เสียนเฟยถูกพูดสกัดใส่ไปประโยคหนึ่ง สีหน้าจึงหนักอึ้งจมดิ่งทันที
นางไม่ได้พูด แต่ในใจนางสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดแล้ว นางหันไปมองหยวนชิงหลิงที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนเอามือกุมท้องตัวเอง ซึ่งกำลังมองมาทางนี้อยู่พอดี นางจึงแข็งใจกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชา ทั้งย่วนพ่าน หมอหลวง และนางผดุงครรภ์ล้วนอยู่ข้างใน นางพูดอย่างเคร่งเครียดจริงจังว่า: “ไทเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ ทุกคนจงคุกเข่าลงฟังคำสั่ง”
ทุกคนคุกเข่าลง แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะยังโกรธอยู่เล็กน้อย แต่เพราะนั่นเป็นพระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่า เขาจึงต้องคุกเข่าลงเพื่อรับคำสั่ง
เสียนเฟยประกาศเสียงดังว่า “ไทเฮาทรงมีรับสั่งว่า หากมีสถานการณ์อันตรายใด ๆ เกิดขึ้นในระหว่างการคลอดของพระชายาฉู่ ให้ยึดหน่อเนื้อแห่งราชวงศ์เป็นสำคัญ ควรใช้ยาชนิดใด ควรใช้วิธีการใด ล้วนต้องคิดถึงการรักษาเด็กในครรภ์ให้รอด…”
ประโยคสุดท้าย นางมองไปที่หยวนชิงหลิง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “แม้ว่าจะต้องเสียสละแม่ที่คลอดก็ตาม!”
หยวนชิงหลิงที่เพิ่งอดทนต่ออาการหดตัวไปครั้งหนึ่ง ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ก็ถึงกับตกตะลึง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดเผือดสีไปทันที
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืนทันที แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ท่านแม่ปลอมแปลงรับสั่งในพระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่าเช่นนี้ คงรู้ใช่หรือไม่ว่ามีโทษร้ายแรงเพียงใด?”
เขากวาดตามองทุกคนอย่างเย็นชา “พระราชเสาวนีย์นี้ ข้าสงสัยว่ามีความเท็จ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปสนใจอะไรทั้งสิ้น หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ให้ยึดเอาพระชายาเป็นสำคัญ ท่านแม่ โปรดออกมากับข้า”
เขาดึงเสียนเฟยด้วยมือข้างเดียว แล้วลากนางออกไปทันที
เสียนเฟยตวาดอย่างขุ่นเคือง “เจ้าช่างบังอาจนัก!”
เขาไม่สนใจ แล้วก็ไม่แยแสเสียนเฟยที่ต่อสู้ดิ้นรนด่าเกรี้ยวกราดด้วย เขาเอาแต่ลากนางออกไปไกลมาก จนกระทั่งไปถึงที่ที่ไม่มีคน จึงพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ท่านแม่ ท่านคิดว่าลูกเศร้าหรือไม่?”
