หยวนชิงหลิงกลับไปเจ้าห้า แล้วบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกย่างก้าว ทุกความเคลื่อนไหวและทุกคำพูดที่ฮู่ก่วงถิงได้ทำในวันนี้ให้เขาฟัง
จากนั้น ก็เดาอย่างระมัดระวังทั้งยังขวัญกล้าด้วยว่า “คงไม่ใช่ว่านางเกิดไปต้องตาเสด็จพ่อเข้าแล้วหรอกนะ? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงที่นางใช้ มันเหมือนกับผู้ที่อาวุโสกว่าใช้พูดกับเด็ก ๆ อีกทั้งนางยังบอกด้วยว่าหลังจากผ่านพ้นวันนี้ไป จะคุกเข่าให้ข้าก็ไม่เหมาะสมแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องอาจจะเป็นเช่นนี้จริงๆ?”
หยู่เหวินเห้าได้ยินดังนั้น ก็อารมณ์เสียอย่างมาก เพียงแต่ยากจะเก็บซ่อนความตื่นเต้นในดวงตาของเขาได้ “สายตานางเป็นอะไรไปแล้วรึ? ไม่ต้องตาข้า แต่กลับไปต้องตาคนแก่อย่างเสด็จพ่อ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่เคยเจอผู้ชายดี ๆ มาก่อน ช่างโง่เขลาราวกบในกะลาเสียจริง”
หยวนชิงหลิงเลิกคิ้ว “เสียดายรึ? อยากให้ข้าไปขอร้องนางให้เจ้าหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าโบกมือเป็นพัลวัน “ช่างเถอะ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน ทำอะไรโดยฝืนมักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี ข้าจะให้หนทางรอดกับนางสักครั้งก็แล้วกัน”
หยวนชิงหลิงนั่งลงข้างเตียง แล้วพูดว่า “นี่เป็นเพียงการเดาของข้า มันอาจไม่เป็นความจริงก็ได้ เพียงแต่ ตอนแรกข้ายังคิดว่านางมีนิสัยหยิ่งทะนงชอบใช้อารมณ์ พอมาได้เห็นวันนี้กลับไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าข่าวลือที่ลือกันข้างนอกน่าจะเป็นข่าวเท็จ”
“นางเติบโตในเจิ้งเป่ย ระหว่างที่ชื่อเสียงของนางเล่าลือในเมืองหลวง ตัวนางก็อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้แล้ว จะถูกบิดเบือนไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” หยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้นี้สูงมาก จึงอดรู้สึกเปรมปรีดิ์มีความสุขอยู่ในใจไม่ได้
“ไม่ได้ ข้าจะให้แม่นมสี่ไปถามดูให้รู้เรื่อง” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยู่เหวินเห้ามองส่งนางออกไป อารมณ์ดีอย่างยิ่งจนครวญเพลงในลำคอเบา ๆ เลยทีเดียว
แม่นมสี่นำป้ายคำสั่งป้ายอาญาสิทธิ์ของหยู่เหวินเห้าเข้าวังไป โดยบอกว่านางต้องการมากราบทูลรายงานสถานการณ์ของพระชายาฉู่ให้แก่ไท่ซ่างหวงทรงทราบ
ทางด้านไท่ซ่างหวงนั้น ยังไม่มีการไปสอบถามข่าวคราวใด ๆ ออกมา
นางมุ่งหน้าไปหามู่หรูกงกง
มู่หรูกงกงดึงมือนางไปอีกด้านหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วต่ำว่า: “ไม่รู้นะขอรับ วันนี้หลังจากที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลับไปแล้ว ฝ่าบาทก็ยังไม่เสด็จออกมาเลย ข้าน้อยเข้าไปดูแลรับใช้พระองค์ข้างใน ก็เห็นว่าพระองค์มีสีพระพักตร์หนักอึ้งหม่นหมองยิ่งนัก บางครั้งก็ส่งเสียงคำรามอีกด้วย สุรเสียงที่คำรามออกมาน่าสงสารอย่างยิ่ง บางครั้งก็ขว้างปาข้าวของ จะตราประทับ หินฝนหมึกอะไรก็ทรงขว้างปาทั้งหมด ส่งเสียงดังอึกทึกกึกก้อง กระทั่งใต้เท้าเหลิ่นมาแล้วก็ยังไม่ให้เข้าพบ ไม่รู้จริง ๆ ว่าทรงกริ้วใครอยู่”
“เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดอะไรบ้าง เจ้าไม่ได้ยินหรอกหรือ?” แม่นมสี่ถาม “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจะทำให้พระองค์ทรงกริ้ว?”
