อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 782 หยวนโจวได้ความรู้
เนื่องจากหยวนโจวทานโจ๊กของตัวเองเป็นอาหารกลางวัน ตอนนี้เขาจึงรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ท้องที่ปวดเล็กน้อยก็ไม่รู้สึกแย่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องหลับตานอนในรถอีก ในทางกลับกัน เขากำลังเพลิดเพลินกับทัศนียภาพด้านนอก
เสี่ยวซิ่งยังคงหันหน้ามามองหยวนโจวเป็นบางครั้งบางคราว เขาไม่คิดจะยอมแพ้จึงตั้งใจที่จะโน้มน้าวหยวนโจว
“อาจารย์หยวน ยอดเชฟหยวน ดูสิ คุณทำอาหารเก่งมากเลย ทำไมคุณต้องไปสนใจเป็ดปักกิ่งของปลอมพรรค์นั้นด้วยล่ะครับ?” เสี่ยวซิ่งกล่าว
“ยังไงการลองชิมเป็ดปักกิ่งของประเทศไทยก็เป็นความคิดที่ดีครับ” หยวนโจวกล่าว
“แต่คุณรู้สึกไม่สบายท้องอยู่หรือเปล่าครับ? เป็ดย่างน่าจะเลี่ยนเกินไปสำหรับคุณในตอนนี้ ตอนเที่ยงคุณไม่ได้กินเนื้อเลยนี่ครับ” เสี่ยวซิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนเที่ยงหยวนโจวไม่ได้ทานยำไก่ฉีกเลย
“อืม นั่นเป็นอาหารที่ผมเตรียมเอาไว้ให้คุณเองแหละครับ” หยวนโจวกล่าวพลางทอดสายตาให้เสี่ยวซิ่ง
“แค่ก แค่ก นั่นเป็นอาหารรสจัดเลยนะครับ ยังไงเสียคนป่วยก็ไม่ควรจะกินเยอะมากไปนะครับ แฟนผมเคยพูดไว้แบบนั้นน่ะ” เสี่ยวซิ่งกล่าวด้วยความรู้สึกค่อนข้างอึดอัดใจ
“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
“งั้นพวกเราค่อยมากินเป็ดย่างคราวหน้าดีไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งหยั่งเชิง ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“พรุ่งนี้ผมจะบินกลับแล้วล่ะครับ” หยวนโจวตอบ
“อา? หาวันแล้วเหรอครับเนี่ย? ทำไมไวจัง?” เสี่ยวซิ่งรู้สึกไม่อยากเชื่อเลย
“ครับ” หยวนโจวพยักหน้า ความเบิกบานเด่นชัดอยู่บนใบหน้าของเขา
หยวนโจวย่อมมีความสุขอยู่แล้วที่จะได้กลับบ้านเสียที จู่ๆเขาก็นึกถึงชายหนุ่มและหญิงสาวที่เขาเจอตอนกำลังทานอาหารเมื่อวันก่อนได้
“ฉันสงสัยจังเลยว่าพวกเขาจะกลับกันไปแล้วหรือยังนะ” หยวนโจวข้องใจ
“เฮ้อ” เสี่ยวซิ่งถอนหายใจด้วยสีหน้าสิ้นหวัง จากนั้นเข้าก็มุ่งความสนใจไปที่การขับรถ
เพราะอยู่ไกลจึงทำให้พวกเขามาถึงประมาณบ่ายสามโมงสี่สิบนาทีซึ่งมาได้จังหวะรถไฟพอดี
“ถึงแล้ว ที่นี่แหละครับ พวกเขาจะลดแผงกั้นลงมาเพื่อกัดขวางการจราจรขณะที่รถไฟกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ดูสิครับ พวกเขาเริ่มเก็บข้าวเก็บของกันแล้ว” เสี่ยวซิ่งแนะนำ
“อืม” หยวนโจวสังเกตอย่างจริงจัง
จริงๆแล้วนี่เป็นถนนที่ไม่ได้กว้างขวางสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากความกว้างของทางรถไฟมีขนาดตายตัวและทั้งสองข้างทางรถไฟก็เป็นร้านรวงขนาดเล็ก โดยมีแผงลอยเป็นจำนวนมากรุกล้ำเข้าไปในทางรถไฟแล้ว
เนื่องจากอีกไม่นานจะมีรถไฟวิ่งผ่าน ทุกคนจึงเก็บข้าวของออกไปด้วยความใจเย็นและไม่เร่งรีบ พวกเขาไม่รีบเร่งแต่กลับขยับตัวด้วยความคล่องแคล่วว่องไว
