หยวนชิงหลิงจึงตอบกลับ: “ข้าได้ให้พระชายาจี้ไปหาหลักฐานแล้ว ถ้าหากหลักฐานบอกว่าเป็นคนของฝั่งตระกูลฉู่ที่ปล่อยข่าวลือออกมา เรื่องนี้พวกเราจะละเลยไปไม่ได้เด็ดขาด”
แม่นมสี่มองหยวนชิงหลิงพร้อมกับพูดด้วยสายตาที่มัวหมอง : “พระชายา เหตุใดถึงละเลยไปไม่ได้เจ้าคะ?จะไปอาละวาดที่จวนตระกูลฉู่งั้นหรือ?ไม่ว่าหลังจากที่อาละวาดเสร็จแล้วผลสรุปจะเป็นเช่นไร นั่นยิ่งไม่ทำให้คนภายนอกยิ่งให้ความสนใจเรื่องนี้มากขึ้นหรือ ?แล้วเหตุใดต้องทำเช่นนั้นด้วย?ปล่อยไปเถอะ อีกสักพักเมื่อคนพูดกันจนเบื่อแล้วมันก็จะหยุดไปโดยธรรมชาติเอง”
หยวนชิงหลิงกล่าว : “แม่นม ข้ารู้ว่าในใจของเจ้านั้นทุกข์ทรมาน จริงอยู่ที่ว่าอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ แต่คนที่เป็นคนปล่อยข่าวลือนั้นไม่อาจที่ปล่อยไปง่ายดายเช่นนี้ ไม่เช่นนั้น วันข้างหน้าพวกเขาก็จะยิ่งทำตัวกำเริบเสิบสานขึ้นไปอีก”
แต่ถึงอย่างนั้นแม่นมสี่ก็ยังคงสะบัดมือปฏิเสธ “ไม่ ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ปล่อยไปเถอะ ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นคนพูดก็เหมือนกันหมด อย่าได้ก่อเรื่องอีกเลย เพราะหลังจากที่ไปหาเรื่องแล้วไม่อาจรู้ได้เลยว่าต่อไปจะพูดได้น่ารังเกียจมากขนาดไหน”
นางหยิบไม้กวาดกลับมาแล้วกวาดลงไปบนพื้นห้อง “พระชายาวางใจเถอะ ข้าน้อยอายุอานามขนาดนี้แล้ว ได้ผ่านช่วงชีวิตและเหตุการณ์ที่โหดร้ายมามากมายเพียงใดแล้ว ?ข่าวลือติฉินนิทาแค่นี้ ไม่สามารถทำร้ายข้าน้อยได้หรอกเจ้าค่ะ”
หยวนชิงหลิงมองดูใบหน้าที่มัวหมองไร้สีสันนั้น และท่าทีที่ไม่มีแม้แต่ความโกรธใดๆ ราวกับซอมบี้ของนางแล้วจึงอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
นับตั้งแต่ที่แม่นมออกจากวังมาอยู่ที่จวนอ๋อง แม่นมก็ดูแลนางอย่างพากเพียรและรอบคอบ
อีกทั้งในตอนที่ได้ถวายการรักษาแก่ไท่ซ่างหวงได้ไม่นานแล้วนางจะทำความผิด แต่ว่าก่อนหน้านี้นางเป็นเพียงคนเดียวที่แสดงสีหน้าอันอบอุ่นในกับตนเท่านั้น และยังเป็นคนที่คอยรักษาความเจ็บปวดให้กับนางอีก ครั้งนี้ทำเอานางกลืนน้ำลายไม่ลงจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้นนางยังคงต้องเอาความต้องการของแม่นมเป็นหลัก นางรู้ดีว่าแม่นมไม่ได้ต้องการที่จะปล่อยไป แต่เพียงกลัวว่าจะมีการปล่อยข่าวลือออกไปเรื่อยๆ และจะยิ่งลือสะพัดออกไปได้น่ารังเกียจยิ่งกว่าเดิม นางไม่อาจให้มันเป็นเช่นนั้นได้
นางถอนหายใจเบาๆ แล้วสั่งการให้อะซี่คอยสังเกตแม่นมสี่เอาไว้ และอย่าได้ปล่อยให้แม่นมสี่ออกไปข้างนอกโดยอันขาด
วันรุ่งขึ้นเมื่อพระชายาจี้เดินทางมาถึงก็ได้แจ้งกับหยวนชิงหลิงทันที “จุดเริ่มต้นของข่าวลือนั้นเริ่มแพร่กระจายมาจากในโรงชา ข้าได้สั่งให้คนไปตรวจสอบภายในโรงชาแล้ว ปรากฏว่าคนแรกที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาคือ แม่นมโจวคนสนิทข้างกายฮูหยินใหญ่ฉู่”
“มั่นใจแล้วหรือ?” หยวนชิงหลิงกล่าวถามเพื่อความแน่ใจ
