เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าเพิ่งจะออกจากบ้านกลับที่ทำการปกครอง คนของตำหนักชิ่งหยูก็มาถึงแล้ว บอกว่าเสียนเฟยไม่สบาย ให้รัชทายาทเข้าวังไปเยี่ยมเยือน
หยวนชิงหลิงหมดแรงที่จะแขวะ เมื่อวานเรียกนางไม่ไป วันนี้คนอื่นเขาก็เรียกลูกชาย นางก็ไม่มีปัญญาจะหยุดยั้งได้นี่ เรื่องนี้พูดต่อหน้าไทเฮาก็ไม่มีเหตุผล เสด็จแม่ป่วยแล้ว เป็นลูกชายก็ต้องเข้าวังไปเยี่ยมเยือนเป็นแน่
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่านางไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรไว้ แต่ว่า ไม่ว่าจะสร้างอะไร เจ้าห้าเข้าไปก็ไม่เหมาะสม เขาปฏิเสธก็ผิด ไม่ปฏิเสธก็ผิด นางจึงไปเสียเลย
ถึงตำหนักชิ่งหยู เสียนเฟยเห็นนางมาแล้ว ใบหน้าเย็นชาลง “เจ้ามาได้อย่างไร? ไม่ได้บอกว่ามีพระราชเสาวนีย์ติดตัว ไม่สามารถเข้าวังได้หรือ?”
หยวนชิงหลิงโค้งตัวเคารพ ไม่รับคำติของนาง ทำเพียงไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบที่ตัวเองควรจะทำ “เสด็จแม่รู้สึกดีขึ้นรึยังเพคะ?”
เสียนเฟยหันหน้าไป เสียงนาสิกแรงมาก “ดีหรือไม่ดี ไม่ได้มองเห็นแล้วหรือ?”
นางใช้สายตาบอกใบ้นางข้าหลวงที่ปรนนิบัติยาผู้นั้น นางข้าหลวงโน้มตัวเคารพแล้วออกไป
เสียนเฟยก็มองหยวนชิงหลิงแล้วกล่าว “ในเมื่อเจ้ามาดูแลแทนเจ้าห้าแล้ว เช่นนั้นก็เข้ามาปรนนิบัติให้ข้ากินยาเถอะ”
หยวนชิงหลิงมองดูนางนิ่งๆแวบหนึ่ง ยกถ้วยยาที่มีไอร้อนผุดขึ้นมาถ้วยนั้นขึ้นแล้วเดินเข้าไป เอายายื่นให้เสียนเฟย “เสด็จแม่กินยาเถอะเพคะ”
เสียนเฟยกล่าวด้วยความเย็นชา “หากว่าข้าสามารถยกยากินได้ ยังต้องให้เจ้าปรนนิบัติหรือ? คุกเข่าลง ป้อนข้าทีละคำๆ”
หยวนชิงหลิงเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าว “เสด็จแม่ ฟังคำพูดของท่านมีความสดใสเป็นที่สุด ดูท่าทางแล้วไม่ได้ป่วยหนักมาก เช่นนั้นข้าก็วางลง ท่านกินเองเถอะเพคะ”
“หยวนชิงหลิง!” เสียนเฟยตะคอกทีหนึ่ง มือหนึ่งตีเข้ามา หยวนชิงหลิงเพิ่งจะวางยาลงผลสรุปครู่หนึ่งถูกนางตีคว่ำ ยาร้อนๆราดลงในมือของนาง “ในตาของเจ้ายังมีข้าอยู่หรือไม่กันแน่?”
อุ้งมือของหยวนชิงหลิงถูกยาลวกจนแดง นางนิ่งแล้ว เอาความโกรธอดกลั้นไว้ เตะเศษแก้วบนพื้นไปอีกทางหนึ่ง กล่าวเบาๆ “ดูเหมือนว่าเสด็จแม่จะไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อนแล้วเพคะ”
“หยุด!” เสียนเฟยนั่งลงมา ในตาสั่งสมความโกรธ “เจ้าตั้งใจมายั่วโมโหข้าใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะถากถาง “เป็นเสด็จแม่ที่ตั้งใจกลั่นแกล้งข้านะเพคะ?”
“กลั่นแกล้งเจ้าก็จำเป็นต้องทนรับไว้ อย่างไรข้าก็เป็นแม่สามีของเจ้า ปรนนิบัติข้าเป็นหน้าที่ของเจ้า” เสียงของเสียนเฟยดังขึ้น “ข้าถามเจ้า ตอนนี้จวนอ๋องฉู่ยังมีเงินเหลืออยู่หรือไม่?”