พ่อค้าแม่ขายส่วนใหญ่ก็แค่ดึงแผงลอยถอยออกมา ส่วนร้านรวงต่างๆก็แค่เปิดประตูเอาไว้ขณะที่ผู้คนต่างยืนรอให้รถไฟวิ่งผ่านไปอยู่ในร้าน
สี่โมงตรง รถไฟก็มาถึงอย่างช้าๆ
เสียงหึ่งดังขึ้นกลางอากาศ
“รถไฟมาแล้ว ตอนนี้คุณสามารถมองเห็นมันได้ชัดๆเลยล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าว
“อืม ผมเข้าใจแล้ว” หยวนโจวพยักหน้า
รถไฟขบวนนี้ต่างจากรถไฟความเร็วสูงที่หยวนโจวคุ้นเคยในประเทศจีน ตอนที่รถไฟวิ่งผ่านมา ความกดอากาศและแรงสั่นสะเทือนเพียงพอที่จะเขย่าบันไดตรงนั้นและหลงเหลือเสียงดังหึ่งเอาไว้ในโสตของผู้คน
รถไฟเคลื่อนตัวอย่างช้าๆจนดูเหมือนรถไฟสีเขียวที่เคยวิ่งบนทางรถไฟของจีน
“มันไม่เร็วเอาเสียเลย” หยวนโจวกล่าว
“ใช่ครับ ไม่ได้เร็วอะไรเป็นพิเศษนักหรอกครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้า
“คุณอยากเข้าไปเดินเล่นไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งถามขึ้นเมื่อเห็นแผงกั้นถูกยกขึ้น
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
เมื่อเสี่ยวซิ่งเห็นว่าหยวนโจวพยักหน้า เขาก็จอดรถในตำแหน่งที่กว้างขวางและพาหยวนโจวไปตลาดรถไฟ
มีของขายอยู่ที่นี่ไม่มาก หลังจากลองชิมผลไม้ในท้องถิ่นดูแล้ว หยวนโจวก็แวะซื้อบางอย่าง
เสี่ยวซิ่งที่มีความหวังว่าหยวนโจวจะซื้อวัตถุดิบในการทำอาหารจึงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็สงบปากสงบคำเอาไว้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เสี่ยวซิ่งก็มีความเป็นมืออาชีพมากในงานที่ทำ
“ไปกันเถอะ” หยวนโจวหยุดเดินเมื่อพวกเขามาถึงร้านขายของชำในตลาด
“โอเค ไปไชน่าทาวน์กันเลยครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าว
“อืม ไปกันเถอะ” หยวนโจวพยักหน้า
“ลุยกันเลย” เสี่ยวซิ่งเริ่มนำทางออกจากตลาดรถไฟ
“แดดแรงจริงๆเลย” หยวนโจวกล่าวพลางเงยหน้า
“ที่จริงแล้วตอนนี้ในประเทศไทยเป็นฤดูฝนนะครับ อุณหภูมิตอนนี้ก็เลยค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอุณหภูมิปกติ” เสี่ยวซิ่งกล่าวพลางยิ้ม
“ผมไม่สนใจเรื่องอุณหภูมิหรอกครับ แต่แดดมันจะแรงเกินไปแล้ว” หยวนโจวกล่าว
“จริงครับ แดดในประเทศไทยค่อนข้างแรงทีเดียว” เสี่ยวซิ่งพยักหน้าเห็นด้วย
พวกเขาคุยกันไปขณะที่มุ่งหน้าที่ไปรถ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มออกเดินทางไปไชน่าทาวน์
“ไชน่าทาวน์เป็นสถานที่ที่ต้องไปทุกครั้งที่ผมไปต่างประเทศเลยก็ว่าได้ครับ” หยวนโจวตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้ไปไชน่าทาวน์
เมื่อตอนที่เขายังเด็กอยู่นั้น เขาชอบดูหนังมากทีเดียว ไชน่าทาวน์จึงเป็นคำที่เขาคุ้นเคยผ่านหนังที่ดู แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะไม่คุ้นเคยกับคำๆนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงพอเข้าใจได้ที่หยวนโจวจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นไชน่าทาวน์จริงๆ
