ตอนที่ 779
โจ๊กนี่มันดียังไงเหรอ
เมื่อวันใหม่มาถึง สำหรับหยวนโจวแล้วก็ยังเป็นความทรมานอีกวันหนึ่ง หลังจากสิ่งที่เขาต้องประสบพบเจอเมื่อวันก่อน เขาก็ไม่เชื่ออีกแล้วว่าจะมีอาหารอร่อยในประเทศไทยอีก
หยวนโจวเขียนผลการประเมินเบื้องต้นเกี่ยวกับอาหารไทยลงในสมุดบันทึกของเขา เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยเครื่องเทศ
ดังนั้น วัตถุดิบต่างๆอาทิเช่น หญ้าหวาน ข่า ใบมะกรูด มะเขือยาวและอื่นๆจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการทำอาหารที่นี่ ในความคิดของหยวนโจว วัตถุดิบหรือเครื่องเทศพวกนี้ขัดกับวัตถุดิบหลักทำให้อำพรางรสชาติเดิมของวัตถุดิบหลักไปจนหมดสิ้น
นอกเหนือไปจากแตงกว่าดิบๆหรือผักดิบๆชนิดอื่นๆแล้วก็เป็นเรื่องยากมากที่จะได้ลิ้มลองรสชาติเดิมของวัตถุดิบหลักในอาหารไทย
“บางทีวิธีการทำอาหารแบบนี้คงเป็นรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาจนยากเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจได้ หรือบางทีฉันก็แค่มากินผิดที่ผิดทางและไม่ได้เจอเชฟที่สามารถใช้วัตถุดิบและเครื่องเทศพวกนี้ได้อย่างเหมาะเจาะก็ได้”
หยวนโจวตรวจสอบเงินทุนสำหรับอาหารที่เขาเหลืออยู่ผ่านหน้ารางวัลของเจ้าระบบ ยังเหลืออีก 6800/100000 และสิ่งนี้ก็ทำให้หยวนโจวชักอยากจะหลั่งน้ำตาออกมาเสียแล้ว เขายังต้องหาทางใช้เงินอีก 6800 ให้หมดถึงจะกลับได้
“เจ้าระบบทางที่ดีอย่าเผาสะพานจะดีกว่านะ” หยวนโจวเริ่มพูดคุย “ฉันแค่มาอยู่ในประเทศไทยเจ็ดวันแล้วฉันจะใช้เงินแสนให้หมดไปกับอาหารในชั่วระยะเวลาสั้นๆได้ยังไงกัน? แบบนั้นมันสิ้นเปลืองเกินไป พวกเราต้องประหยัดเข้าไว้สิ ให้ฉันเก็บไว้เถอะนะ แสนนึงมากเกินไปจริงๆ”
หยวนโจวพูดด้วยอารมณ์ทั้งหมดของเขา แบบนี้แม้แต่คนที่ใจด้านชาที่สุดก็ยังต้องสะเทือนใจไปกับการวิงวอนของเขาเลยใช่ไหมเล่า?
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หยวนโจวให้ทิปกับคนที่คุยกับเขาระหว่างมื้ออาหารไปเยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้เพื่อให้เงินทุนหมดลงเสียที
ถึงอย่างไรก็ยังมีคนที่อยากได้ทิปเมื่อตอนที่กำลังทานอาหารที่ร้านนี้ ดังนั้นทิปจึงถูกหักออกจากเงินทุนได้เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังใช้เงินทุนไม่หมดอยู่ดี
หลังจากเจ้าระบบได้ยินหยวนโจวแล้ว มันก็เงียบไปสักครู่ก่อนจะแสดงผลออกมาว่า “จะเก็บไว้ก็ได้ แต่เจ้านายต้องใช้เงินทุนได้แค่ 99,999 เท่านั้นนะ”
คราวนี้หยวนโจวเป็นฝ่ายที่เงียบไปบ้าง เก็บเอาไว้ได้แค่หนึ่งบาทไทยงั้นเหรอ? เพื่ออะไรกันเล่า?