“มีเพคะ!” หยวนชิงหลิงมองดูนาง “เสด็จแม่คิดจะทำอย่างไรเพคะ?”
“มีเท่าไหร่?” เสียนเฟยถามอย่างเฉียบคม
“หนึ่งล้านกว่าตำลึงละมั้งเพคะ” หยวนชิงหลิงมีความโกรธในใจ และขี้เกียจจะรับมือกับนาง ดูซิว่านางคิดอะไรกันแน่
“ได้” น้ำเสียงของเสียนเฟยอ่อนลงมา “เจ้าเอามาให้ข้าห้าหมื่นตำลึง พรุ่งนี้ต้องส่งมาให้ถึง”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “เงินเหล่านั้น สักแดงเดียวก็ไม่สามารถแตะต้องได้อีก ข้าให้ท่านไปเจ็ดหมื่นตำลึงแล้ว รับผิดชอบอย่างสุดความสามารถแล้ว มากกว่านั้นสักแดงเดียวข้าก็จะไม่จ่ายอีก”
ดวงตาของเสียนเฟยดุร้าย จ้องมองนางอย่างเย็นชา “เจ้าพูดอะไร? พูดใหม่อีกครั้งซิ!”
หยวนชิงหลิงก็มองดูนาง กล่าวทีละคำทีละประโยค “จะไม่หยิบอีกแม้สักแดงเดียว เสด็จแม่ท่านได้ยินชัดเจนหรือยังเพคะ?”
ในตาของเสียนเฟยเต็มไปด้วยความเดือดดาล “เจ้าให้หรือไม่ให้นั้นเป็นเรื่องของเจ้า เจ้าห้าให้ก็ได้แล้วนำเอาคำพูดไปให้ถึง หากว่านำไปไม่ถึง ข้าจะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของเจ้าอย่างเดียว ไสหัวไปเถอะ!”
ก็รู้ว่าไม่สามารถหวังพึ่งนางได้!
หยวนชิงหลิงมองดูนาง คิดว่าก็ไม่จำเป็นต้องแสดงเป็นลูกสะใภ้ที่ดีอะไรแล้ว กล่าวเบาๆ “ตัวเจ้าห้าเองไม่มีเงินเก็บอะไร ช่วยท่านจ่ายเจ็ดแสนตำลึงยังมีเงินเก็บในจวนตอนนี้ล้วนเป็นเงินของข้าเอง เป็นไท่ซ่างหวงพระราชทานให้ข้า ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าห้า ข้าบอกว่าให้ก็ให้ ข้าบอกว่าไม่ให้ เจ้าห้าก็ไม่มีทางที่จะหยิบมาได้ ยังมีอีก ที่เรียกกันว่าความสัมพันธ์ของแม่สามีลูกสะใภ้ ท่านเคารพข้า ข้าเคารพท่าน เช่นนั้นดีเป็นอย่างมาก ทุกคนล้วนมีความสุข แต่เป็นท่านที่ไม่เคารพข้าก่อน ข้าก็จะไม่เอาใบหน้าร้อนๆไปแนบก้นเย็นๆของท่าน พวกเราต่างคนต่างอยู่อย่างสงบก็ได้แล้ว”
เสียนเฟยได้ยินคำพูดที่อกตัญญูเพียงนี้ ความโกรธโจมตีเข้าหัวใจทันที “หยวนชิงหลิง เจ้าอาศัยความรักความเอ็นดูที่เจ้าห้ามีต่อเจ้า ก็สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องสนใจได้แล้วใช่หรือไม่? ห้าหมื่นตำลึงเจ้าหยิบก็ต้องหยิบ ไม่หยิบก็ต้องหยิบ ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้า……”
หยวนชิงหลิงตบโต๊ะฉาดหนึ่งอย่างกะทันหัน การกระทำนี้ทำให้เสียนเฟยตกใจ เงยหน้ามองนางอย่างฉับพลัน กลับเห็นนางกล่าวด้วยเสียงที่เฉียบขาด “ไม่เช่นนั้นทำไม? ฆ่าข้าหรือ? มา มาลงมือได้เต็มที่ ท่านมีความคิดนี้ก็ไม่ได้แค่วันสองวันแล้ว ขณะที่ข้าให้กำเนิดลูกท่านก็ลงมือแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าเห็นแก่เจ้าห้าไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับท่าน