มู่หรูกงกงหวนคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “พูดตามที่เห็นคิดว่าไม่น่าจะใช่ ท่าทีของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยตอนที่เข้าวังมาเมื่อวานนี้เย่อหยิ่งจองหองถึงเพียงนั้น ฝ่าบาทก็ยังไม่ทรงกริ้วแม้แต่น้อย วันนี้ตอนที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยมา เขาถึงกับออกตัวยกน้ำชาให้ฝ่าบาทเองด้วยซ้ำ ท่าทางประจบสอพลอไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง รอจนเมื่อเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลับไป กลับดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา เงาแผ่นหลังช่างอ้างว้างเหี่ยวเฉา ราวกับคนที่ถูกตำหนิคำรบใหญ่ ๆ ก็ไม่ปาน”
“ช่างประหลาดอะไรเช่นนี้?” แม่นมสี่ดูท่าที เหมือนว่าคงไม่ได้คำตอบอะไรจากทางนี้ กระทั่งมู่หรูกงกงก็ยังไม่รู้ ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก
ความไว้วางใจที่ฝ่าบาทมีต่อมู่หรูกงกง เป็นเรื่องที่รู้กันดีในราชสำนัก อย่างน้อยก็น่าจะมีรำพึงรำพันกับเขาบ้างเป็นครั้งคราว
สรุปแล้ว เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยสร้างปัญหายุ่งยากอะไรให้กับฝ่าบาทกันแน่?
มู่หรูกงกงพูดอย่างแผ่วเบาว่า: “จริงสิ หลังจากที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลับไป ฝ่าบาทก็ไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวง บางทีไท่ซ่างหวงอาจจะทรงทราบก็ได้นะขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่นมสี่ก็รีบกล่าวลา แล้วไปที่พระตำหนักฉินคุน
นางเข้าไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวง แน่นอนว่านางย่อมไม่กล้าเอ่ยปากทูลถามไท่ซ่างหวงโดยตรง จึงทำได้เพียงดึงมือฉางกงกงออกไปถาม
ผลปรากฏว่า ฉางกงกงรู้เรื่องนี้จริง ๆ จึงหัวเราะอย่างมีเลศนัยพลางพูดว่า “ลูกสาวของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจะถวายตัวเข้าวัง”
แม่นมสี่เบิกตากว้าง “จริงรึ?”
“ก็ใช่น่ะสิ! ฝ่าบาทคงไร้หนทางแล้วจริง ๆ ถึงได้เสด็จมาหาไท่ซ่างหวงเพื่อขอความช่วยเหลือคิดหาทางออกให้”
“แล้วไท่ซ่างหวงทรงตรัสว่าอย่างไรบ้าง?” แม่นมสี่ถามอีก
ฉางกงกงปิดปากหัวเราะชอบใจครู่ใหญ่ แล้วพูดว่า “ไท่ซ่างหวงทรงปรายพระเนตรมองฝ่าบาทเพียงแวบเดียว แล้วตรัสกล่าวด้วยความประหลาดพระทัยว่า เจ้าแก่ใจวัยลูกคนนี้นี่นะ ช่างมีดวงเรื่องนารีไม่มีแผ่วเลยจริง ๆ ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แม่นมสี่ก็หลุดหัวเราะคิดออกมา “เช่นนั้นหลังจากไท่ซ่างหวงทรงตรัสประโยคนี้แล้ว พระองค์ทรงให้ความช่วยเหลืออะไรแก่ฝ่าบาทบ้างหรือไม่?”
ฉางกงกงส่ายหน้า “ไม่เลย บอกเพียงแค่ว่านี่เป็นเรื่องดี เพราะจะอย่างไร ฝ่าบาทก็ไม่ได้ทรงคัดเลือกพระชายามาห้าปีแล้ว วังหลังนี้ก็ไม่มีผู้มาใหม่ อุตส่าห์มีคนตาบอดกระโดดเข้ามาเองทั้งคน ไท่ซ่างหวงตรัสเพียงว่าเป็นเรื่องดี เป้าหมายอะไรก็ตามที่ฝ่าบาทหวังไว้ ก็เท่ากับบรรลุได้ตามเป้าหมายแล้ว เช่นนั้นก็ให้มันเป็นไปตามนี้นี่ล่ะ”
แม่นมสี่มั่นใจหนักแน่นราวกับได้กินลูกตุ้มเหล็กเข้าไปทั้งลูก ออกจากวังไปอย่างมั่นอกมั่นใจ
อีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงมีรับสั่งเรียกให้มู่หรูกงกงเข้าพบ ตรัสถามด้วยสีพระพักตร์มืดมนว่า “เหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้าถึงไม่อยู่ที่นี่ ไสหัวไปอยู่ที่ไหนมา?”