ระหว่างทางไปไชน่าทาวน์ของพวกเขาเกิดการจราจรติดขัด ดังนั้นกว่าพวกเขาจะไปถึงก็ปาเข้าไปหกโมงครึ่งแล้ว ถึงเวลาอาหารมื้อค่ำแล้ว
“ยินดีต้อนรับสู่ไชน่าทาวน์ครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวหลังจากหักเลี้ยวเข้าสู่ถนนอันกว้างขวาง
“ที่นี่คนเยอะจริงๆ” หยวนโจวกล่าวพลางมองไปที่คนเดินเท้า
“ที่นี่ก็จะยุ่งๆช่วงนี้แหละครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้า
“จอดรถไว้ข้างนอกก็ได้ครับ ผมว่าคุณเอารถไปจอดตรงนั้นได้” หยวนโจวแนะนำ
“ได้ครับ ผมจะเลี้ยวเข้าไปเอง” เสี่ยวซิ่งพยักหน้าแล้วหักเลี้ยวรถก่อนที่จะจอดลงที่ไหนสักแห่ง
“ไปกันเถอะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวหลังจากจอดรถแล้ว
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
เนื่องจากรถจอดอยู่ตรงสี่แยกเข้าสู่ถนน พวกเขาจึงได้แต่เดินออกมาจากไชน่าทาวน์หลังลงจากรถแล้ว
ตัวอักษรจีนที่เต็มแผ่นป้ายของไชน่าทาวน์ทำให้หยวนโจวรู้สึกพออกพอใจมากทีเดียว ตัวอักษรจีนแบบดั้งเดิมพวกนี้ทำให้หยวนโจวรู้สึกถึงประเทศจีนในยุคแปดศูนย์
“อาคารยังเป็นแบบเดิมอยู่เลย” หยวนโจวกล่าวขึ้นขณะที่เขาวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบตัวไปด้วย
“ใช่ครับ ครั้งหนึ่งไชน่าทาวน์ในประเทศไทยเคยเป็นแหล่งชุมนุมของคนไทยเชื้อสายจีน ผมคิดว่าคนจีนส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีต้นกำเนิดมาจากเฉาซ่านนั่นแหละครับ” เสี่ยวซิ่งแนะนำ
หยวนโจวมุ่งความสนใจไปที่คำอธิบาย
“ร้านที่พวกเรากำลังจะไปตั้งอยู่ตรงสี่แยกถนน ไม่ไกลสักเท่าไหร่นักหรอกครับ คุณอยากจะเดินเล่นแถวนี้ก่อนหรืออยากจะตรงไปที่ร้านเลยดีครับ?” เสี่ยวซิ่งถาม
“มาเดินเล่นแถวนี้กันก่อนเถอะครับ” หยวนโจวกล่าวด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นร้านขายเครื่องประดับมากมายตามท้องถนน
“ได้ครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้า
“ที่นี่มีร้านขายเครื่องประดับเยอะจังเลยนะครับ” หยวนโจวกล่าว
แถวนี้มีร้านขายเครื่องประดับเยอะจริงๆนั่นแหละ เกือบหนึ่งในห้าร้านจะเป็นร้านขายเครื่องประดับ นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าตกใจมากทีเดียว
“ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่มาที่นี่ก็เพราะมีเจตนาจะมาซื้อทองอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าว
“ผมก็ว่าแหละครับ” หยวนโจวกล่าวเมื่อเห็นกรุ๊ปทัวร์เข้าไปในร้านขายเครื่องประดับ
“ของกินที่นี่ก็อร่อยมากๆด้วยครับ คุณอยากลองชิมดูไหมล่ะ” เสี่ยวซิ่งถามพลางชี้ไปที่แผงขายข้าวเหนียวมะม่วง
“แน่นอนครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วซื้อไปสองชุด
“ขอบคุณครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวพลางรับมาถุงหนึ่ง
“ด้วยความยินดีครับ” หยวนโจวกล่าวแล้วเริ่มกิน
หยวนโจวเดินไปพลางกินไปพลางเพื่อลิ้มรสอาหารให้ละเอียดถี่ถ้วนตามเคย
“ยอดเชฟหยวนจริงจังมากเลยแฮะ” เสี่ยวซิ่งรำพึง