ถ้าหากเจ้าระบบเป็นคนจริงแล้วล่ะก็หยวนโจวคงไม่แคล้วต้องทำอย่างที่อู๋หลินทำกับอู๋ไห่แล้วอัดเจ้าระบบลงไปกองอยู่กับพื้นเป็นแน่
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจดี” หยวนโจวรู้ว่าเขาหลงกลของเจ้าระบบเข้าเต็มเปาและไม่มีทางเลือกแล้ว แต่เขาขอสาบานเลยว่าเขาจะต้องล้างแค้นให้ได้
ขณะที่หยวนโจวกำลังบ่นพึมพำอยู่นั้นก็มีคนโทรหาเขาผ่านวีแชท ถึงแม้ว่าเขาจะได้เตรียมการสำหรับการโทรคุยระหว่างประเทศเอาไว้แล้ว แต่คุยผ่าน VoIP ก็ยังดีกว่า อีกทั้งนี่ก็เป็นวิธีการที่เขาใช้ติดต่อกับไกด์ทัวร์ของตัวเองมาตลอดเช่นกัน
เป็นไกด์ทัวร์ที่โทรหาเขานั่นเอง หยวนโจวรีบสวมรองเท้าเนื่องจากเสี่ยวซิ่งน่าจะรอเขาอยู่ข้างล่าง
นอกเหนือไปจากเป็ดย่างที่เยาวราชในมื้อค่ำแล้ว เขาก็ยังไม่มีแผนสำหรับวันนี้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงเที่ยวตะลอนอย่างไร้จุดหมายไปสักหน่อย
เสี่ยวซิ่งรู้สึกกดดันมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เขาพามาจะไปแหล่งท่องเที่ยวเพื่อความสนุก ถึงแม้ว่าเขาจะมีลูกค้านักชิมเป็นครั้งคราวก็เถอะนะ แต่พวกเขาก็จะไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆระหว่างทานอาหาร
เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเจอคนอย่างหยวนโจวที่นอกจากไปขี่ช้างแล้วก็มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่อาหารแม้จะอยู่ในประเทศไทยมาหลายวันแล้วก็ตาม
เสี่ยวซิ่งแนะนำทุกสิ่งทุกอย่างให้เขารู้จักและอาหารที่เขาคิดว่าอร่อยก็แล้ว น่าเสียดายที่ไม่เพียงจะไม่สามารถทำให้หยวนโจงพึงพอใจได้ แต่กลับทำให้หยวนโจวท้องเสียจากอาหารที่เขาแนะนำอีกต่างหาก
หยวนโจวเป็นคนที่ห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองมากทีเดียว ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นสบายดีมาโดยตลอด แต่เสี่ยวซิ่งก็ไม่ได้โง่แถมยังสามารถสังเกตได้ง่ายๆเลยว่าหยวนโจวไม่ใคร่สบายดีนัก ดังนั้นเสี่ยวซิ่งจึงรู้สึกค่อนข้างละอายใจ
ในทางกลับกัน หยวนโจวก็แจ้งแก่ใจแล้วว่าถึงแม้ไกด์ทัวร์จะพูดภาษาจีนได้ แต่เขาก็แค่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนและตลอดชีวิตไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในประเทศจีนมาก่อนเลย
สาเหตุเดียวที่ไกด์ทัวร์สามารถพูดภาษาจีนและรู้จักวัฒนธรรมจีนคงต้องขอบคุณบรรพบุรุษของเขาแล้วล่ะ พูดง่ายๆก็คือ รสนิยมด้านอาหารของเสี่ยวซิ่งไม่ได้ต่างอะไรกับคนไทยเลย ทำให้พอเข้าใจได้ว่าคำแนะนำของเขาคงไม่สนองตอบต่อสิ่งที่หยวนโจวต้องการสักเท่าไหร่นัก
“หยวนน้อย คุณเป็นเชฟใช่ไหม?” จู่ๆเสี่ยวซิ่งก็ถามขึ้นมาขณะที่กำลังขับรถ
หยวนโจวพยักหน้า อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็แนะนำตัวเองไปแล้วว่าเป็นเชฟ
เสี่ยวซิ่งกล่าวว่า “คุณน่าจะรู้สึกไม่สบายท้อง ยามที่ป่วยคนจีนมักจะทานโจ๊กไม่ใช่เหรอครับ? ผมมีข้าวอยู่ที่บ้าน คุณอยากจะไปทานโจ๊กที่บ้านผมไหมครับ?”
นี่เป็นหนทางของเสี่ยวซิ่งในการชดเชยให้หยวนโจว ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ขันอาสาเป็นฝ่ายทำโจ๊กให้เองก็เพราะเขาทำอาหารไม่เป็นอย่างไรเล่า
โจ๊กกับข้าวต้มมีความแตกต่างกันมากทีเดียว
“อืม?” หยวนโจวตาเป็นประกาย นี่เป็นความคิดที่สร้างสรรค์มากเชียวล่ะ เขารู้สึกว่าหากยังขืนกินต่อไปคงต้องตายแน่ๆ เขาต้องทานอะไรสักอย่างที่ต่างออกไปสำหรับมื้อเที่ยงเพื่อให้เบาท้องลงบ้าง
ในเมื่อไกด์ทัวร์มีน้ำใจหยิบยื่นคำเชิญชวนครั้งนี้ให้แก่เขา หยวนโจวจึงตอบตกลงที่จะไปทำอาหารมื้อเที่ยงที่บ้านของเสี่ยวซิ่ง
หลังจากถามอีกไม่กี่คำถาม หยวนโจวก็พอเข้าใจวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่เสี่ยวซิ่งมีอยู่ที่บ้านแล้ว
เขาจะทำยำสองอย่างที่เข้ากับโจ๊กได้
หลังจากเดินเตร่กันอยู่สักพัก เสี่ยวซิ่งก็พาหยวนโจวมาที่บ้านของเขา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีขึ้นมีลง เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของพวกเขาจึงได้รับผลกระทบจากการเมืองเป็นบางครั้งบางคราว
เมื่อไม่นานมานี้เกิดความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศแต่ตอนนี้พวกเขามีพระมหากษัตริย์องค์ใหม่แล้ว ความตึงเครียดจึงผ่อนคลายลงไปบ้าง เสี่ยวซิ่งหาเงินได้พอสมควรจากการทำสิ่งนี้ เนื่องจากเป็นที่มีแฟนแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับแฟน แต่เขาก็ยังต้องทำให้แน่ใจเสียก่อนว่าห้องของตนสะอาดสะอ้านแล้ว บ้านของเขามีหนึ่งห้องนอนกับหนึ่งห้องรับแขก และถึงแม้จะแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยทว่ากลับกว้างขวางและเป็นระเบียบมากทีเดียว