ในเวลานี้มู่หรูกงกงไม่กล้ายั่วยุให้พระองค์ยิ่งกริ้วหนัก จึงกราบทูลไปตามความจริงว่า “ทูลฝ่าบาท แม่นมสี่เข้าวังมาเพื่อน้อมทักทาย แต่หม่อมฉันไม่กล้าเรียกให้นางเข้ามา จึงออกไปพูดกันสองสามคำที่ด้านนอก นางขอน้อมทักทายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนแววพระเนตรมืดทะมึน “นางมาน้อมทักทาย? ไม่ใช่ว่านางได้รับคำสั่งให้เข้าวังมาสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้หรอกรึ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนคิดถึงเรื่องนี้ทีไร ก็รู้สึกเศร้าโศกโศกายิ่งนัก เดิมทีต้องเป็นชายารองของเจ้าห้าแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับจะกลายมาเป็นพระชายาของเขาเองไปเสียได้ ตอนนี้ถึงตาเขาที่ต้องเป็นฝ่ายรับเคราะห์แทนเจ้าห้าแล้ว
มู่หรูกงกงไม่กล้ากราบทูลตรง ๆ ทำได้เพียงยิ้มแหย ๆ แล้วทูลว่า: “แม่นมสี่ไม่ได้ถามถึงเรื่องอะไรอื่นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่นางไปทูลรายงานสถานการณ์ของพระชายาแก่ไท่ซ่างหวง จึงถือโอกาสมาน้อมทักทายฝ่าบาทด้วย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรับสั่งอย่างรำคาญพระทัยอย่างยิ่งว่า: “จะไสหัวไปไหนก็ไปไป๊!”
มู่หรูกงกงค้อมกายคำนับแล้วถอยออกไป จากนั้นค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ฮ่องเต้หมิงหยวนทอดพระเนตรม่านที่ยังคงสั่นไหวอยู่ พระขนงขมวดมุ่นจนย่นยู่พับทับกันจนเกิดเป็นรอยจีบหนาๆ
เขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมนังหนูนั่นถึงได้อยากเข้าวัง? ไม่ใช่ว่าเขาดูหมิ่นตัวเอง ในความเป็นจริง ตั้งแต่รูปลักษณ์ไปจนถึงความสามารถทั้งหลาย เขาก็ล้วนสู้ใครต่อใครได้ทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่า นางมีตัวเลือกที่ดีกว่า
คิดไปคิดมา ก็เอาแต่รู้สึกว่านังหนูนั่นช่างโง่เขลายิ่งนัก ไม่เข้าใจหัวใจของตัวเอง พระองค์ตัดสินพระทัยว่าจะคุยกับฮู่ก่วงถิงด้วยองค์เองสักครั้ง ต้องใช้สถานะผู้อาวุโสและฮ่องเต้ทำให้นางเข้าใจ ว่าชีวิตคนเรายังมีเส้นทางอีกมากมายให้เลือกเดิน ไม่ควรทำให้ทั้งพ่อและคนในตระกูลต้องเป็นกังวล และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรทำให้พระองค์เป็นกังวลหรือเพิ่มความยุ่งยากมากไปกว่านี้
พระองค์จึงมีพระราชโองการ เรียกให้ฮู่ก่วงถิงเข้าวัง
ฮู่ก่วงถิงได้ฟังพระราชโองการแล้ว ถึงกับตกตะลึงไปราว ๆ สิบวินาทีเลยทีเดียว
ใบหน้าของนางเปลี่ยนจากสีในยามปกติ เป็นสีแดงเล็กน้อย ไปจนถึงแดงก่ำอย่างกะทันหัน จากนั้น ริมฝีปากก็พลันซีดเผือดสี มีอาการสั่นขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่คลออยู่ใต้ดวงตา เป็นน้ำตาหรือเป็นแค่แสงเรืองรองในยามที่ตาพร่าพรายกันแน่
หลังจากรับพระราชโองการแล้ว นางยังสามารถรักษาท่าทางการเดินเหินได้เป็นปกติ แต่เมื่อนางกลับถึงห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นางกลับตื่นตระหนกจนแทบคุมสติไม่อยู่
“อันนี้ไม่ได้ อันนี้แดงเกินไป อันนี้ก็ใช้ไม่ได้ สีเหลืองสดไปทำให้สีผิวของข้าดูคล้ำ สีเขียวไม่ได้ สีเขียวเหมือนผักโขม ไม่ได้ ๆ …..”