เสียนเฟยสะบัดแขนเสื้อ แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า: “มีอะไรน่าเศร้ากัน? หากเจ้าไม่ฟังคำแม่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องน่าเศร้า”
“ไม่น่าเศร้าหรือ?” หยู่เหวินเห้ารู้สึกเพียงว่า เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเผาไหม้จนหัวใจปวดแสบปวดร้อนไปหมด มันเจ็บปวดจนน้ำตาของเขาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว เขาพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ ลูกสะใภ้ของท่านกำลังเตรียมจะคลอดลูก ทุกคนล้วนวิตกกังวล ต่างพากันสวดอธิษฐานขอให้นางปลอดภัย แม้แต่คนภายนอกที่ไม่รู้จักนาง ก็ยังหวังว่านางจะคลอดลูกออกมาได้อย่างราบรื่น แล้วท่านล่ะ? กระทั่งคำพูดปลอบโยนให้กำลังใจซักคำก็ยังไม่มี หนำซ้ำยังปลอมแปลงพระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่า ให้รักษาแค่ลูกยอมสละแม่ที่คลอด ? ข้าจะบอกท่านให้นะ นับตั้งแต่เจ้าหยวนท้องมาจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยมีชีวิตที่สงบสุขเลยแม้เพียงซักวัน ข้าเองก็เช่นกัน นางอดทนผ่านเส้นทางที่ยากลำบากขนาดนี้มาอย่างไร? ท่านแม่ไม่เคยรู้หรอก วัน ๆ ท่านแม่กินอิ่มนอนสบายอยู่ในวัง คิดเพียงแค่ว่าตัวเองจะปีนไต่ขึ้นไปเป็นฮองไทเฮาได้อย่างไร ข้ากับเจ้าหยวนต้องอดทนฝ่าฟันอุปสรรค ต้องทุกข์ยากลำบากขนาดไหน กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ท่านไม่เคยสนใจซักนิด นางต้องทนทุกข์เพียงใด เหนื่อยยากแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยสนใจเลย จนวันนี้นางกำลังจะคลอดลูก ท่านมาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็มาอ้าปากพ่นวาจาร้ายกาจอย่างให้รักษาลูกยอมสละแม่ ท่านก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันแท้ ๆ ทำไมถึงได้พูดอะไรที่มันโหดร้ายขนาดนี้ออกมาได้ ? นี่ท่านกำลังพยายามบังคับให้นางไปตายใช่หรือไม่?”
เสียนเฟยมองเขา พลางส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ดูเจ้าสิ ตอนนี้เจ้าดูเหมือนตัวอะไรไปแล้ว? เจ้าไร้สติเกินไปแล้ว นางจะเป็นแม่คน ไม่ว่านางต้องทนทุกข์เพียงไร เหนื่อยยากเพียงใด ล้วนเป็นเรื่องปกติที่นางต้องเผชิญอยู่แล้ว เทียบกับตอนที่แม่คลอดเจ้ากับน้องสาวของเจ้า หรือเจ้าคิดว่าแม่ไม่ทุกข์ยากลำบากอย่างนั้นหรือ? เจ้าห้า เจ้าคิดอย่างนี้ไม่ได้นะ วันนี้สภาพของนางเป็นเช่นไร เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจดี ไม่ใช่ว่าแม่อยากจะบีบให้นางไปตาย แต่สวรรค์ต้องการจะรับตัวนางไป นางอดทนจนผ่านมันไปไม่ได้หรอก เจ้าก็เห็นแล้วว่า แม้แต่แรงจะหายใจนางก็แทบไม่มีอยู่แล้ว นางจะคลอดไหวได้อย่างไรกัน? ฟังแม่เถอะนะ ให้ยาเร่งคลอดหนัก ๆ ไปเลย ถ้าคลอดออกมาได้หนึ่งคน ก็คือหนึ่งคน ส่วนที่เหลือก็ค่อยดึงออกมาทีหลังก็ได้ เจ้ารู้หรือไม่ ? แม่ไปถามเรื่องนี้มาแล้ว ขอเพียงดึงออกมาได้ทันเวลา เด็กก็ยังมีโอกาสรอด…”
“ท่านหุบปากเดี๋ยวนี้!” หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็โกรธจนร่างทั้งร่างแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว เขาชี้เสียนเฟย แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “หากท่านยังมีความคิดเช่นนี้ ข้าไม่อาจยอมอนุญาตให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ข้าจะสั่งคนให้ไปส่งท่านกลับวังทันที”