“นี่คือบ้านของผมเอง สะอาดดีไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งแนะนำด้วยความภาคภูมิใจ
“ไม่เลวเลยนี่นา” หยวนโจวสังเกตเห็นเส้นผมยาวๆอยู่ตรงมุมห้องและฝุ่นเกาะอยู่บนกระจกหน้าต่าง แต่เขาก็ยังพยักหน้าออกมาอย่างสุภาพ
“แน่นอนอยู่แล้วล่ะครับ แฟนผมมาทำความสะอาดบ้านให้หลังจากผมออกไปเมื่อวานนี้เอง เธอทั้งสวยและแสนดี คำที่พวกคุณใช้เรียกหญิงสาวแบบเธอคืออะไรงั้นเหรอครับ?” เสี่ยวซิ่งถามด้วยความภาคภูมิใจ
“กุลสตรี” หยวนโจวกล่าว
“ใช่ๆ เธอมีความเป็นกุลสตรี” เสี่ยวซิ่งพยักหน้าซ้ำๆขณะที่พาหยวนโจวเข้าบ้าน
ตอนที่กำลังคุยเรื่องแฟนของเสี่ยวซิ่งอยู่นั้น หยวนโจวก็ไม่ได้ให้ความสนใจสักเท่าไหร่นัก เขาแค่พยักหน้าอย่างสุภาพเพื่อบอกว่าเขากำลังฟังอยู่
ถึงอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายท้องอยู่ เขายังไม่มีแรงพอที่จะไปสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆหรอกนะ
“นี่เป็นห้องครัวนะครับ ปกติผมไม่ค่อยได้ใช้นักหรอกแต่แฟนผมจะใช้เป็นบางครั้งบางคราวเพื่อทำอาหารให้ผมกิน ส่วนข้าวอยู่ในตู้ ผักอยู่ในตู้เย็นและเครื่องปรุงอยู่บนโต๊ะ ต้องการอะไรก็ตามสบายเลยนะครับ” เสี่ยวซิ่งแนะนำสั้นๆ
“ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“ไม่เป็นไรครับ คุณอยากให้ผมช่วยทำอาหารด้วยไหม?” เสี่ยวซิ่งถาม
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะทำโจ๊กกับยำสองอย่างเป็นอาหารมื้อเที่ยง ดีไหมครับ?” หยวนโจวถาม
“ครับ ต้องการอะไรก็ตามสบายเลยนะครับ แฟนผมเป็นคนซื้อมาเอง” เสี่ยวซิ่งอดไม่ได้ที่จะพูดถึงแฟนของตัวเองขึ้นมา
หยวนโจวถึงกับพูดไม่ออกขณะที่เขาลอบโอดครวญอยู่ในใจว่า “มีแฟนทั้งทีเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียวเหรอ? อืม… ใช่ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆนั่นแหละ”
“งั้นเดี๋ยวมาทานโจ๊กเป็นอาหารมื้อเที่ยงด้วยกันนะครับ” หยวนโจวกล่าว
“โจ๊กนี่มันดียังไงเหรอ? ไร้รสชาติออกจะตายไป ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” เสี่ยวซิ่งส่ายหน้า
ใช่แล้วะ อย่างที่เสี่ยวซิ่งเข้าใจนั่นแหละ โจ๊กที่คนจีนกินมักจะไร้รสชาติแถมยังไม่อร่อยเอาเสียเลย อีกทั้งเมล็ดข้าวเละๆทั้งยังไร้รสชาติอีก เขาไม่สนหรอก
“หลังจากลองชิมดูแล้วคุณก็จะรู้เองว่าโจ๊กนี่มันดียังไง” หยวนโจวตอบด้วยท่าทีเฉยเมย
ตอนที่ 780
โจ๊ก
“งั้นก็ได้ครับ ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะ หยวนน้อย” เสี่ยวซิ่งกล่าวหลังจากวางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เขาถือมาลง
“ด้วยความยินดีครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเริ่มทำโจ๊ก
เป็นที่กล่าวขวัญกันว่าเสี่ยวซิงทำเงินได้มาก ข้าวที่เขามีอยู่ที่บ้านเป็นข้าวหอมยี่ห้อดังในประเทศไทย เมล็ดข้าวเรียวยาวสีขาวสะอาดและเมื่อสูดกลิ่นเมล็ดข้าวเข้าไปก็จะสามารถได้กลิ่นหอมหวานเล็กน้อย
“เมล็ดข้าวของเราดีใช่ไหมล่ะครับ? นักท่องเที่ยวชาวจีนหลายคนจะซื้อไปหลายสิบชั่งทุกครั้งที่พวกเขามาประเทศไทยเลยล่ะ” เสี่ยวซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“อืม ไม่เลวเลยทีเดียว แต่พวกเราก็มีเมล็ดข้าวที่ดีกว่านี้ในประเทศของเราเหมือนกัน ถ้ามีโอกาสคุณก็ลองไปชิมเมล็ดข้าวพวกนั้นดูบ้างสิครับ” หยวนโจวกล่าว
ควรรู้ว่าหยวนโจวก็เป็นยุวชนผู้มีเลือดรักชาติในหัวใจ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขากล่าวเช่นนั้นออกมา ถึงอย่างไรเสี่ยวซิ่งก็มีเชื้อสายจีน แม้ว่าจะไม่ได้เติบโตขึ้นมาที่ประเทศจีนหรือถือสัญชาติจีนก็ตามที
หยวนโจวรู้สึกเหมือนถูกเสี่ยวซิ่งบังคับให้ศึกษาทรัพยากรที่มีอยู่มากมายมหาศาลในประเทศจีนอย่างไรอย่างนั้นเลย
“ผมคิดว่าประเทศไทยดีมากเลยล่ะครับ อาหารก็อร่อย สาวงามก็เยอะ แถมอากาศดีอีกต่างหาก” เสี่ยวซิ่งส่ายหน้าโดยอัตโนมัติและตอบพร้อมยิ้ม
“อืม” หยวนโจวไม่กล่าวอะไรให้มากความแล้วพยักหน้า
“ที่นี่มีแม้แต่หม้อตุ๋นเลย” หยวนโจวรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นหม้อสีขาวในขณะที่กำลังค้นหาหม้อ
“อืม แฟนผมเป็นคนเอาหม้อมาไว้ที่นี่เองแหละครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวพลางยิ้มยิงฟัน
หยวนโจวถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว “คนๆนี้ต้องมุ่งไปที่เรื่องเขามีแฟนแล้วทุกครั้งที่มีโอกาสให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย?”
