หยวนชิงหลิงมองสีหน้าของเขาที่มีความรู้สึกกึ่งขุ่นเคืองใจกึ่งขอคำแนะนำ ยิ้มและพูดว่า “ท่านปฏิบัติต่อเสด็จแม่อย่างไร”
“น้อมทักทาย”
“นอกจากนี้เล่า”หยวนชิงหลิงถามต่อ
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้าครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้ทำอย่างอื่น ในเมื่อเสด็จแม่มีทุกอย่าง ก็แค่ไปน้อมทักทาย ถามสารทุกข์สุกดิบเท่านั้น”
“เอาใจนางให้นางมีความสุขเล่า”หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้ายิ้มจางๆ “เอาใจหรือ แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทก็เป็นการเอาใจแล้ว เรื่องอื่นๆไม่ว่าจะทำอะไรก็ถูกหาว่าเป็นเด็ก ไม่จำเป็น เอาแต่ใจ ใจร้อนบุ่มบ่าม”
หยวนชิงหลิงเบิกตากว้าง แต่ก็เห็นด้วยกับที่กล่าวมา สำหรับเขาแล้วเสียนเฟยมีเพียงความหวังเดียว ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท
มองดูเด็กโตที่ขาดแคลนความรักจากครอบครัวคนนี้ หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ “หาเวลาวันหนึ่ง เข้าวังไปเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนเสด็จพ่อ ดื่มเหล้า คอยอยู่เคียงข้าง อยู่เป็นเพื่อน น่าจะเป็นวิธีการแสดงความกตัญญูที่ดีที่สุดแล้ว”
“เช่นนั้นเขาคงคิดว่าข้าทำเพื่อเอาใจและหวังผลประโยชน์จากเขาแน่”หยู่เหวินเห้าพูดอย่างกลัดกลุ้มใจ
“ช่างเขาจะคิดอย่างไร ท่านทำหน้าที่ของท่านให้ดีก็พอ”หยวนชิงหลิงใช้ปลายเท้าเตะเขาไปหนึ่งที “ท่านคิดดู ถ้าหากภายหน้าลูกของท่านก็ห่างเหินกับท่าน ท่านจะคิดอย่างไร ในใจจะมีความสุขหรือไม่ ”
“ถ้าเป็นลูกชายก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นลูกสาวนั้นไม่ได้ ”หยู่เหวินเห้าตัดสินใจแล้ว พูดว่า “ยายหยวน ข้าตัดสินใจแล้ว ลูกทั้งสามของพวกเราต้องเป็นลูกสาว ลูกชายตอนเด็กๆชอบทะเลาะกัน โตแล้วยังต้องเป็นห่วง ความทะเยอทะยานของผู้ชายมีมากเกินไป”
หยวนชิงหลิงโมโหจนยิ้มออกมา “ท่านตัดสินใจแล้ว ท่านตัดสินเองก็คลอดเอง”
หยู่เหวินเห้าพึมพำ “มีมากถึงสามคน อย่างไรเสียก็ต้องมีคนหนึ่งสองคนเป็นเด็กผู้หญิงกระมัง”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “แน่นอนว่าเป็นไปได้ แต่ว่า โอกาสที่จะได้ลูกชายทั้งสามคนหรือลูกสาวทั้งสามคนเป็นไปได้สูงกว่า”
หยู่เหวินเห้าตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง “ไม่สามารถคละกันได้หรือ”
“ก็มีโอกาสเป็นไปได้อยู่บ้าง”หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้ากลุ้มใจ “เป็นลูกชายทั้งสามคนไม่เอาหรอกนะ อย่างน้อยก็ต้องมีลูกสาวสักคนหนึ่ง”
“ไม่ใช่ตาท่านที่จะตัดสินใจ”หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้าระบายอารมณ์ รู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม “ลูกของข้าข้าตัดสินใจไม่ได้ แม้แต่เพศของพวกเขาข้าก็กำหนดไม่ได้หรือ”
“ใช่ ไม่สามารถกำหนดได้ ท่านเองก็ไม่สามารถกำหนดเพศของตนเองได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกเลย ”หยวนชิงหลิงทลายความหวังของเขาอย่างโหดเหี้ยม
“ยายหยวน”เขาร้องอย่างเศร้าเสียใจเสียงหนึ่ง เอาหน้าแนบไปที่ท้องของนาง “ถ้าหากทั้งสามคนเป็นลูกชายจะทำอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องได้ลูกสาวคนหนึ่ง”
