ทังหยางกับหยวนชิงหลิงต่างก็หันไปมองดูเขา แล้วก็อึ้ง
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า “ทำไมถึงยังฝากไว้อีกยี่สิบที? เสด็จพ่อรับสั่งให้เจ้าทำอะไรหรือ?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อตรัสสั่งว่า ให้คิดหาวิธีให้เร็วที่สุด ให้เจ้าเจ็ดเลิกร้างร้างกับฉู่หมิงชุ่ยอย่างราบรื่น แต่ต้องไม่ทำให้โสวฝู่ฉู่เสียหน้า”
ทังหยางส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่คงไม่ทำให้โสวฝู่ไม่เสียหน้าไม่ได้ การถูกทอดทิ้ง ยังไงก็ต้องเสียหน้า ใครจะไปสนว่ายินยอมพร้อมใจเลิกร้างหรือเลิกร้างร้าง?”
หยู่เหวินเห้าใช้คางประคองหัวไว้ พูดขึ้นอย่างคิ้วขมวดว่า “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? แต่เสด็จพ่อมีรับสั่งเช่นนี้”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างหนักใจว่า “การเลิกร้างยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาสนใจเรื่องหน้าตา เป็นเพราะทั้งสองคนอยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้แล้ว ในเมื่ออยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้แล้ว ก็เท่ากับว่าเกลียดกันแล้ว ในเมื่อเกลียดชังกันแล้ว ยังจะต้องสนใจไว้หน้ากันได้อย่างไร กระทำยากจริงๆ”
ทังหยางก็พูดขึ้นว่า “ครั้งนี้ช่างเป็นความโชคร้ายจริงๆ อ๋องฉีสองสามีภรรยาจะเลิกร้างกัน คนของจวนอ๋องฉู่กลับต้องเดือดร้อน”
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่จะมีวิธีอะไร? บนโลกใบนี้เดิมก็ไม่มีอะไรยุติธรรมอยู่แล้ว
ทั้งสามคนต่างก็เงียบ ครุ่นคิดกันอยู่อย่างที่สุด
ทายาแล้ว อาการบวมช้ำค่อยลดลงบ้าง หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกว่าสบายขึ้นมาก จึงลุกขึ้นมาเดินอยู่หลายก้าวพร้อมพูดขึ้นว่า “ดีขึ้นเยอะแล้ว”
หยวนชิงหลิงประคองเขาไว้ พร้อมพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “ครั้งนี้โบยไม่แรง แต่หากกระทำตามรับสั่งได้ไม่ดี ยี่สิบทีคงไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่”
หยู่เหวินเห้าพูดปลอบขึ้นว่า “อย่าเป็นกังวล เรื่องนี้ยังไงก็ยังยื้อได้อีกหลายวัน”
“ยื้อหลายวันแล้วเจ้ามีวิธีหรือ? หยวนชิงหลิงรีบถามขึ้น
หยู่เหวินเห้ามองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่มีวิธี แต่อีกหลายวัน อาการบาดเจ็บของข้าก็ดีขึ้นแล้ว โดนอีกยี่สิบทีก็ทนได้”
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ทั้งสามคนเศร้าโศกอย่างมาก
หน้าประตู มีหัวสมองคนคนหนึ่งยื่นมา มีใบหน้าสวีอีที่ไม่สบายใจ เขาพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ให้โสวฝู่ออกหน้าไม่ได้หรือ? เขากระทำเรื่องนี้เอง ก็จะไม่เป็นการทำให้ตนเองต้องเสียหน้า ต่อให้เสียหน้า ก็เป็นเพราะเขารู้ถึงความทุกข์ของตัวเองเช่นกัน โทษคนอื่นไม่ได้”
หยู่เหวินเห้ายังไม่ทันได้ดุเขา ทังหยางก็พูดขึ้นว่า “เจ้าพูดได้ง่ายจริงๆ โสวฝู่ฉู่จะยอมกระทำเรื่องนี้ได้อย่างไร? ใครจะเป็นคนไปพูดเรื่องนี้? เจ้าไปหรือ?”
