หยู่เหวินเห้าทำเหมือนนางแค่พูดล้อเล่น โรงเรียนแพทย์อย่างนั้นหรือ? มันเป็นของบ้าบออะไร? เป็นการสอนให้คนเรียนเรื่องการแพทย์อย่างนั้นหรือ? ด้วยทักษะทางการแพทย์แบบนั้นของนาง คนที่นี่ไม่มีใครที่สามารถเรียนรู้ได้หรอก เพราะมันมีไม่มากนัก
หยวนชิงหลิงจริงจังกับมันมาก
ความคิดนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งมามีเอาตอนนี้ ตอนแรกที่ได้เดินไปตามท้องถนนกับเขา ได้เห็นแถวยาวเหยียดตรงทางเข้าหน้าโรงหมอ บวกกับหลังจากที่ได้ถามถึงกลไกในการรักษาพยาบาลในตอนนี้ นางก็มีความคิดแบบนี้ขึ้นมาแล้ว
แต่ความคิดในตอนนั้นก็ยังเป็นได้แค่ความคิด เพราะถึงอย่างไรการจะนำความคิดเหล่านั้นออกมาสู่ความเป็นจริงได้ ยังคงต้องใช้เงิน กำลังคน ทรัพยากรอุปกรณ์ที่จำเป็น และการโฆษณาที่เชื่อถือได้
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า: “วันนี้พระชายาจี้บอกว่า นางสามารถช่วยให้เจ้าขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาทได้”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้นน้อย ๆ “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางพูดเช่นนี้หรอก”
“เพราะฉะนั้น เจ้ามีความคิดเห็นอะไรบ้างหรือไม่?” หยวนชิงหลิงนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วแต่งหน้าทาแป้งให้ตัวเอง เวลาที่อยู่กับเจ้าห้าในห้องตามลำพัง นางไม่ค่อยอยากให้ใครเข้ามาดูแลรับใช้มากนัก
หยู่เหวินเห้าโอบนางจากทางด้านหลัง แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“เส้นสายเครือคร่ายของนางกว้างขวางมาก หากเจ้าสามารถถึงเอามาเป็นพวกได้ ยืนยันได้เลยว่าย่อมเกิดผลดีสำหรับเจ้า แน่นอนว่า การสร้างความสัมพันธ์นี้อยู่บนข้อสันนิษฐานของเจ้า ซึ่งเจ้าได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา เจ้ายังมีความคิดเช่นนี้อยู่หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าเดินอ้อมไปเพื่อให้นางเขียนคิ้ว ขนคิ้วของนางอยู่ในรูปทรงที่งดงามน่ามองอยู่แล้ว แค่วาดเติมเข้าไปเพียงหนึ่งถึงสองครั้ง มันก็ออกมาสมบูรณ์แบบแล้ว
“ไม่รู้สิ ในใจข้าเองก็รู้สึกขัดแย้งอยู่เหมือนกัน ข้าไม่ได้สนใจตำแหน่งนั้น แต่แค่ไม่อยากถูกกดขี่แบบนี้อยู่ตลอดเวลา”
หยวนชิงหลิงแค่นเสียงในลำคอเสียงหนึ่ง “ดังนั้น แท้ที่จริงแล้วเจ้าก็ไม่ได้คิดจะต่อต้าน?”
หยู่เหวินเห้าวางหลัวต้าย(ปากกาสีเขียวดำที่คนสมัยโบราณใช้สำหรับวาดคิ้ว)ลง แล้วช่วยจัดเสื้อผ้าให้นาง มือใหญ่กดลงตรงบริเวณหน้าอก หลีกเลี่ยงคำถามของนาง “ตรงนี้ยับยู่ยี่ไปหมดเลย”
หยวนชิงหลิงมองเขาโดยไม่พูดอะไร “ภรรยาของตัวเองแท้ ๆ เจ้าก็ยังคิดหาโอกาสเอาเปรียบอีกหรือนี่?”