บทที่ 783 เป็ดปักกิ่งของประเทศไทย
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงขณะที่ผู้คนบนถนนเริ่มเยอะขึ้น หยวนโจวเพิ่งจะทานข้าวเหนียวมะม่วงที่ซื้อมาก่อนหน้านี้หมด
“เป็นยังไงบ้างครับ?” เสี่ยวซิ่งถามด้วยความอยากรู้
“มีการเติมน้ำตาลลงไปด้วย หวานไปหน่อยครับ” หยวนโจวประเมินตามตรง
“ผมก็คิดว่างั้นแหละ แต่ข้าวไม่หอมเท่าโจ๊กที่คุณทำหรอกครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวพลางจ้องมองข้าวเหนียวมะม่วงในมือตัวเอง
“ไปร้านเป็ดย่างกันเถอะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปตรงสี่แยกถนน
“โอเคครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้าซ้ำๆ ในขณะที่หยวนโจวไม่ได้สนใจ เขาก็โยนข้าวเหนียวมะม่วงของตัวเองทิ้งไป
หยวนโจวกำลังเดินนำหน้าอยู่ เมื่อเขาได้ยินเสียงของบางอย่างถูกโยนลงถังขยะ เขาก็หาได้กล่าวสิ่งใดออกมาและเดินต่อไป
พวกเขาไม่ได้อยู่ในร้านของตัวเองฉะนั้นหยวนโจวจึงได้แต่ทำให้แน่ใจว่าเขารักษาวินัยของตนเองอย่างเคร่งครัดแล้ว ถึงแม้ว่าอาหารจะไม่อร่อย แต่เขาก็ยังคงกินจนหมด มีเพียงทำเป็นตัวอย่างเท่านั้นเขาจึงจะสามารถรักษากฎในร้านของตัวเองเอาไว้ได้
ไม่มีประโยชน์ที่จะไปคาดหวังว่าไกด์ทัวร์จะปฏิบัติตามกฏเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ลูกค้าของหยวนโจวนี่นา
ร้านเป็ดย่างใหญ่โตมากและบนป้ายเขียนตัวอักษรสีทองว่าเป็ดปักกิ่ง บริกรรูปร่างกำยำสองคนยืนอยู่ตรงทางเข้าและต้อนรับหยวนโจวกับไกด์ทัวร์ตอนที่พวกเขามาถึง
“สวัสดีครับ” ทั้งสองคนทักทายเป็นภาษาไทยแล้วพาพวกเขาเข้าไปข้างใน
ทันทีที่พวกเขานั่งลง ก่อนที่เสี่ยวซิ่งจะยื่นเมนูให้หยวนโจว เขาก็พูดขึ้นมา
“เป็ดย่างจานกับอาหารจานเด็ดอย่างละที่ ไม่เอารังนกกับหูฉลามนะครับ” หยวนโจวกล่าว
“โอเค งั้นขอผมถามก่อนนะครับว่าอาหารจานเด็ดคืออะไร” เสี่ยวซิ่งพยักหน้า
“ให้พวกเขาเสิร์ฟเป็ดย่างก่อนก็ได้ครับ” หยวนโจวตัดสินใจที่จะทานเป็ดย่างก่อน
“ได้ครับ” เสี่ยวซิ่งเริ่มคุยกับบริกรทันทีที่คุยกับหยวนโจวแล้ว
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมพูดภาษาไทย หลังจากสนทนากันแล้ว เสี่ยวซิ่งก็แปลให้หยวนโจวฟัง
ที่จริงแล้วหยวนโจวไม่เคยไปปักกิ่งเหมือนกัน เขาแค่เคยลงเครื่องที่นั่นครั้งหนึ่งเพื่อต่อเครื่องก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเขาจึงไม่เคยลองชิมเป็ดปักกิ่งสูตรต้นตำหรับเช่นกัน
หลังจากนั้น หยวนโจวก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้ทานเป็ดย่างของที่นี่
ร้านเฉวียนจวี้เต๋อที่จำหน่ายเป็ดปักกิ่งนั้นหยวนโจวต้องจองที่นั่งล่วงหน้าถึงสามเดือนถ้าอยากจะมาทานที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องชำระเงินค่าบริการล่วงหน้าอีกต่างหาก แถมไม่ใช่ค่าเป็ดย่าง แต่กลับเป็นค่าอาหารของเป็ดระหว่างช่วงที่กำลังรอสามเดือน