แต่หยวนโจวกลับไม่รู้สึกประหลาดใจเลยที่มีหม้ออยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรอาหารไทยก็ได้รับอิทธิพลบางส่วนมาจากประเทศทางแถบเอเชียและตะวันตก ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวซิ่งก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนอีกด้วย
หยวนโจวไม่พูดอะไรอีก เขาเริ่มล้างหม้ออย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าหม้อใบนี้จะเคยถูกใช้งานมาก่อนแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าแทบไม่เคยใช้งานเลย ดังนั้นหยวนโจวจึงใช้เวลาไม่นานนักในการทำความสะอาดให้เอี่ยมอ่อง
“คุณเป็นเชฟจริงๆเสียด้วย คุณสามารถล้างหม้อได้ไวกว่าคนทั่วไปเสียอีกแน่ะ” เสี่ยวซิ่งอุทาน
“แน่นอนอยู่แล้วครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“คุณอยากให้ผมช่วยอะไรไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งยื่นข้อเสนออีกครั้ง
“ไม่ต้องหรอกครับ” หยวนโจวปฏิเสธในทันที
“โอเคครับ” เสี่ยวซิ่งยักไหล่แล้วมองดูหยวนโจวทำอาหารต่อไป
ขั้นตอนการทำอาหารของหยวนโจวเป็นสิ่งที่น่าดู ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเมล็ดข้าวเพื่อนำไปล้างหรือการแช่เมล็ดข้าวที่ผ่านการทำความสะอาดแล้วในหม้อ การขับเขยื้อนเคลื่อนไหวทุกครั้งลื่นไหลราวกับแม่น้ำตามธรรมชาติทว่ากลับรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตอนที่เขาทำอยู่นั้นยังไม่มีน้ำกระเซ็นออกมาสักหยด
ควรรู้ว่าแต่ละครั้งที่แฟนของเสี่ยวซิ่งมาที่นี่ เสี่ยวซิ่งจะช่วยล้างผักและเคาน์เตอร์ก็จะเปียกไปหมดทันที
แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ความผิดของเสี่ยวซิ่งอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่เป็นเพราะก๊อกน้ำติดตั้งเอาไว้สูงเกินไปทำให้น้ำสาดกระเซ็นไปทั่วได้ง่าย
หยวนโจววางหม้อที่แช่เมล็ดข้าวเอาไว้อยู่ข้างในเสียงดังตุ้บ จากนั้นเขาก็เริ่มล้างผัก เขากำลังล้างผักบุ้งจีน
หลังจากได้กลิ่นผักบุ้งจีนและศึกษาอย่างละเอียดลออ เขาก็พบว่านอกเหนือไปจากลักษณะภายนอกและกลิ่นที่แตกต่างกันเล็กน้อยก็แทบจะเหมือนกับที่มีอยู่ในประเทศจีนเลย
ผักบุ้งจีนที่นี่ทั้งเรียวยาวและเละกว่าเมื่อเทียบกับผักบุ้งจีนในประเทศจีนที่ทั้งอวบสั้นและกรุบกรอบมากกว่า
หยวนโจวระมัดระวังตอนที่ล้างผักบุ้งจีนเพื่อมิให้ส่วนใบเสีย ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็สามารถทำความสะอาดผักบุ้งได้ทุกสายพันธุ์อยู่ดีนั่นแหละ
หลังจากล้างเสร็จแล้ว เขาก็เทลงหม้อต้ม ถึงตอนนี้เขาก็หยิบเนื้อไก่เสี้ยวหนึ่งที่ละลายน้ำแข็งจนเกือบหมดแล้วออกมาด้วย
“หยวนน้อย คุณนี่ยอดเยี่ยมไปเลย คุณสามารถล้างผักได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีน้ำกระเซ็นออกมาแม้แต่หยดเดียวเลย” เสี่ยวซิ่งเดินวนไปวนมารอบตัวหยวนโจวแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ยกมือสูงๆแล้วก็อย่างแกว่งผักไปมาน่ะครับ” หยวนโจวให้คำอธิบายอย่างง่ายๆ
“โอ? ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งมองดูต่อไป
“ผมจะเก็บน่องไก่ไว้ให้คุณนะครับ” จู่ๆหยวนโจวก็กล่าวขึ้นมา
“อา? โอ้ ได้ครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้าอย่างโง่งม
ทันทีที่เสี่ยวซิ่งตอบตกลง หยวนโจวก็หยิบมีดทำครัวขึ้นมาแล้วเริ่มหั่นอกไก่
น่องไก่ยังไม่ถูกแตะต้องขณะที่ส่วนอื่นๆรวมไปถึงกระดูกก็ยังไม่ถูกทิ้งไป พวกมันต่างถูกพักเอาไว้ด้านข้างเพื่อรอนำมาใช้ในภายหลัง
“ว้าว เชฟหยวน ตอนที่คุณจับมีดดูหล่อชะมัดเลย” เสี่ยวซิ่งรู้สึกประทับใจมากที่เขาพูดกับหยวนโจวให้ต่างออกไปได้บ้าง