“อย่ามองในแง่ร้ายมากเกินไป อาจจะเป็นลูกสาวทั้งสามคนก็เป็นได้”หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆ
“เช่นนั้นคนในวังคงจะผิดหวังมาก”หยู่เหวินเห้าหัวเราะหึหึขึ้นมา
“คนในวังจะผิดหวังหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราสองสามีภรรยาจะควบคุมได้ พวกเราทำเต็มที่แล้ว”หยวนชิงหลิงพูด
แววตาของหยู่เหวินเห้าเหม่อลอยอยู่บ้าง มองที่ท้องของนาง เอ่ยอย่างปากกับใจไม่ตรงกันว่า “ทำเต็มที่แล้วก็จริง แต่ข้ายังสามารถทำเต็มที่ได้มากกว่านี้อีกนิด แต่ไม่ให้โอกาสนั้นกับข้าเลย”
นี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด ในชีวิตวัยหนุ่มของเขา
อ๋องจี้ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง แน่นอนว่าแม้ต้องตายเขาก็ไม่ยอมรับ ฮ่องเต้หมิงหยวนส่งคนไปสามกลุ่มเพื่อสอบสวนเขา เขาก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ตะโกนว่าถูกใส่ร้าย
อ๋องจี้ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน ที่น่าอนาถที่สุดครั้งหนึ่งคือถูกส่งไปสำนึกผิดที่วัดเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็กลับมาแล้ว และยังอยู่ที่นั่นอย่างมีชื่อเสียงเลื่องลือ มีเหล่าขุนนางมาน้อมทักทายทุกวัน
เขาเองก็รู้ตัวดีว่าครั้งนี้ร้ายแรงกว่ามากนัก เพราะไปลงมือกับอ๋องที่เป็นลูกของภรรยาเอก
แต่ว่าเขาไม่เคยทำจริงๆ เขาคิดอยากจะทำ แต่ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร ทั้งหมดยังอยู่ในช่วงวางแผน มีเพียงคนสนิทที่เชื่อใจได้สองสามคนเท่านั้นที่รู้ถึงแผนการของเขา
ระหว่างที่อยู่ในคุก นอกจากร้องไห้อย่างปวดใจแล้ว ก็ชี้ตรงไปที่หยู่เหวินเห้า บอกว่าทั้งหมดเป็นฝีมือเขา แล้วป้ายความผิดให้ตน
เขายอมรับว่า เคยต่อสู้กับหยู่เหวินเห้าในจวน ตอนนั้นยังใช้ทหารในจวนเล่นงานหยู่เหวินเห้า เขาคิดว่าหยู่เหวินเห้าคงแค้นใจเรื่องในครั้งนั้น ฉะนั้นจึงได้ใส่ร้ายเขา
คำพูดเหล่านี้ ย่อมต้องถึงหูของฮ่องเต้ แต่ว่า อ๋องจี้ไม่ได้บอกว่าต่อสู้กันด้วยสาเหตุใด บอกเพียงว่าความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน
แต่ว่า หลังจากที่ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังแล้ว ก็ได้แต่โบกมือด้วยสีหน้าเรียบๆ “สอบสวนต่อไป”
คนข้างล่างก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปแล้ว ยังจะสอบสวนอีกหรือ คาดว่าคงจะสอบถามไม่ได้ความอะไรอีก
ถ้าไม่ตัดสินโทษ ก็ต้องจัดการลงโทษสักที
ฮ่องเต้ไหนเลยจะไม่รู้ว่าคงสอบสวนอะไรต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แต่ว่าเขายังคิดวิธีลงโทษดีๆไม่ออก และอีกอย่าง เขาคิดว่า บางเรื่องยังสามารถใช้เวลาบ่มอีกสักหน่อย
เช่นนี้เอง อ๋องจี้จึงยังถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง
อ๋องจี้ยังคงรอคอยฝ่ายฉู่หมิงหยางที่ช่วยวิ่งเต้นอยู่ตลอด อย่างน้อย โสวฝู่ช่วยเขาพูดจาบ้างเล็กน้อย ก็เป็นไปได้มากกว่าคนอื่นพูดเป็นร้อยคำ
แต่ว่า รอแล้วรอเล่า ไม่แม้กระทั่งจะเห็นฉู่หมิงหยางมาเยี่ยมเขา
แม้ว่าเขาจะทำผิดร้ายแรง แต่ไม่ได้มีการกำหนดห้ามเยี่ยม
