แล้วจ้องมองนางด้วยสายตาที่กำลังเมามายอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ หยวนชิงหลิงแล้วบ่นออกมาด้วยความน้อยใจ : “เจ้าหยวน กู้ซือถีบตรงหน้าอกของข้าไปทีหนึ่ง แล้วระหว่างทางที่ข้ากลับมาก็รู้เจ็บตรงหน้าอกเป็นอย่างมาก เจ้ารีบช่วยดูให้ข้าทีว่ามันเจ็บเข้าไปถึงหัวใจแล้วหรือกระดูกซี่โครงหักไปแล้ว”
ทังหยางที่กลัวว่าเขาจะอาละวาดจนรีบตามเข้ามาดูแต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาจึงค่อยๆ ปล่อยผ้าม่านลง แท้จริงแล้วเจ้าอ๋องยามที่อยู่ต่อหน้าพระชายาก็ไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น
หยวนชิงหลิงวางหนังสือในมือลง แล้วมองไปยังเขา ก่อนจะหยิบเครื่องตรวจฟังของหมอออกมาจากกล่องยา “นอนลง!”
หยู่เหวินเห้านอนลงอย่างเชื่อฟัง โดยที่ดวงตาคอยจ้องมองนางอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าน้อยใจ
หยวนชิงหลิงฟังเสียงหัวใจของเขาแล้ววางเครื่องตรวจฟังลง “เจ้าไม่เป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไรจริงหรือ?” เขาใช้มือลูบบริเวณหน้าอกแล้วแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา “แต่ว่าข้ารู้สึกเจ็บจริงๆ แค่จับเบาก็รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว”
หยวนชิงหลิงมองเขา ใบหน้าและหูของเขาแดงก่ำ ทั้งยังมีกลิ่นสุราฟุ้งออกมาจากตัวเขาด้วย “ดื่มเข้าไปเยอะงั้นหรือ?”
เขารีบอธิบายทันที : “วันนี้กู้ซือรู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก เอาแต่ดึงดันให้ข้าดื่มกับเขา ข้าไม่ดื่มเขาก็ไม่สุขใจจนต้องบังคับให้ข้าดื่ม เจ้าก็รู้ว่าเขาเป็นคนนิสัยอารมณ์ร้อน เรื่องเล็กน้อยก็อาละวาดทำร้ายคน เขาทำเกินเหตุไปแล้ว”
“ เขาทำเกินเหตุจริงๆ เรียกตัวเขามา ข้าจะสั่งสอนเขาสักหน่อย” หยวนชิงหลิงตอบกลับอย่างนิ่งเฉย
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้ายับยู่ยี่ราวกับว่ากำลังเจ็บปวดอย่างมาก “เอาเถอะ อาจิ้งช่วยสั่งสอนเขาแล้ว”
เขามองหยวนชิงหลิงด้วยดวงตากลมโต “ได้ยินว่าตอนที่เจ้าอาบน้ำเกิดลื่นล้ม ?ล้มไปตรงไหน?เจ็บหรือไม่?”
“เท้าลื่นน่ะเลยล้มไป ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” หยวนชิงหลิงตอบ
หยู่เหวินเห้าจับไหล่ของนาง “ท้องเล่า ?เจ็บท้องหรือไม่?ล้มเจ็บตรงไหนให้ข้าดูหน่อยสิ?”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่เจ็บแล้ว” หยวนชิงหลิงลุกขึ้นยืนจะเดินออกไป
หยู่เหวินเห้ายื่นมือไปรั้นนางเอาไว้แล้วจ้องมองนางด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “อย่าไปเลย ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้ว”
หยวนชิงหลิงแกะมือของเขาออกแล้วพูดเบาๆ : “เจ้าไม่ผิดหรอก บางทีคนที่ผิดอาจเป็นข้าเอง”
พูดจบ หยวนชิงหลิงก็เดินออกไปทันที
หยู่เหวินเห้าจึงรีบกระโดดพุ่งตามออกมาแล้วดึงมือนาง “เจ้าอย่าไป หากเจ้าไม่อยากจะเห็นหน้าข้า ข้าออกไปก็สิ้นเรื่องแล้ว เจ้าไม่ต้องไป กลับไปนั่งเถอะ”
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วขึ้น “ข้าจะไปบอกให้แม่นมสี่ช่วยต้มยาคลายฤทธิ์สุราให้เจ้า กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้จะออกไปไหนกัน ?”