ใช่แล้วล่ะ หลังจากก่อนหน้านี้เสี่ยวซิ่งตอบตกลงที่จะให้เหลือน่องไก่ไว้อันเดียว หยวนโจวก็หยิบมีดขึ้นมา จากนั้นเสี่ยวซิ่งก็เห็นมีดที่กำลังปัดซ้ายป่ายขวาไม่กี่ทีก่อนที่เนื้อไก่จะแยกออกจากกัน ส่วนอก น่องและกระดูกที่แยกออกจากกันแบบนั้นจึงสะอาดราวกับใช้เวทมนตร์
“นี่เป็นทักษะเบื้องต้นของเชฟครับ” หยวนโจวถ่อมตัว
“จึ๊ จึ๊ คุณใช้มีดเก่งจริงๆ สุดยอดไปเลยครับ” เสี่ยวซิ่งยกนิ้วโป้งให้หยวนโจว
หยวนโจวพยักหน้าแล้วยิ้มโดยไม่พูดอะไรออกมา
หลังจากเขาจัดการกับไก่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมล็ดข้าวที่แช่เอาไว้ก็เกือบได้ที่แล้ว หยวนโจวจึงเริ่มทำโจ๊กแล้ว
เพื่อร่นเวลากว่าครึ่งในกระบวนการแช่ หยวนโจวจึงเติมน้ำแข็งก้อนลงในข้าวไปด้วย
ประเทศไทยไม่เคยขาดแคลนน้ำแข็งก้อนเลย แม้แต่ในบ้านของเสี่ยวซิ่งก็มีน้ำแข็งก้อนเช่นเดียวกัน ปกติแล้วเขาจะใส่น้ำแข็งก้อนกับน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มเนื่องจากผู้คนในประเทศไทยมีนิสัยดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ
ขวับ! ขวับ! หยวนโจวเริ่มเทเมล็ดข้าว
หลังจากเขาเทแล้ว เขาก็หยิบน้ำมันขวดหนึ่งบนเคาน์เตอร์ขึ้นมาดมกลิ่น เขาพบว่าไม่มีกลิ่นอะไรจึงอนุมานว่าเจ้าสิ่งนี้น่าจะเป็นน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากถั่วเหลือง จากนั้นเขาก็หยดน้ำมันสองหยดลงในเมล็ดข้าว
หลังจากคนเมล็ดข้าวด้วยตะเกียบคู่หนึ่งแล้ว เขาก็เทเมล็ดข้าวลงในถ้วย จากนั้นเขาก็ล้างหม้อก่อนที่เขาจะเติมน้ำลงไปครึ่งหม้อแล้วเริ่มต้ม
หยวนโจวกำลังหุงข้าวให้เพียงพอสำหรับสองที่และผลลัพธ์สุดท้ายก็จะได้เป็นสองถ้วยสำหรับพวกเขาแต่ละคน
หลังจากนั้นไม่นาน หยวนโจวก็เทเมล็ดข้าวลงไปทันที ในทันทีที่เมล็ดข้าวเย็นๆลงน้ำไปก็จะหยุดต้ม หลังจากผ่านไปสักครู่จึงค่อยต้มใหม่อีกครั้ง
คราวนี้เมล็ดข้าวเรียวยาวขาวสะอาดก็อยู่ในน้ำเดือดแล้วเช่นเดียวกัน เมื่อดูจากน้ำระหว่างที่กำลังเดือดก็จะรู้ว่าอัตราส่วนของน้ำกับเมล็ดข้าวช่างแสนเหมาะเจาะ
หลังจากนั้นประมาณห้านาที หยวนโจวก็หรี่ไฟให้อ่อนลง จากนั้นเขาก็ปิดฝาแล้วปล่อยให้เมล็ดข้าวหุงต่อไป ในขณะที่กำลังรอโจ๊กได้ที่ หยวนโจวก็เริ่มเตรียมยำ
หยวนโจววางแผนที่จะทำยำผักบุ้งจีนกับยำไก่ฉีก อาหารทั้งสองจานนี้น่าจะเข้ากันได้ดีกับโจ๊กเชียวล่ะ
ยำผักบุ้งจีนเป็นอาหารที่เตรียมได้ง่ายมาก เขาแค่ต้องทำความสะอาดผักบุ้งจีนแล้วจัดใส่จานก่อนที่จะเติมซอสลงไป รสชาติก็จะซึมซ่านเข้าสู่ผักบุ้งจีนอย่างช้าๆแล้วอาหารก็จะพร้อมรับประทานแล้ว
ผักบุ้งจีนที่เขาเตรียมทั้งหอมและเผ็ดจัดจ้าน เครื่องปรุงที่เขาใช้กับอาหารจานนี้ก็เป็นเครื่องปรุงที่ตนเองคุ้นเคยอีกต่างหาก ส่วนยำไก่ฉีกนั้น หยวนโจวก็วางแผนที่จะใช้เครื่องปรุงในท้องถิ่น
อย่างไรก็ตามแต่ หยวนโจวยังไม่คิดที่จะทานเนื้อเนื่องเขายังรู้สึกไม่สบายท้องนัก อาหารจานนี้เป็นอาหารที่เตรียมขึ้นมาให้เสี่ยวซิ่ง
ขวับ! ขวับ! ขวับ! ตึง! ตึง! ตึง! นี่เป็นเสียงของมีดที่สับลงเขียง
นับตั้งแต่หยวนโจวเริ่มทำอาหารมา เสี่ยวซิ่งก็เอาแต่เล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างๆ ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับการยืนยันไปหลายครั้งแล้วว่าหยวนโจวไม่ต้องการให้ช่วย เขาจึงไม่สนใจในการทำอาหารอีก
เขาถือโอกาสส่งข้อความหาแฟนเสียเลย
หยวนโจวมีความเชี่ยวชาญในการจับเวลายามทำอาหาร ทันทีที่เขาเปิดฝาขึ้นมา โจ๊กก็เดือดแล้ว อย่างไรเสียเขาก็จับเวลาได้เหมาะเจาะจึงทำให้โจ๊กไม่ล้นออกมา แถมเครื่องเคียงสองอย่างก็เสร็จแล้วเช่นกัน