เขากระวนกระวายอารมณ์ไม่ดี เมื่อก่อนไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้างนอกย่อมมีคนคอยวิ่งเต้นให้เขาอยู่เสมอ ตอนนี้เขากำลังสงสัย นอกจากคนที่เขาเชื่อใจและคนของตระกูลของท่านตาแล้ว ยังมีคนคอยช่วยเหลือเขาหรือไม่
วันขึ้นหกค่ำเดือนอ้าย ในที่สุดอ๋องจี้ก็รอจนมีคนมาเยี่ยมแล้ว
เป็นพระมารดาฉินเฟย ที่มาพร้อมกับนาง ยังมีพระชายาจี้
ฉินเฟยขอร้องฮ่องเต้อยู่เป็นเวลาสองวัน ฮ่องเต้จึงยินยอมให้นางมา พอเห็นอ๋องจี้ นางก็ร้องไห้ตำหนิอย่างเจ็บปวด “ดูเจ้าซิทำไมจึงได้เหลวไหลนัก เจ้าจะหาเรื่องใครก็ได้ แต่ทำไมต้องเป็นเจ้าเจ็ด จะไม่ให้เสด็จพ่อของเจ้าร้อนใจตามเจ้าได้อย่างไร ”
อ๋องจี้คุกเข่าอยู่กับพื้น “เสด็จแม่ ลูกถูกใส่ร้ายจริงๆ ท่านเชื่อลูกเถอะ ช่วยไปขอร้องเสด็จพ่อให้ที ”
ฉินเฟยพูดพลางร้องไห้ “ขอร้องเสด็จพ่อของเจ้าแล้วมีประโยชน์อะไร พระชายาของเจ้าก็บอกกับข้าแล้ว ตอนนี้มีทั้งพยานและหลักฐาน ยืนยันแล้วว่าเป็นฝีมือเจ้า ตอนนี้ ก็รอแค่คำตัดสินจากเสด็จพ่อของเจ้า ใครก็ไม่กล้าขอร้องแทนเจ้าทั้งนั้น ”
อ๋องจี้ราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง “อะไรนะ ไม่มีใครขอร้องแทนข้า โสวฝู่ฉู่เล่า เขาไม่ได้พูดกับเสด็จพ่อหรือ เขาไม่ได้วิ่งเต้นให้กับข้าหรอกหรือ”
ฉินเฟยเอ่ยอย่างโมโหว่า “เขาหรือ ตาแก่คนนี้แทบอยากจะให้เขาตายด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาคิดว่าเจ้าเป็นคนร้ายที่ทำร้ายเจ้าเจ็ด มีแต่เสนอความคิดเห็นให้ฮ่องเต้ลงโทษเจ้าให้หนัก ไหนเลยจะยังช่วยเจ้า”
ร่างของอ๋องจี้สั่นไหวไปชั่วครู่ พูดเสียงพึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เขาคอยสนับสนุนข้านี่นา ไม่เช่นนั้นทำไมเขาจึงให้หลานสาวแต่งงานกับข้าเล่า ”
เขาเงยหน้าขึ้น สายตามีแววตื่นตระหนกอยู่บ้าง “หยางเอ๋อเล่า ทำไมนางไม่มาด้วย”
พระชายาจี้ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “ตั้งแต่ท่านอ๋องเกิดเรื่อง นางก็กลับบ้านมารดาไปแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา”
อ๋องจี้เงยหน้าขึ้นมองนาง แววตาสับสน
เขาเหมือนเพิ่งจะได้สติกลับมาเดี๋ยวนี้เอง เมื่อก่อนไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ล้วนเป็นนางกับคนของตระกูลถงช่วยเขาวิ่งเต้น
แต่ว่าตอนนี้ นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ พูดจาอย่างเย็นชาสองสามคำ ไม่มีวี่แววที่จะช่วยเหลือเลยสักนิด
เขาฝืนใจถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่า เรื่องนี้ยังมีโอกาสให้พลิกผันหรือไม่ ”
พระชายาจี้ส่ายหน้า “ไม่รู้”
เหมือนฉินเฟยเพิ่งจะได้สติกลับมา พูดกับพระชายาจี้ว่า “ใช่แล้ว เจ้าให้คนช่วยวิ่งเต้นดู พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นเน่ย์เก๋อมิใช่หรือ”
พระชายาจี้ถอนหายใจเบาๆ “เสด็จแม่ไม่รู้หรือว่า เพราะเรื่องที่เมืองถิงเจียง พี่ใหญ่ของข้าได้ถูกเสด็จพ่อตั้งข้อสงสัย ตอนนี้หลายเรื่องราวที่เขาไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งได้อีก ตอนนั้นท่านอ๋องไม่ควรให้คนของตระกูลถงแบกรับความผิดนี้”
อ๋องจี้โมโห “นี่เจ้าโทษข้าหรือ ไม่มีใครใช้ให้เจ้าช่วยเสียหน่อย เจ้าไสหัวไปเลย ”