“มั่นใจได้แน่นอน ทุกคนในโรงชาล้วนรู้จัก แม่นมโจวเพราะโรงชานี้ถูกเปิดขึ้นโดยญาติผู้น้องของฮูหยินฉู่” พระชายาจี้มองนางอย่างเยือดเย็น
“เจ้าแคลงใจในความสามารถของข้างั้นหรือ?เรื่องเล็กแค่นี้ มีหรือที่ข้าจะพลาด”
“เพราะข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนมีผู้คนรู้จักรอบทิศ ดังนั้นถึงได้ให้เจ้าไปตรวจสอบ เมื่อวานนี้คำพูดของข้าไร้ความยุติธรรมไปบ้าง เจ้าอย่าได้เอาไปใส่ใจเลย”หยวนชิงหลิงพูดด้วยความนิ่งเฉย
“เอาเถอะ อย่าพูดจาตบหัวแล้วเอามือลูบหลังเลย เพียงแค่พระชายาฉู่คิดว่าชีวิตของข้ายังมีผลประโยชน์ก็เพียงพอแล้ว” พระชายาจี้กล่าวอย่างเรียบนิ่ง
หยวนชิงหลิงยิ้มออกมาจางๆ “ก็มีประโยชน์จริงๆ”
พระชายาจี้กล่าวเสริมอีกครั้ง : “แต่ว่าข้าจะบอกเอาไว้ก่อนเลยว่าเจ้าอย่าได้ให้ข้าไปต่อกรกับตระกูลฉู่เด็ดขาด ตระกูลฉู่และพระชายาจี้จะมีการเกี่ยวดองกันฉะนั้นก่อนหน้านี้ข้าไม่อยากที่จะไปหาเรื่องกับตระกูลฉู่”
“อ่อ?เรื่องอภิเษกมีการวางแผนแล้วงั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
พระชายาจี้มองด้วยดวงตาที่แดกดัน “เจ้ารู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?เจ้าพูดถูก โสวฝู่ฉู่ไม่ฟังคำพูดของฉู่หมิงหยาง ไม่ว่าจะอดอาหาร ทำร้ายตัวเองหรือแม้ว่าจะตายอยู่ตรงนั้น โสวฝู่ฉู่ ก็ไม่ให้นางอภิเษกกับน้องห้า และทั้งสองบ้านกำลังจัดเตรียมงานพิธี และฤกษ์อภิเษกนั้นถูกกำหนดไว้คือวันที่สามเดือนต่อไป”
“รีบร้อนขนาดนี้เลยหรือ?” ตอนนี้วันที่ยี่สิบสามแล้ว เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่สิบวันแล้วงั้นสิ?ทั้งยังจัดพิธีหลังจากวันครบพระชนมพรรษาของอ๋องซุนสองวันพอดิบพอดีเลย
“รีบดำเนินเรื่องให้เสร็จโดยเร็ว ยิ่งลดทอนความคิดมากได้” พระชายาจี้มองนาง “เจ้าไม่ดีใจงั้นหรือ?สมความปรารถนาของเจ้าแล้ว”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าอย่างไม่เสแสร้ง : “ดีใจ โล่งอกไปทีหนึ่ง”
“สิ่งที่ตนไม่ต้องการจงอย่ายัดเยียดต่อผู้อื่น เจ้าเป็นผู้ถือตนไม่ใช่หรือ?การนำเอาความส่งต่อให้ผู้อื่น มันทำให้เจ้าเป็นผู้ถือตนได้หรือ?” พระชายาจี้ที่ได้เห็นรอยยิ้มยิงฟันนั้นของนางแล้ว ความโกรธก็ปะทุออกมา
หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างกวนๆ “คนเก่งก็ต้องรับหน้าที่หนักกว่าคนอื่นสิ ข้าต่อกรกับฉู่หมิงหยางไม่ได้ แต่เจ้าพี่สะใภ้ใหญ่ทำได้นี่ แล้วเจ้าพี่สะใภ้ใหญ่เอาฉู่หมิงหยางมาไว้ในสายตาบ้างหรือไม่ ?ต่อหน้าเจ้าพี่สะใภ้ใหญ่แล้วฉู่หมิงหยางก็เป็นเพียงแค่ตัวละครตลกที่กระโดดโลดเต้นไปมาเท่านั้น เพียงแค่นิ้วหัวแม่มือเดียวของเจ้าพี่สะใภ้ใหญ่ก็สามารถบดขยี้นางจนตายได้แล้ว”
พระชายาจี้ที่ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ก็ได้สะกดความโมโหลงไปแล้วตอบกลับอย่างเฉยเมย : “เอาเถอะ ชีวิตของข้าอยู่ในกำมือของเจ้า เจ้าพูดสิ่งใดก็ต้องเป็นสิ่งนั้น ข้าจะสามารถคัดค้านได้อย่างไรกัน?”