“ทานได้แล้วครับ” หยวนโจวกล่าวขณะที่เขาเสิร์ฟเครื่องเคียงทั้งสองอย่างพร้อมหม้อเดือดๆ
“กลิ่นหอมจังเลย” เสี่ยวซิ่งกล่าวเมื่อได้กลิ่นโจ๊กหลังจากเปิดฝาแล้ว
หยวนโจวเพิ่งจะเปิดฝาหลังจากวางหม้อลงบนโต๊ะ ก่อนหน้านั้นห้องปราศจากกลิ่นโดยสิ้นเชิง
ถึงเวลาที่เสี่ยวซิ่งจะแสดงทักษะที่มีอยู่ออกมาบ้างแล้ว
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 781 ไปซื้อผักกันเถอะ
“ว้าว หอมมากเลย นี่คือโจ๊กงั้นเหรอ?” เสี่ยวซิ่งรีบโผเข้ามาโดยลืมแม้แต่จะบอกลาแฟนของเขาไปเสียสนิท
“อืม โจ๊กธรรมดานี่แหละ” หยวนโจวพยักหน้า
“โจ๊กธรรมดาจะกลิ่นหอมมากขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะครับ?” เสี่ยวซิ่งเริ่มกลืนน้ำลายเมื่อเห็นโจ๊กที่กำลังเดือดอยู่ในหม้อ
กลิ่นหอมยั่วน้ำลายกันเกินไปแล้ว
ในขณะที่เสี่ยวซิ่งกำลังจับจ้องไปที่โจ๊กอยู่นั้น หยวนโจวก็ตักโจ๊กออกมาสองถ้วยแล้ว เขายื่นให้เสี่ยวซิ่งถ้วยหนึ่งส่วนอีกถ้วยวางไว้ตรงหน้าตนเอง
“เริ่มทานได้แล้วครับ” หยวนโจวกล่าว
“อึก ได้ครับ” เสี่ยวซิ่งกลืนน้ำลายที่เอ่ออยู่ในปากแล้วนั่งลงราวกับเด็กน้อยผู้แสนเชื่อฟังที่เตรียมพร้อมที่จะกิน
เสี่ยวซิ่งเป็นคนที่สุภาพมากทีเดียว ในเมื่อหยวนโจวเป็นคนทำอาหารมื้อนี้ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องรอให้หยวนโจวเริ่มกินก่อนที่เขาจะเริ่มกิน
ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ตรงนั้นพลางจับจ้องไปที่ริมฝีปากของหยวนโจวด้วยสายตาเร่าร้อนจนทำให้หยวนโจวต้องยกถ้วยขึ้นมาปิดปากด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
ทันทีที่เสี่ยวซิ่งเห็นหยวนโจวกำลังจะกิน เขาก็ยกถ้วยขึ้นมาเริ่มกินเหมือนกัน
มีคำโบราณที่เหมาะสมมากอยู่คำหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่าคนควรจะคอยโจ๊กมากกว่าที่จะให้โจ๊กมาคอยคน ง่ายๆก็คือวลีท่อนนี้มีความหมายว่าต้องกินตอนที่ยังร้อนๆชนิดที่ร้อนลวกเลยล่ะ
“อูย โอ๊ย ร้อนชะมัด ร้อนชะมัดเลย” เสี่ยวซิ่งร้องออกมาเพราะความร้อนแต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเคี้ยวโจ๊กร้อนๆ
เขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย โจ๊กอร่อยเกินไป เขาดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะกล่าวอ้างว่าตนเองไม่สนโจ๊กเลยสักนิด
สิ่งสำคัญประการหนึ่งตอนทำโจ๊กก็เพื่อทำให้แน่ใจว่าส่วนสำคัญของข้าวได้ไหลซึมออกมาจากการต้มแล้ว ด้วยเหตุนี้กลิ่นหอมของข้าวก็จะเริ่มไหลซึมออกมาด้วย เมื่อโจ๊กเข้าปาก นอกเหนือไปจากกลิ่นหอมแล้ว รสชาติจากส่วนสำคัญของข้าวและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของโจ๊กก็จะผสมผสานกันอยู่ภายในด้วย
“อา อืมมม” เสี่ยวซิ่งยัดโจ๊กเข้าปากอีกคำถึงแม้ว่ามันจะร้อนสักเพียงใดก็ตามแต่
คราวนี้มันไม่ร้อนอีกต่อไปแล้วจึงทำให้เสี่ยวซิ่งสามารถดื่มด่ำกับรสชาติได้มากขึ้น
เมื่อโจ๊กเข้าปากแล้ว ความรู้สึกแรกของเขาก็คือความหอมกรุ่นที่เข้ามาแทนที่ความร้อนระอุ ทว่ากลิ่นหอมอ่อนๆที่คงอยู่มาเนิ่นนานกลับไหลลงคอไปจนถึงภายในกระเพาะอาหารแล้ว
ต่อมาเขาก็เริ่มลิ้มรสชาติของน้ำนมข้าวอันกลมกล่อมและเข้มข้นที่ปรากฏขึ้นหลังจากเมล็ดข้าวเดือดแล้ว เมื่อผสานเข้ากับความรู้สึกยามที่เมล็ดข้าวเข้าปาก เขาก็เริ่มเคี้ยวเข้าไป
ส่วนปลายของเมล็ดข้าวเรียวยาวทั้งสองด้านเละไปแล้ว แต่ส่วนกลางของเมล็ดกลับยังนุ่มเด้งอยู่เลย เมื่อเคี้ยวเข้าไปแล้วก็จะรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมกรุ่นเป็นอย่างยิ่ง
อึก เสี่ยวซิ่งกลืนโจ๊กข้นๆในปากลงไปแล้วปล่อยให้รสชาติอันแสนน่าพึงพอใจกรุ่นอยู่ในปาก