ไม่ว่าใครก็คงพอที่จะจินตนาการได้ว่าเป็ดที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเสียขนาดนี้จะอร่อยสักเพียงใด
“ฉันสงสัยจังเลยว่าเป็ดของที่นี่จะดีกว่าที่เฉิงตูไหมนะ” หยวนโจวรู้สึกข้องใจ
ตึก ตึก ตึก บริกรหญิงมาถึงพร้อมถาด บนถาดเป็นซอสและเครื่องเคียงอย่าง หอม แตงกวา พริกหยวกและขนมใบบัว
“ไวมากเลย” หยวนโจวกล่าวพลางจ้องมองไปที่เครื่องเคียง
“กิจการของร้านนี้ค่อนข้างเชียวล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าว
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
บริกรอีกคนมาถึงพร้อมถาดอีกใบ
บนถาดเป็นจานสีขาวที่มีเป็ดหั่นเป็นชิ้นๆจัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
“ยอดเชฟหยวน เป็ดมาแล้ว ลองชิมดูสิครับ” เสี่ยวซิ่งเชื้อเชิญให้หยวนโจวลองชิมดู
แต่เมื่อเสี่ยวซิ่งหันไปมองหยวนโจว เขาก็พบว่าหยวนโจวกำลังจ้องมองเป็ดด้วยสายตาแปลกๆ
“เป็ดหั่นเป็นชิ้นๆงั้นเหรอครับ?” หยวนโจวถามพลางขมวดคิ้ว
“ครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้าขณะที่มองหยวนโจวด้วยความสับสน
“มีแต่หนังเป็ดงั้นเหรอครับ?” หยวนโจวถามอีกครั้ง
ใช่แล้วล่ะ จานที่บริกรยกมาเสิร์ฟเต็มไปด้วยหนังเป็ดที่จัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ส่วนหนังออกสีทองและมันแผล็บไปด้วยน้ำมัน โดยไม่มีเนื้อหลงเหลืออยู่บนหนังเลยแม้แต่นิดเดียว
“คุณทานมันด้วยการห่อเข้าด้วยกันได้เลยครับ” เสี่ยวซิ่งอธิบาย
“เนื้ออยู่ที่ไหนล่ะครับ?” หยวนโจวถาม
“คุณหมายถึงกระดูกงั้นเหรอครับ? พวกเขาจะเอาไปทอดก่อนจะนำมาเสิร์ฟน่ะครับ” เสี่ยวซิ่งดูเมนูแล้วกล่าวโดยไม่แปลกใจเลยสักนิด
หยวนโจวดูจะขัดอกขัดใจมากทีเดียว ใครมันจะไปกินหนังเป็ดกับขนมใบบัวกันเล่า? นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว หรือหนังเป็ดจะมีอะไรพิเศษ?
เนื่องจากหยวนโจวไม่กิน เสี่ยวซิ่งก็เลยไม่กินเช่นกัน เขาจิบน้ำผลไม้ไปอย่างเงียบๆ
“ลืมมันไปเสียเถอะ ฉันจะทำอย่างที่ชาวบ้านเค้าทำกันและลองชิมดูก็แล้วกัน ” หยวนโจวตัดสินใจที่จะกินหลังจากลังเลใจอยู่บ้าง
ขณะที่กำลังกินอยู่นั่นเอง หยวนโจวก็ต้องรู้สึกผิดหวังกับเครื่องเคียงเพราะพวกเขาเสิร์ฟหอมแทนต้นหอม
หอมถูกหั่นให้มีความยาวขนาดนิ้วมือและถูกจัดเรียงอยู่ในจานรอง หยวนโจวตัดสินใจที่จะเลิกลังเลและเริ่มกินด้วยมือเปล่า
ถูกต้องแล้ว ตอนที่ทานเป็ดปักกิ่ง รสชาติจะยิ่งอร่อยถ้าได้ห่อด้วยตัวเองเท่านั้นแหละ หยวนโจวไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้ววางหนังเป็ดชิ้นหนึ่งลงบนขนมใบบัวก่อนจะเติมซอส หอมและพริกหยวกลงไป จากนั้นเขาก็พับขนมใบบัวแล้วยัดเข้าปาก
เมื่อกัดคำแรก หยวนโจวก็รู้สึกได้ถึงความกรุบกรองของหนัง
ทันทีที่เคี้ยว น้ำมันในหนังก็หลั่งไหลออกมา เนื่องจากไม่มีเนื้อไว้คอยดูดซับน้ำมัน กลิ่นหอมจึงกระจายไปทั่วปาก ทำให้รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งปากของเขาเต็มไปด้วยน้ำมัน