หยู่เหวินเห้าแสดงท่าทางน้อยอกน้อยใจเสียเต็มประดา “ไม่เอาเปรียบก็เสียเปล่าน่ะสิ เจ้าตอนนี้ก็ไม่อนุญาตให้ข้าแตะต้อง พอตอนกลางคืนแตะนิดแตะหน่อย เจ้าก็ทำราวกับคิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้า เอาแต่หลบหลีกตลอดเวลา ข้าก็แค่อยากจะแตะ ๆ หน่อยเท่านั้นเอง”
“เจ็บ!” หยวนชิงหลิงยื่นมือขึ้นมาแล้วกดลงไป ช่วงนี้มันเพิ่มขนาดขึ้นจนน่ากลัว ไม่ต้องพูดถึงการใช้แรงหนัก ๆ แค่แรงกดเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดความเจ็บปวดได้แล้ว
หยู่เหวินเห้าร้อง “หา”ออกมาเสียงหนึ่ง พูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “เจ็บได้ด้วยรึ ?มันเกิดอะไรขึ้น? เจ้ารีบดึงเสื้อออกเร็วเข้า ข้าจะช่วยดูให้เอง”
พูดพลางก็เตรียมจะเอื้อมมือออกไป
หยวนชิงหลิงผลักมือของเขาออก “อย่ามาทำมือไม้รุ่มร่าม เจ็บแค่นี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
“ปกติจริง ๆ น่ะหรือ?” หยู่เหวินเห้าลากหางเสียงยาว รู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย “แต่ข้าคิดว่าตรวจดูสักหน่อยก็ดีนะ”
หยวนชิงหลิงกลอกตามองบนใส่เขาไปทีหนึ่ง “จะพอได้รึยัง? จะไปอยู่หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “เรื่องไปน่ะ อย่างไรก็ต้องไปอยู่แล้ว ไม่ต้องรีบร้อน เพิ่งจะส่งเทียบเชิญไม่ใช่หรือไร เจ้าหยวน ข้าขอถามอะไรเจ้าสักเรื่องสิ”
หยวนชิงหลิงเดินไปยกน้ำมาดื่ม พูดขึ้นว่า “ถามมาสิ เรื่องอะไรล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าเดินเข้ามา สีหน้าดูยุ่งยากสับสน “เจ้าพอจะมีช่วงเวลาไหนสักช่วงหนึ่ง ที่พอนั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ก็จะปรากฏภาพของพวกเราตอนที่อยู่ด้วยกันขึ้นมาในหัวบ้างหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงถึงกับพ่นน้ำในปากออกมา หันหน้ากลับไปมองเขา “หมายความว่าอย่างไร?”
ดวงตาของหยู่เหวินเห้าดำขลับราวน้ำหมึก มองไปที่ริมฝีปากนางที่ยังเหลือร่องรอยของฟันกัดทิ้งไว้น้อย ๆ “ก็คือมักจะนึกถึงเรื่องพวกนั้นเสมอ ความทรงจำของเราไม่ได้หมายความว่ามีแค่ตอนที่อยู่บนเตียงอย่างเดียว มันยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ในสมองของข้ากลับไม่ฟังคำสั่ง มันเอาแต่คิดถึงเรื่องพวกนั้นไม่หยุด ยิ่งคิดก็ยิ่งอึดอัดทรมาน”
หยวนชิงหลิงถึงกับหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “เจ้า… ก็อย่าคิดเรื่องเละเทะยุ่งเหยิงแบบนั้นสิ”
“อย่างไรถึงเรียกว่าเละเทะยุ่งเหยิง?” หยู่เหวินเห้าดูท่าทางไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย “รสสัมผัสที่ข้ารู้สึกตอนที่คิดขึ้นมาได้ มันช่างแสนสบายใจ ในหัวใจก็เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกหวานล้ำ”
“ไม่ใช่บอกว่าอึดอัดทรมานหรอกหรือ?” หยวนชิงหลิงหัวเราะเยาะเย้ย