ใช่แล้วล่ะ ถึงจะกลืนโจ๊กลงไปแล้ว ทว่ากลับยังหลงเหลือรสชาติอันแสนน่าพึงพอใจอยู่ในปาก นั่นเป็นเพราะรสชาติที่หลงเหลืออยู่หลังจากเคี้ยวเมล็ดข้าวที่มีรสหวานตามธรรมชาติ
“งั้นข้าวหอมก็เป็นของดีจริงๆสินะ? ไม่แปลกใจเลยที่นักท่องเที่ยวจะซื้อไปกันตั้งหลายถุงทุกครั้งที่มาเยือน” เสี่ยวซิ่งรำพึง
ถูกต้องแล้ว เสี่ยวซิ่งคิดว่าถึงแม้ว่าข้าวหอมของไทยจะเป็นของดีแต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หรอก แต่มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้วล่ะ ถ้าเขารู้มาก่อนว่าโจ๊กที่ทำด้วยข้าวหอมของไทยจะอร่อยเสียขนาดนี้ เขาก็คงกินโจ๊กทุกวันไปแล้วล่ะ
“นั่นเป็นเพราะฝีมือการทำอาหารของผมดีต่างหากล่ะครับ” หยวนโจวชี้แจงแถลงไข
“ครับ ครับ ครับ เชฟหยวน ฝีมือการทำอาหารของคุณดีเกินไปแล้วครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้าซ้ำๆ
“พวกเรามีเครื่องเคียงด้วยนะครับ ลองทานเครื่องเคียงดูสิครับ” หยวนโจวเตือน
“แค่โจ๊กอย่างเดียวก็น่าพอใจมากพอแล้ว ดีจังเลย” เสี่ยวซิ่งกล่าวขณะที่เอื้อมไปหายำไก่ฉีกด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
รสชาติของยำไก่ฉีกจานนี้ถูกปรับด้วยมะนาวของไทยเพื่อความเปรี้ยว ในขณะที่สะระแหน่ถูกนำมาใช้เป็นสรชาติพื้นฐาน ส่วนรสเผ็ดได้มาจากพริกที่ผสมเข้ากับน้ำแข็งก่อนที่จะผสมเข้ากับน้ำตาลและเกลือ
อาหารรสเปรี้ยวและกระตุ้นความอยากอาหารด้วยรสชาติของผลไม้ตามธรรมชาติที่ติดมาด้วย แต่ละรสชาติแสดงออกอย่างเหมาะเจาะและรสชาติที่รวมเข้ากับความนุ่มของเนื้อไก่กระตุ้นให้สามารถทานข้าวได้อีกสองถ้วยเพียงแค่อาหารจานนี้แค่อย่างเดียวเท่านั้น
นี่ก็คือสิ่งที่เสี่ยวซิ่งทำจริงๆ เขาลักขโมยโจ๊กอีกถ้วยจากหยวนโจวที่ป่วยอยู่จริงๆมาอย่างหน้าไม่อาย เขาทานโจ๊กไปสามถ้วย ยำไก่ฉีกหนึ่งจานและยำผักบุ้งจีนไปอีกครึ่งจาน
“หยวนน้อย เชฟหยวน อาจารย์หยวน ฝีมือการทำอาหารของคุณสุดยอดเกินไปแล้ว” เสี่ยวซิ่งกล่าวด้วยความละอายใจเมื่อเห็นถ้วยและจานที่สะอาดเกลี้ยงเกลา
“ขอบคุณที่ชมครับ” หยวนโจวตอบ
“มันเป็นความจริงนะ ไม่ได้ชมเลย คุณเป็นไอดอลคนใหม่ของผมเชียวล่ะ จะมีใครทำอาหารได้เยี่ยมขนาดนี้กันบ้างล่ะครับ?” เสี่ยวซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง
“ตอนที่คุณแย่งโจ๊กของผมไปคุณไม่ได้พูดแบบนั้นนี่นา” หยวนโจวกล่าวอย่างไร้อารมณ์
“แค่ก แค่ก ผมทำแบบนั้นเพราะเกรงว่าคุณจะรู้สึกไม่สบายท้องเพราะทานมากเกินไปต่างหากล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งให้เหตุผลกับตัวเอง
“โอ้” หยวนโจวทอดสายตามองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อเขาเลยสักนิด
“หยวนน้อย ผมรู้สึกว่ามีอยู่ที่หนึ่งที่คุณต้องไปเยือนให้ได้เลยล่ะ” เสี่ยวซิ่งนึกไอเดียดีๆขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
“ที่ไหนเหรอครับ?” หยวนโจวถาม
เสี่ยวซิ่งบอกว่า “ตลาดร่มหุบครับ นั่นเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวหลายๆคนมักจะไปเยือน”
ทันทีที่หยวนโจวได้ยินเช่นนั้น เขาก็หมดความสนใจ เขาไปเยือนตลาดขนาดต่างๆในประเทศไทยมาหลายแห่งแล้ว นอกจากนี้เขายังไปเยือนถนนหลายสายที่เต็มไปด้วยแผงลอยมาอีกต่างหาก
“ตลาดร่มหุบต่างออกไปนะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าว “นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าตลาดรถไฟเพราะตลาดตั้งอยู่สองข้างของทางรถไฟ”
ตลาดรถไฟเป็นชื่อที่หยวนโจวคุ้นเคยดี เขาถามขึ้นมาว่า “คุณกำลังพูดถึงตลาดที่จะมีรถไฟผ่านวันละหกครั้งใช่ไหมครับ?”