เสียนเฟยก็โกรธจนหัวใจแทบจะระเบิดแล้วเช่นกัน แต่นางก็รู้นิสัยของเขาดี จึงไม่อาจใช้ไม้แข็งต่อไปได้ ไม่เช่นนั้นเกิดเด็กคนนี้โมโหโทโสขึ้นมา เขาต้องส่งนางกลับวังไปจริง ๆ แน่ นางจึงทำได้เพียงถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า “ ได้ ถ้านี่เป็นสิ่งที่เจ้าเลือกแล้ว แม่ก็จะเคารพการตัดสินใจของเจ้า”
หยู่เหวินเห้ารู้ถึงนิสัยตามธรรมชาติของแม่ตัวเองดี หลังจากกลับไป จึงเรียกให้แม่นมสี่มาคอยจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด สิ่งใดก็ตามที่ไม่เอื้อประโยชน์อันดีต่อหยวนชิงหลิง ต้องรีบหยุดรั้งเอาไว้ก่อน ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร เขาจะรับผิดชอบเอง
เขารีบกลับมาอยู่ข้างกายหยวนชิงหลิง กุมมือนางไว้แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “หยวน เจ้าไม่ต้องไปฟังคำพูดของนางหรอกนะ เสด็จย่าทรงเชื่อในพระพุทธศาสนา ซึ่งท่านทรงเคร่งครัดในข้อห้ามทั้งหลายอย่างยิ่ง ในเวลาที่เจ้าใกล้คลอดเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ใครมาส่งสารเช่นนี้แน่ คำสั่งนี้ล้วนเป็นความคิดเห็นที่นางพูดเองฝ่ายเดียว ไม่ต้องไปฟังใครทั้งสิ้น ฟังแค่ข้าคนเดียวพอ เข้าใจหรือไม่? พวกเราสามีภรรยาร่วมแรงแข็งขัน ฝ่าฟันชะตากรรมไปด้วยกัน!”
รอยยิ้มซีดเซียวลอยอยู่ที่มุมปากของหยวนชิงหลิง”คำพูดเหล่านี้ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินคนอื่นพูดมามากแล้วล่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะถึงตาตัวเองมาได้ยินเองบ้าง ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”
นางไม่สนหรอกว่าเสียนเฟยจะคิดอย่างไร แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ในใจคงจะรู้สึกไม่สบายใจมาก ๆ อย่างแน่นอน
“นางแซ่ซู ที่เจ้าแต่งให้คือแซ่หยู่เหวิน ไม่ใช่แซ่ซู จำได้หรือไม่?” ริมฝีปากของหยู่เหวินเห้าประทับลงบนหน้าผากของนาง ในใจทั้งรู้สึกเจ็บปวด ตื่นตระหนก โกรธเคืองปะปนกันยุ่งเหยิง
หยวนชิงหลิงจับมือของเขา “ข้ารู้แล้ว เจ้าสั่งให้ใครซักคนไปดูไว้ พอพิธีบูชาสวรรค์เสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ให้รีบพาเจ้าอาวาสกลับมาทันที”
“วางใจเถอะ กู้ซือไปแล้วล่ะ” หยู่เหวินเห้าพูดเบา ๆ ปล่อยมือนางช้า ๆ แล้วเอื้อมมือไปรวบมัดผมของนางเข้าด้วยกันให้เรียบร้อย “เจ็บมากหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงระบายลมหายใจ ค่อย ๆ ปรับการหายใจของนางให้คงที่ “ตอนนี้ยังพอทนไหว ไม่เจ็บมากนัก การหดตัวก็ไม่รุนแรงเท่าไหร่ด้วย ยังอยู่ในขอบเขตที่สามารถทนได้อยู่”
ดวงตาของหยู่เหวินเห้าคล้ายถูกไฟแผดเผาจนแสบร้อน ที่ลำคอก็เช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า: “ข้าแค้นนักที่ไม่อาจเจ็บแทนเจ้าได้”
หยวนชิงหลิงเอื้อมมือไปแตะใบหน้าที่ซูบผอมลงไปมากของเขา “ช่วงหลายวันมานี้ เจ้าก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่าข้านักหรอก ข้าจะไม่ยอมทิ้งเจ้าไว้คนเดียวโดยไม่สนใจแน่ วางใจเถอะ”
คำพูดนี้ เข้าไปจี้โดนจุดที่เจ็บปวดที่สุดในหัวใจของเขาอย่างพอดิบพอดี