“ก็ยังพอไหวอยู่ ที่จริงแล้วถ้าคิดดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ท้องเดียวมีถึงสามคนก็นับว่าเป็นเรื่องดีนะ อย่างน้อยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พวกเราก็ไม่ต้องทนทรมานกับอะไรพวกนี้อีก ตัวข้าเองยังดีที่พอจะอดทนได้ แค่เป็นห่วงเจ้าที่ถึงอยากแต่ก็ทำไม่ได้ คงทรมานมากใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริง ๆ แล้ว “ข้าไม่ทรมาน แล้วข้าก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนั้นด้วย เจ้าอย่ามาทำเป็นเห็นอกเห็นใจข้า”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ทำไมเจ้าถึงไม่คิดล่ะ? เจ้าไม่คิดได้อย่างไรกัน? ข้าเคยถามกู้ซือแล้ว กู้ซือบอกว่าผู้หญิงเองก็สามารถคิดแบบนั้นได้เช่นกัน”
หยวนชิงหลิงกลอกตามองบนใส่เขาอีกที ” เจ้าจะไปถามกู้ซือทำไมกัน ? เขาเคยมีผู้หญิงมาแล้วกี่คนล่ะ? แล้วก็ยังมี เจ้าเอาเรื่องส่วนตัวในห้องนอนของเราไปปรึกษากู้ซืออย่างนั้นหรือ?”
“ก็ไม่ใช่ว่าตั้งใจปรึกษากู้ซืออย่างเดียวหรอก เผอิญได้คุยกับทังหยางจิ้งเหยียนด้วยเหมือนกัน”
หยวนชิงหลิงโกรธจนเหลือจะทนแล้ว นางจ้องเขาตาเขม็ง รู้สึกว่าจำเป็นต้องนั่งลงแล้วพูดคุยกับเขาให้ชัดเจน
“เจ้าห้า นั่งลง ข้าต้องคุยกับเจ้าเสียหน่อย” หยวนชิงหลิงนั่งลงก่อน
หยวนชิงหลิงมองเขา รู้สึกว่าในระหว่างที่นางตั้งครรภ์ ทำไมถึงได้เกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน นั่นก็เพราะนางต้องควบคุมความคิดประเภทนั้นของเขาเอาไว้
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “หลังจากนี้ ไม่อนุญาตให้ไปมาหาสู่กับกู้ซืออีก ยิ่งห้ามพูดถึงเรื่องพวกนั้นของพวกเราด้วย”
หยู่เหวินเห้าตกใจจนผงะไปเฮือกหนึ่ง “แต่ผู้ชายเวลาอยู่รวมกัน ถ้าไม่พูดเรื่องพวกนี้ จะให้พูดเรื่องอะไรล่ะ? จะอย่างไรก็คงไม่อาจพูดถึงแต่เรื่องโคลงฉันท์กาพย์กลอน บทกวีหรือเพลงได้ตลอดเวลาหรอกนะ”
“เรื่องอื่นล่ะ? งานราชการล่ะ ? หน้าที่การงานล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญ เวลาส่วนตัวเราจะไม่คุยกันเรื่องพวกนี้”
“ เจ้าบอกข้าหน่อย ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับข้าให้กู้ซือกับเหลิ่งจิ้งเหยียนฟังบ้าง? ” หยวนชิงหลิงถามอย่างเด็ดขาดไม่อ้อมค้อม
หยู่เหวินเห้ามองหน้านาง พลางพูดอย่างระมัดระวังว่า: “ก็แค่นี้นี่ล่ะ”
“ไม่มีอะไรอื่นแล้ว?”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่มีอะไรอื่นแล้ว”
“แล้วเกี่ยวกับหัวข้อนี้ เจ้าได้พูดอะไรออกไปบ้าง?” หยวนชิงหลิงถามอีกครั้ง
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “ก็พูดแค่ว่ากี่ครั้งบ้าง เริ่มต้นอย่างไรบ้าง อะไรแบบนี้แหละ”
ชั่วขณะหนึ่ง หยวนชิงหลิงเกิดความรู้สึกอยากจะฆ่าเขาขึ้นมาจนแทบอดใจไม่ไหว
นางทั้งโกรธทั้งอาย ผุดลุกยืนขึ้นทันที “พวกเจ้าเริ่มคุยเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วคุยกันมานานแค่ไหนแล้ว?”