สวีอีหดคอ พร้อมพูดขึ้นว่า “ให้แม่นมสี่ไปพูดไง ยังไงตอนนี้โสวฝู่ฉู่ก็ชอบมาพูดคุยดื่มน้ำชากับแม่นมสี่ที่จวนของเรา ได้หรือไม่ได้ พูดไปก่อนก็ไม่เห็นเป็นไร? ถ้าไม่ได้ค่อยคิดหาวิธีอื่นไง”
ทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน แล้วก็ดีใจ
ทังหยางมองดูสวีอีอย่างชื่นชม พร้อมพูดขึ้นว่า “หัวสมองของเจ้าก็ไม่ได้เลอะเลือนไปเสียหมด”
หยวนชิงหลิงรีบพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ข้าไปพูดเรื่องนี้กับแม่นมสี่ แต่ว่าหากนางไม่ยินยอม เราก็จะไม่บังคับนาง”
สวีอีพูดขึ้นอย่างเจตนาดีว่า “แค่ประโยคเดียวก็ไม่ต้องถูกโบยยี่สิบที คุ้มค่า หากแม่นมสี่ไม่ยอม พระชายาใช้ไม้ปราบบีบบังคับนางก็ได้”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างค่อนข้างโกรธว่า “ข้าว่าเจ้าอยากถูกไม้ปราบสั่งสอน เดิมเรื่องนี้ขอให้เป็นไปตามความสมัครใจ ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับนาง หากนางยอมช่วย ข้าจะซาบซึ้งในน้ำใจของนาง”
สวีอีรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เขาก็มีเรื่องมากมายที่ไม่อยากทำ ก็ยังใช้ให้เขาไปทำไม่ใช่หรือ? บางครั้งพระชายาก็กระทำเรื่องสองมาตรฐาน
หยวนชิงหลิงนอนไม่หลับทั้งคืน ผลิกไปผลิกมาอยู่บนเตียง
หยู่เหวินเห้าหลับไปแล้วอย่างสะลึมสะลือ ตอนที่ยื่นมือมากอดนาง นางกลับลุกขึ้นมานั่งแล้ว เขาตื่นขึ้นมาถามว่า “ทำไมหรือ?”
หยวนชิงหลิงยื่นมือรวบผมไว้ มองดูเขา พร้อมพูดขึ้นด้วยแววตาแดงๆว่า “สงสารเจ้า”
เขายื่นแขน ดึงนางลงมากอดแนบอก พร้อมหัวเราะพูดขึ้นว่า “เด็กโง่ ไม่จำเป็นต้องสงสารข้า แค่นี้ข้าทนได้”
“ก็ข้าสงสาร” หยวนชิงหลิงนอนแนบหน้าอกของเขา พร้อมพูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้น
พวกเขาอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ เวลาประมาณครึ่งปีเอง แต่นับตั้งแต่เจอกันจนถึงตอนนี้ ทั้งถูกโบย ได้รับบาดเจ็บตั้งกี่ครั้งแล้ว?
ร่างกายของเขาไม่เคยได้สบายดีเลย
หยู่เหวินเห้าลูบเส้นผมของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ฟังเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว ต่อให้ข้าต้องทรมานมากกว่านี้ ถูกโบยอีกมากกว่านี้ ก็ไม่เป็นไร”
เขายื่นมือให้นางได้นอนลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังนอนฟุบแบบนี้ ระวังนอนทับท้อง”
มือของเขาวางอยู่บนท้องน้อยของนาง กอดตะแคงไว้ จูบริมฝีปากของนาง พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “นอนหลับเถอะ อย่าคิดมาก เรื่องใหญ่แค่ไหน ล้วนมีวิธีแก้ไข”
หยวนชิงหลิงมองดูใบหน้าของเขา คิดถึงความแตกต่างระหว่างพี่น้องที่ได้รับ ในใจยังคงยากที่จะรับได้ แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้อ๋องฉีก็น่าสงสารมาก เรื่องนี้ไม่โทษอ๋องฉี
นางหวังว่าการเลิกร้างจะสามารถกระทำได้อย่างราบรื่น การดำเนินชีวิตต่อไปจะไม่ถูกคนอื่นกระทำให้วุ่นวายอีก
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เจ้าห้าไปทำงาน นางก็ไปหาแม่นมสี่ พูดเรื่องนี้กับแม่นมสี่
แม่นมสี่ฟังแล้ว ก็สงสารหยู่เหวินเห้า จึงพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เพิ่งถูกโบย เมื่อคืนโดนอีกยี่สิบที หากเรื่องนี้จัดการได้ไม่ดี ยังจะถูกโบยอีกยี่สิบที ทำไมท่านอ๋องถึงถูกโบยบ่อยนักล่ะ?”