หยวนชิงหลิงกล่าวตอบกลับด้วยความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน: “เจ้าพี่สะใภ้ใหญ่คิดเช่นนี้ ทำให้ข้าปลาบปลื้มใจอย่างยิ่งที่เจ้าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนรู้ท่วงทันสถานการณ์เช่นนี้ ยินดีที่ได้ร่วมมือด้วยเจ้าค่ะ !”
พระชายาจี้ทำหน้าบึ้งไม่พูดไม่จาต่อความ แต่สายตากลับแสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังที่จางลงไป
นางเคยเกลียดชังท่าทางหยิ่งยโสของหยวนชิงหลิง แต่ว่าต่อให้นางจะแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างไม่จริงใจ แต่ที่จริงแล้วมันกลับมีประโยชน์อย่างมาก
หลังจากที่พระชายาจี้เดินทางกลับไป หยวนชิงหลิงได้สั่งให้สวีอีออกไปสังเกตการณ์แถวโรงชาและโรงสุราต่างๆ แต่หลังจากที่สวีอีกลับมาเขาก็กล่าวรายงานอย่างเดือดดาล: “ทูลพระชายา ข้ามีเรื่องชกต่อยกับผู้อื่นพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงกล่าวถามทันที: “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?สั่งให้เจ้าไปสืบความเจ้ากลับไปมีเรื่องชกต่อยแทน?”
สวีอีตอบกลับด้วยความโมโห : “คนพวกนั้นปากหมาเกินไป จนข้าทนไม่ได้ ยังดีที่เจ้าไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นในเหตุการณ์ ถ้าหากได้ยินเข้า คาดว่าเจ้าเองก็คงคลั่งจนต้องต่อยคนเช่นเดียวกัน”
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วขึ้น “ไม่น่าฟังขนาดนั้นเลยหรือ?”
“มิใช่หรือ?” สวีอีพ่นลมหายใจออกมา “พวกเขาบอกว่าในตอนนั้นแม่นมพยายามใช้กุศโลบาย โดยมีจุดประสงค์คือการได้ขึ้นไปนอนบนเตียงของโสวฝู่ฉู่ แล้วยังบอกว่านางไร้ยางอาย เป็นหญิงใจง่าย ถึงขนาดที่ทหารรักษาพระองค์หลายคนที่ดำรงตำแหน่งในเวลานั้นยังเคยมี ……มีความสัมพันธ์แบบนั้น การผิดประเวณี ทั้งยังมีทหารรักษาพระองค์ยอมถูกประหารชีวิตเพื่อนางอีกด้วย และนางอาศัยความไว้วางใจที่ไท่ซ่างหวงมีต่อนางจนทำให้นางกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนทหารรักษาพระองค์ที่ถูกประหารชีวิตรายนั้นได้มีการบอกชื่อเอาไว้ด้วย เหมือนจะชื่อว่าฟางหยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฟางหยู่?” หยวนชิงหลิงพูดด้วยความโกรธอย่างมาก: “มีการบอกชื่อเสียงเรียงนามด้วย ช่างกุเรื่องไม่รู้จักจบสิ้น”
สวีอีที่กำลังจะกล่าวต่อ พลางขยับหน้าขึ้นแล้วพบกับอะซี่ที่กำลังโบกอย่างแรงอยู่หน้าประตูพอดี
สวีอีตกใจจนรีบเดินออกไป กลับเห็นแม่นมสี่ที่หันหลังเดินจากไป นางใช้มือเท้ากับราวตรงโถงทางเดินแล้วค่อยๆ เดินออกไป
สวีอีหันหลังหน้ากลับมามองหยวนชิงหลิงแล้วพูดด้วยเสียงสะเทือนเล็กน้อย : “แม่นมสี่ได้ยินเข้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงแอบกรีดร้องในใจว่า “แย่แล้ว” ก่อนจะรีบวิ่งตามไปแล้วหยุดแม่นมสี่เอาไว้
แม่นมสี่แสดงรอยยิ้มที่เศร้าหมองยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา “พระชายาวางใจ คำพูดติฉินนินทา ทำอะไรข้าน้อยไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
หยวนชิงหลิงมองดูนางเดินจากไปอย่าเชื่องช้า แผ่นหลังนั้นดูเศร้าหมองและเจ็บปวด ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
เมื่อถึงตอนเย็นหยวนชิงหลิงได้เล่าเรื่องนี้ให้กับหยู่เหวินเห้าฟัง
หยู่เหวินเห้าถึงกับขมวดคิ้วแน่น “คนตระกูลฉู่เป็นคนแพร่ข่าวลืองั้นหรือ?ไม่อยากมีชีวิตแล้วสินะ?”