“นับตั้งแต่เมื่อพวกเราดีกันแล้วน่ะสิ ไม่เพียงแต่ข้าพูดเท่านั้น พวกเขายังพูดถึงเรื่องของตัวเองด้วยนะ” หยู่เหวินเห้าตกใจมาก “ทำไมเจ้าถึงต้องโกรธขนาดนี้ด้วย ? ผู้ชายเวลาอยู่รวมกัน เรื่องที่คุยกันก็มีแต่เรื่องพวกนี้แหละ จะอย่างไรเราก็ไม่เอาไปพูดข้างนอกกันอยู่แล้ว”
“หยู่เหวินเห้า นี่เจ้าปัญญาอ่อนไปแล้วใช่หรือไม่?” หยวนชิงหลิงโกรธจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว “ทำไมเวลาพวกเจ้าอยู่รวมกัน ถึงต้องคุยในหัวข้ออะไรแบบนี้ด้วย ? นี่เป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ นอกเหนือจากเจ้ากับข้า ไม่ควรเอาไปคุยกับบุคคลที่สามสิ”
หยู่เหวินเห้ายิ่งสับสนมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว ลุกขึ้นยืนพลางมองดูใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของนาง “ทำไมล่ะ? พวกผู้หญิงเองก็คุยเรื่องพวกนี้เหมือนกันนะ”
“พวกเราไม่เคยพูด!” หยวนชิงหลิงเอ็ดเสียงดังลั่น
หยู่เหวินเห้าโต้กลับ “ข้าเคยได้ยินพี่สะใภ้รองกับเสด็จพี่หญิงคุยกันกับหูของตัวเองเลย เสด็จพี่หญิงบอกว่าราชบุตรเขยไม่สู้ ถึงกับต้องกินยาเชียวนะ พี่สะใภ้รองบอกว่าเพราะพี่รองนั้นอ้วนมาตั้งแต่ยังเด็ก มองเห็นไม่ค่อยชัด ดังนั้นจึงอายจนไม่ยอมแต่งชายารองมาโดยตลอด ทำไมพวกผู้หญิงอย่างเจ้าพูดได้ พวกข้าจะพูดบ้างไม่ได้ล่ะ?”
หยวนชิงหลิงจ้องเขาเขม็ง “เจ้าพูดเหลวไหล พวกนางคุยเรื่องนี้กัน ทำไมถึงได้ปล่อยให้เจ้าได้ยินเรื่องนี้ด้วยล่ะ?”
“พวกนางไม่รู้ว่าข้ากำลังนอนหลับอยู่ในศาลา พวกนางจัดโต๊ะน้ำชากันข้างนอก ก็เริ่มเปิดประเด็นคุยเรื่องพวกนี้กัน กระทั่งหลู่เฟยก็ยังพูดถึงเสด็จพ่อด้วยนะ”
“พูดถึงเสด็จพ่อว่าอะไรรึ?” หยวนชิงหลิงผงะ เอ่ยถามด้วยความงุนงง ชั่วขณะนางถึงกับเปลี่ยนอารมณ์เป็นอยากซุบซิบนินทาจนลืมไปว่าตัวเองกำลังโกรธอยู่
“พูดว่าเสด็จพ่อชอบเหมือนตอเป่า”
หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ ชอบเหมือนตอเป่า?
โอ้สวรรค์! หลังจากนี้ไปนางคงไม่อาจมองหน้าฝ่าบาทตรง ๆ ได้อีกแล้ว!