นางมองดูหยวนชิงหลิง พร้อมพูดปลอบว่า “พระชายาท่านอย่าเป็นกังวล เรื่องอ๋องฉีสองสามีภรรยาจะเลิกร้าง ต้องเป็นไปตามนั้นแน่แล้ว ยังไงฮ่องเต้ก็เห็นด้วยแล้ว สุดท้ายต่อให้ต้องเสื่อมเสียเกียรติใคร เรื่องนี้ยังไงก็ต้องกระทำ หากตระกูลฉู่อยากที่จะรักษาหน้า ก็คือตนเองกระทำนั่นแหละดีที่สุดแล้ว ข้าจะสั่งคนไปเชิญ ให้เขามาในวันพรุ่งนี้ แล้วพูดเรื่องนี้กับเขา”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างตื้นตันว่า “แม่นม ขอบคุณท่านจริงๆ”
แม่นมสี่หัวเราะ พร้อมพูดว่า “ดูพระชายาพูดอะไรกัน? แค่นี้ก็ขอบคุณแล้วหรือ? ชีวิตนี้ของข้าเป็นของพระชายาแล้ว”
หยวนชิงหลิงค่อยยิ้มอย่างสลายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “อย่าพูดเช่นนี้ การได้อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ถือว่าเป็นวาสนา”
แม่นมสี่สั่งคนเอาไปเชิญ เดิมคิดว่าเขาจะมาพรุ่งนี้ ที่ไหนได้ช่วงพระอาทิตย์ตกก็เห็นเขามาแล้ว
ทังหยางมีคำสั่งไว้แต่แรกแล้วว่า หากโสวฝู่ฉู่มา ให้คนอื่นหลบไปให้หมด
โสวฝู่ฉู่เดินตรงไปยังลานแม่นมสี่ แน่นอน เขาคนคนนี้ค่อนข้างที่จะสุภาพ ตอนที่มาก็ได้นำของขวัญมาให้พระชายาด้วย ล้วนเป็นพวกของเล่นหรือพวกยา ไม่ได้ล้ำค่ามากมาย
ลู่หยานับดูพร้อมพูดขึ้นว่า “เป็นครั้งที่ห้าแล้ว เพียงไม่กี่วัน โสวฝู่มาแล้วห้าครั้ง”
ฉี่หลอถามว่า “ครั้งนี้คืออะไร?”
ลู่หยาเปิดออกมาดู แล้วก็เห็นเป็นรองเท้าหัวเสือสุดเท่ จึงร้องพูดขึ้นอย่างดีใจว่า “น่าจะเป็นรองเท้าที่ให้กับซื่อจื่อ สวยมากเลย โสวฝู่ฉู่มีความตั้งใจถึงเพียงนี้เชียว”
หยวนชิงหลิงจับมามองดู เห็นรอยเย็บประณีตละเอียดอ่อนมาก วัสดุที่ใช้ก็เป็นอย่างดีที่สุด งดงามจริงๆ ใครเห็นก็ชอบอย่างมาก
นางยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าคนที่ส่งของขวัญให้กับลูกเป็นคนแรก จะเป็นโสวฝู่ฉู่”
แม่นมฉียิ้มพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ ไท่ซ่างหวงให้ลูกปัดหยกก่อนแล้วไม่ใช่หรือ? บอกว่าให้ซื่อจื่อ ของขวัญชิ้นแรก เป็นของไท่ซ่างหวง”
หยวนชิงหลิงจับรองเสือลายหัวเสือน้อยไว้ พร้อมพูดกับลู่หยาว่า “เก็บไว้เถอะ รองเท้าคู่เล็กนี้ รอลูกหัดเดินค่อยได้ใส่”
“หกเดือนก็ใส่ได้แล้ว หกเกอเอ๋อใส่รองเท้าใหญ่ขนาดนี้ได้ตอนอายุหกเดือนแล้ว” แม่นมฉีพูดขึ้น
ลู่หยาหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “หกเดือนยังเดินไม่ได้นี่”
“เดินไม่ได้ก็ใส่ไม่ได้แล้วหรือ? อากาศหนาว รองเท้าลายหัวเสือนี้พื้นอุ่น หากถึงฤดูหนาวในปีนี้ พระชายาคลอดเดือนสามปีหน้า เดือนนี้หกก็จะเข้าสู่ฤดูหนาว ก็สามารถใส่ได้อย่างอบอุ่นพอดีไม่ใช่หรือ?” แม่นมฉีอดที่จะพูดชื่นชมไม่ได้ว่า “แม่นมฉีคิดได้รอบคอบจริงๆ ของที่ส่งมาให้ใช้ไม่ได้จริงๆ”
หยวนชิงหลิงฟังแม่นมฉีพูด แล้วก็ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด โสวฝู่ฉู่ช่างมีความคิดที่รอบคอบจริง เขารักแม่นมสี่พร้อมทั้งรักสิ่งของหรือคนที่เกี่ยวข้องกับนางด้วย