นางกุมหัวตัวเอง รู้สึกเหมือนใกล้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว ทำไมนางถึงไม่มีเสื้อผ้าที่ใส่แล้วดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้างเลยนะ?
ในที่สุด ก็เลือกชุดกระโปรงผ้าต่วนทรงเข้ารูปสีเหลืองนวลราวผลซิ่ง *แอปริคอต*ออกมาได้อย่างยากเย็น เมื่อสวมแล้วช่วยขับเน้นเรือนร่างให้ดูเพรียวบาง สูงโปร่งชวนมอง หลังจากปัดแป้งบาง ๆ ใบหน้าก็ดูหมดจดงามสดใส แต่แววตากลับดูเหมือนกระต่ายที่กระโดดโลดเต้นไม่หยุด ตื่นตระหนกไม่นิ่ง
นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกลึก ๆ แล้วก็หายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง แต่ก็ยังอดแกว่งเท้าทั้งสองข้างไปมาไม่ได้
นางคว้าตัวแม่นมที่รับใช้มานานหลายปีเข้ามากอดไว้แน่น “ข้าควรทำอย่างไรดีล่ะ? ข้ารู้สึกประหม่าเหลือเกิน ครั้งก่อนที่ข้าได้พบพระองค์ ยังมีเสียนเฟยอยู่ด้วย แต่ตอนนี้ข้าต้องเข้าเฝ้าพระองค์ตามลำพัง ข้าต้องประหม่าจนขาดใจตายไปก่อนแน่เลย ”
แม่นมพูดปลอบนางว่า: “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอย่าได้ประหม่าไปเลยเจ้าค่ะ ฝ่าบาทไม่ใช่เสือเสียหน่อย กระทั่งเสือท่านยังไม่กลัวเลย ยังต้องกลัวฝ่าบาทไปทำไมกัน? ท่านก็คิดเสียว่าฝ่าบาทเป็นเหมือนลูกเจี๊ยบที่ท่านเลี้ยงไว้ตอนอยู่ที่เจิ้งเป่ยก็ได้ ลูกเจี๊ยบร้องเจี๊ยบ ๆ ทั้งวัน น่ารักน่าชังขนาดไหน จริงหรือไม่เจ้าคะ?”
ฮู่ก่วงถิงยิ้มออกจนได้ แต่เป็นรอยยิ้มก็แข็งทื่ออย่างยิ่ง นางยื่นมือขึ้นมาตบ ๆ หน้าเพื่อให้กำลังใจตัวเอง “จะถอยไม่ได้ จะถอยไม่ได้เด็ดขาด เจ้ารอมาถึงเก้าปีเพื่อรอให้ถึงวันนี้ เจ้าต้องกล้าหาญเข้าไว้ ”
หลังจากพูดจบ ดวงตาของนางก็เปล่งประกายแน่วแน่ ก้าวเท้ายาว ๆ ไปข้างหน้า
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ก้มหน้าลงแล้วหันหลังกลับมา โน้มตัวลงไปกอดแม่นมอีกครั้ง “ไม่ไหวแล้ว! ขาก็ยังประหม่ามากอยู่ดี แค่จะหายใจก็ยังแทบจะหายใจไม่ออกแล้วจริงๆ ข้าจะตายแล้ว!”
แม่นมหัวเราะขณะที่กอดนางไปด้วย “เอาล่ะ ๆ คุณหนูคนดีของข้า วันหน้าท่านจะต้องเป็นท่านหญิงนะเจ้าคะ จะต้องได้พบพระองค์บ่อย ๆ หากท่านกลัวอยู่เช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ หรือไม่ ก็ช่างมันเถอะเจ้าค่ะ แค่เลือกท่านอ๋องสักคนมาแต่งด้วยก็พอแล้ว ”
ฮู่ก่วงถิงถึงกับตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงดังสนั่นทันที “แบบนั้นไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด นอกจากพระองค์แล้ว ข้าจะไม่แต่งกับใครทั้งนั้น!”