“แล้วจะทำอย่างไรดี?” หยวนชิงหลิงถามด้วยความตกใจ
“หากโสวฝู่ฉู่ได้ยินเรื่องพวกนี้แล้วไม่โมโหคลั่งคงจะแปลก” แล้วเขาก็ยักไหล่ขึ้น “ทว่าโสวฝู่ฉู่ไม่มีวันได้ยินเรื่องพวกนี้หรอก”
“เหตุใดถึงไม่มีทางได้ยินเล่า?ในเมื่อตอนนี้ไม่ว่าจะทุกตรอกทุกซอยล้วนพากันพูดเรื่องนี้หมด” หยวนชิงหลิงกล่าว
“ฉะนั้นเจ้าจึงคิดว่าทุกวันนี้โสวฝู่ฉู่มีเวลาว่างไปเดินตามตรอกตามซอยงั้นสิ?คำติฉินนินทานี้มีความเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง แน่นอนว่าคนที่อยู่ใต้บัญชาเขาจะต้องมีการคัดกรองแล้วว่าจะไม่ให้เขารับรู้เรื่องนี้ได้แน่นอน ไม่เช่นนั้นมีหรือที่คนตระกูลฉู่จะกล้าปล่อยข่าวลือจอมปลอมพวกนี้ออกมา ?ทั้งหมดนี้ล้วนมีเป้าหมายพุ่งตรงมายังแม่นมสี่ อีกทั้งข่าวลือนี้ไม่กระทบกระเทือนโสวฝู่ฉู่เลยแม้แต่น้อย และโสวฝู่ฉู่เองก็จะไม่มีทางที่จะได้รู้ด้วย” หยู่เหวินเห้าตอบ
หยวนชิงหลิงจึงกล่าวต่อด้วยความโมโห : “ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า ถ้าหากตอนนี้เขาไม่รู้ ต่อไปเขาก็จะยิ่งไม่ทางได้รู้ ข่าวลือมีการแพร่กระจายไปเพียงชั่วขณะเดี๋ยวก็หยุดไปเอง หากวันข้างหน้ามีการกล่าวถึงขึ้นมาก็ไม่มีทางตามหาต้นตอได้ ข้าจึงได้ให้พระชายาจี้ไปตรวจสอบมาจนได้รู้ความจริง แล้วหวังจะเดินทางไปยังจวนตระกูลฉู่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม แต่แม่นมสี่บอกว่าไม่อยากไปก่อเรื่อง พอมาวันนี้แม่นมได้ยินสิ่งที่สวีอีได้บอกกับข้า ข้าก็สามารถมองเห็นหัวใจของนางที่กำลังมีเลือดไหลนองออกมา แต่ข้าไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไรดี เรื่องนี้ข้าปลอบใจไปก็ไร้ประโยชน์”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง : “เจ้าไม่จำเป็นต้องไปหาเรื่องที่จวนตระกูลฉู่ เพียงแค่ต้องนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้กับโสวฝู่ฉู่ฟังก็เพียงพอแล้ว และโสวฝู่ฉู่จะจัดการเอง”