เสี่ยวซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง หยวนโจวชักจะเริ่มสนใจขึ้นมาเสียแล้ว นี่เป็นสถานที่ที่เขาเคยเห็นในข่าวมาก่อน มันถูกขนานนามให้เป็นตลาดที่อันตรายที่สุดในโลกเนื่องจากทุกวันจะมีรถไฟวิ่งผ่านหกครั้ง เมื่อรถไฟมา แผงลอยสองข้างทางรถไฟก็จะรีบเก็บของออกไปและออกมาตั้งแผงอีกครั้งหลังจากรถไฟจากไปแล้ว พวกเขาดำรงชีพอยู่บนทางรถไฟอย่างแท้จริง
บางทีกลุ่มคนที่พอจะสามารถเทียบกันได้คงมีแต่ชาวอินเดียที่ต้องนั่งอยู่ด้านบนสุดของรถไฟเท่านั้นแล้ว
เสี่ยวซิ่งรีบกล่าวขึ้นมาทันทีที่เห็นว่ากระตุ้นความสนใจของหยวนโจวได้แล้วว่า “ถ้าพวกเราไปกันตอนนี้ก็จะไปถึงทันเวลาที่จะได้ดูรถไฟนะครับ”
พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปที่ตลาดรถไฟในทันที
อันที่จริงแล้ว เจตนาแท้จริงของเสี่ยวซิ่งหาใช่การพาหยวนโจวไปที่นั่น แต่…
หลังจากขึ้นรถมาแล้ว เสี่ยวซิ่งก็บอกว่า “พวกเราสามารถซื้อของที่นั่นได้ด้วยนะครับ คืนนี้ผมจะยอมให้คุณใช้ครัวอีกก็ได้ ถึงยังไงคุณก็ไม่คุ้นเคยกับอาหารไทยใช่ไหมล่ะครับ?”
“ผมนึกว่าคืนนี้พวกเราจะไปทานเป็ดปักกิ่งกันเสียอีก?” หยวนโจวขมวดคิ้ว
“เป็ดที่นั่นไม่อร่อยหรอกครับ ไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิดเดียว มันธรรมดามากจนไม่ควรค่าแก่การไปเยือนเลยครับ ถ้าคุณอยากทานเป็ดปักกิ่ง คุณก็น่าจะไปทานที่ปักกิ่งนะครับ” เสี่ยวซิ่งเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เป็ดย่างก่อนที่จะเสริมอีกว่า “พวกเราน่าจะทำอาหารทานเองที่บ้านกันนะครับ”
เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาติดใจอาหารของหยวนโจวเข้าเสียแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างที่เขาพูดกลับตาลปัตรไปเสียสิ้น เช้านั้นเขายังร้องชื่นชมเป็ดย่างอยู่เลยแต่ตอนนี้เขากลับบอกว่าเป็ดย่างไม่อร่อยไปเสียแล้ว เพื่ออาหารแล้ว เขาไม่สนหรอกว่ากำลังตบหน้าตัวเองอยู่
ข้อโต้แย้งของเขาค่อนข้างมีเหตุผลมากทีเดียว หยวนโจวได้ลิ้มรสอาหารไทยเท่าที่เขาจะสามารถทำได้มาเกือบหมดทุกอย่างแล้ว ตอนนี้เขาไม่ใคร่สบายท้องสักเท่าไหร่นัก คงเป็นเรื่องดีกว่าที่เขาจะทานอาหารที่ทำเอง
แต่ตอนนี้เขาเผชิญอีกปัญหาเข้าแล้ว ถ้าหากเขาไม่ใช้เงิน 6,799 บาทให้หมดในคืนนี้ ภารกิจก็จะล้มเหลว ดังนั้นเขาจึงต้องไปทานเป็ดย่างให้ได้
หยวนโจวยืนกรานอย่างหนักแน่นว่า “ผมอยากรู้ว่ารสชาติของเป็ดย่างในประเทศไทยจะเป็นยังไงบ้าง ดังนั้นพวกเราสามารถไปเยือนตลาดรถไฟแต่จะไม่ซื้ออะไรที่นั่นหรอกนะครับ”
เสี่ยวซิ่งรู้สึกสิ้นหวังไปโดยสิ้นเชิงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ระหว่างที่เขาขับรถอยู่นั้น เขาก็จะส่งสายตาทุกข์ระทมขมขื่นให้หยวนโจวเป็นครั้งคราวไป
โชคดีที่หยวนโจวค่อนข้างมีภูมิต้านทานต่อสายตาเช่นนั้นอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่รู้จักอู๋ไห่ที่หน้าไม่อายที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดนี่นา