“นี่เป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่เชียวล่ะ เสี่ยวซิ่ง ลองทานดูสิ” หยวนโจวกล่าวหลังจากกลืนลงไปแล้ว
“ครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้า
เสี่ยวซิ่งจะมาเยือนไชน่าทาวน์กับแฟนสาวเป็นบางครั้งบางคราวและเคยเข้าร้านนี้มาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกว่าการกินแค่หนังเป็ดจะเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่แต่อย่างใด
ก็อย่างที่เคยนั่นแหละ เสี่ยวซิ่งจะเติมหอมและซอสใส่หนังเยอะเป็นพิเศษก่อนที่จะพับขึ้นแล้วยัดเข้าปาก
“ฟู่ มันแผล็บเลย” เสี่ยวซิ่งขมวดคิ้วทันทีที่เริ่มเคี้ยว
เขาเพิ่งจะทานอาหารของหยวนโจวมาเมื่อตอนเที่ยงแล้วตอนนี้ เขายังต้องมาทานอะไรแบบนี้อีก นับว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายทารุณมากจริงๆ
ถึงแม้ข้าวเหนียวมะม่วงเมื่อก่อนหน้านี้จะไม่น่ากลัวเท่านี้ แต่ถึงอย่างไรข้าวเหนียวมะม่วงก็เป็นแค่ของว่างเท่านั้น ในขณะที่หนังเป็ดจานนี้กลับเป็นอาหารมื้อค่ำของพวกเขาเสียได้
ไม่สำคัญหรอกว่าของว่างจะรสชาติเฝื่อนฝาดหรือไม่ แต่ทำไมเป็ดย่างที่เคยรสชาติอร่อยล้ำเสียขนาดนั้นกลับรสชาติแย่ลงได้ขนาดนี้กันเล่า?
“คุณคิดว่ายังไงครับ?” หยวนโจวถามพลางขมวดคิ้ว
ถึงอย่างไรหยวนโจวก็เกรงว่าตัวเองจะรู้สึกไปเพียงคนเดียวว่าเป็ดไม่อร่อยเพราะไม่ถูกปากเขาเลย แล้วถ้าเป็นคนท้องถิ่นล่ะจะชอบรสชาติแบบนี้หรือเปล่า?
“รสชาติแย่มากเลย อาหารของคุณยังดีกว่าเสียอีกนะครับ เถ้าแก่หยวน” เสี่ยวซิ่งกล่าวโดยไม่ลังเล
“โอเคครับ” หยวนโจวพยักหน้าพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทั้งสองคนเริ่มกินและอาหารที่พวกเขาสั่งก็ถูกยกมาเสิร์ฟทีละจาน หยวนโจวฟาดอาหารพวกทั้งหมดจนเรียบเพื่อใช้เงินทุนสำหรับอาหารที่เจ้าระบบจัดหามาให้หมด
เสี่ยวซิ่งที่อยู่ข้างๆมีสีหน้าทุกข์ระทมขมขื่นราวกับเขากำลังได้รับความทรมานบางอย่าง
อาหารที่นี่รสชาติเฝื่อนฝาดมากทีเดียว ดูเหมือนอาหารกลางวันของเขายังรสชาติอร่อยกว่าเสียอีก
เสี่ยวซิ่งบ่นไปพลางกินไปพลาง แต่เมื่อเขาเห็นว่าหยวนโจวกำลังกินอย่างคร่ำเคร่ง เขาก็รู้สึกเลื่อมใสในตัวเข้าอย่างลึกซึ้ง ถึงอย่างไรหยวนโจวก็เป็นถึงคนที่สามารถทำอาหารได้อร่อยทว่ากลับเต็มใจที่จะทานอาหารรสชาติแย่ๆแบบนี้
“เมื่อก่อนนี้ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยนะว่าเป็ดปักกิ่งจะรสชาติแย่ได้มากขนาดนี้?” เสี่ยวซิ่งรู้สึกกังขา
อาหารค่ำมื้อนี้ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ให้หยวนโจวและสอนให้เสี่ยวซิ่งรู้ว่าเป็ดปักกิ่งของที่นี่รสชาติสุดจะบรรยายเพียงใด
“บางทีเมื่อก่อนต่อมรับรสของผมอาจจะเพี้ยนก็ได้ครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าว
“ผิดแล้วล่ะครับ คุณไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเพราะตอนนั้นคุณยังไม่รู้จักผมไงล่ะ” หยวนโจวกล่าวด้วยความสงบนิ่ง “ถ้าคุณเจอผมก่อน ต่อมรับรสของคุณก็คงจะเพี้ยนไปนานแล้วล่ะครับ”