เขาไม่เคยได้เห็นลูก แล้วก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพวกเขานานถึงเก้าเดือน เขาไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อลูก ๆ เท่าหยวนชิงหลิง
เขาหวังเพียงว่านางจะมีชีวิตอยู่ สามารถอดทนจนผ่านการทดสอบนี้ไปได้ แม้ว่าจะไม่มีลูกเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่เพียงนางยังมีชีวิตอยู่
เขาเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมาอยู่แล้ว แต่ครู่ต่อมา เขาก็ยิ้มจนเต็มหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ตกลงกันแล้วนะ ก่อนอายุครบร้อยปี ใครก็ห้ามทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
“ตกลงกันแล้วนะว่า ก่อนอายุครบร้อยปี ใครก็ห้ามทิ้งใครไว้ข้างหลัง” หยวนชิงหลิงจ้องมองเขา นางจะตัดใจลงได้อย่างไรกัน? ในอดีตนางรู้สึกว่าชีวิตของตัวสมบูรณ์แบบดีแล้ว ได้ทำงานที่ตัวเองชอบและอยากทำ แต่นับจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขา คุ้นเคยกับการพึ่งพาเขาทั้งเช้าค่ำ นางถึงเพิ่งจะเข้าใจว่า ชีวิตก่อนหน้านี้แม้จะสมบูรณ์แบบดี แต่ตอนนี้สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือความสุข นี่ต่างหาก คือความสมบูรณ์แบบที่แท้จริง
พวกแม่นมสี่กับคนอื่น ๆ ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อปลอบโยน และให้กำลังใจนางไม่หยุด
เมื่อเห็นแววตาคาดหวังรอคอย และจริงจังจากคนในห้อง หยวนชิงหลิงก็น้ำตาคลอ นางช่างโชคดีอะไรเช่นนี้!
หลังจากนั้นเสียนเฟยก็ตามเข้ามาด้วย นางเห็นหยู่เหวินเห้าคอยดูแลอยู่ข้างกายหยวนชิงหลิงไม่ห่าง สองมือกำแน่น ตอนที่นางมีอาการเจ็บปวด เขาก็กังวลลนลานไปทั้งเนื้อทั้งตัว แสดงท่าทีว่าอยากเจ็บแทนนางเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ทุกคนที่คอยเฝ้ามองดูอยู่ข้าง ๆ แต่ละคนต่างก็แสดงท่าทีซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
ในใจของเสียนเฟยมีเพียงความรู้สึกเศร้าซึม
นางเองก็เคยคลอดลูก ตอนที่นางคลอด มีเพียงนางผดุงครรภ์กับแม่นมส่วนตัวของนางที่อยู่เคียงข้าง เสียงของผู้ชายเพียงคนเดียว คือเสียงของหมอหลวงที่คอยชี้แนะสั่งการอยู่ข้างนอกเท่านั้น
นางก็เป็นเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นทุกคน คือต้องกัดฟันอดทนจนผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวเอง
นางคลอดลูกชายหนึ่ง ลูกสาวหนึ่ง นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาลืมตาดูโลก นางก็เริ่มห่วงใยกังวลเกี่ยวกับอนาคต และวางแผนการสำหรับพวกเขาเอาไว้สารพัด แต่มาวันนี้ สิ่งที่เจ้าห้าพูดออกมามันช่างทำร้ายจิตใจนางเหลือเกิน
ในอดีต ถึงแม้เจ้าห้าจะไม่ได้มีนิสัยเอาใจใส่ทุกเรื่อง ระมัดระวังทุกอย่างเหมือนกับอ๋องคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่เคยพูดแบบนี้กับนางมาก่อนเช่นกัน
หยวนชิงหลิงคนนี้ ช่างทำให้เขาหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น จนลืมพ่อแม่ ลืมอนาคตตัวเอง ลืมกระทั่งผลงานที่ทุ่มเทมาอย่างยากลำบากไปจนหมด
จะปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเขา แล้วกลายเป็นดั่งยาพิษที่กัดกร่อนเขาแบบนี้ต่อไปได้อย่างไรกัน?