ไม่ใช่ว่าข้าใจกว้างมีจิตใจเมตตา และไม่ใช่เพราะข้าอ่อนแอรังแกได้ง่ายๆ เพราะข้าไม่ยินยอมให้เจ้าห้าลำบากใจ แต่ท่านพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ดำรงอยู่ ราวกับว่าไม่แสดงออกมาก็จะตายเช่นนั้น ใครได้แม่สามีอย่างท่านเช่นนี้ล้วนโชคร้าย ล้วนทนรับท่านไม่ได้ ยังมีอีก อย่าคิดว่าเจ้าห้าจะเอาเงินให้ท่าน เจ็ดแสนตำลึงนี่ยังเป็นข้าที่ให้ไป เดิมทีเขาวางแผนให้สองแสนตำลึง อย่างโทษใครเลย ลูกชายก็มีก็ความสามารถเช่นนี้ หาเงินได้มากกว่านี้ไม่ได้ ท่านเป็นแม่ ก็ทนรับไปเถอะเพคะ”
พูดจบ หยวนชิงหลิงก็ไม่สนใจว่านางจะโกรธจนเกรี้ยวกราดบิดเบี้ยว หมุนตัวก็เดินจากไป
“เจ้าสะใภ้สารเลวนี่!” ความเดือดดาลของเสียนเฟยปะทุ ยื่นมือชี้ไปทางนางด้วยความโกรธแค้น ภายใต้ความโกรธล้วนพูดไม่ออกแล้ว เพียงแค่เพ่งมองอย่างเดียว
พริบตานั้นที่หยวนชิงหลิงดึงประตู สงบลง แล้วหันกลับไปมองดูนาง กล่าวเหน็บแนม “ยังมีอีกเพคะ ที่ว่ากันว่ารักในการหาทรัพย์สินเงินทองอะไรก็ได้เพียงต้องไม่ทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่น แต่ท่านแม้แต่เงินของคนป่วยคนตายก็แงะเอา เป็นคนสารเลวอย่างไร้ที่เปรียบจริงๆ สะใภ้สารเลวสองคำนี้ คืนกลับให้ท่าน ท่านทนรับได้เหลือเฟือ ข้าละอายใจไม่กล้าเทียบเพคะ”
พูดจบ ดึงประตูสาวเท้าก้าวใหญ่แล้วออกไป
ด้านหลัง เสียงคำรามแหลมด้วยความโกรธเคืองดังมา ยังมีเสียงลุกลี้ลุกลนของนางข้าหลวงวิ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็วอีก หยวนชิงหลิงรู้สึกเพียงความโกรธแค้นที่ยิ่งใหญ่ที่อัดอั้นอยู่ในใจมานานได้สลายไปบ้างแล้วในที่สุด เจ็ดแสนตำลึง คุ้มค่าแล้ว!
แต่ว่า อย่างไรเสียหมิ่นประมาทแม่สามีเป็นความผิดในการอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น นางไปขอรับโทษที่ไทเฮาทางนั้นด้วยตัวเองก่อน เพื่อเลี่ยงไม่ให้เสียนเฟยไปฟ้องมั่วซั่วเมื่อถึงเวลา ไทเฮาค่อนข้างเลอะเลือน เวลาที่ชอบคนผู้หนึ่งก็ชอบมาก แต่ไม่สามารถรับจุดบกพร่องใดๆได้
นางมาถึงในตำหนักของไทเฮา ทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้มพูดถึงเรื่องของเด็กทั้งสามที่หมู่นี้ชอบก่อกวนในตอนกลางคืน พูดจนไทเฮาทั้งร้อนใจทั้งเป็นห่วง “เป็นการก่อเรื่องเพื่อวัตถุประสงค์ของตัวเองหรือไม่? ต้องไปไหว้ท่านย่าหัวเตียงดูหน่อยหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ช่วงนี้เกิดเรื่องมากมายเกินไปแล้วจริงๆเพคะ และไม่รู้ว่าต้องไปไหว้เช่นนั้นเหมือนเช่นที่ท่านพูดหรือไม่ หรือบางทีอารมณ์ของหม่อมฉันและเจ้าห้าไม่ดี เวลาเลี้ยงลูกก็เลี่ยงที่จะหงุดหงิดเล็กน้อยไม่ได้ เด็กๆความรู้สึกไวเกรงว่าจะรู้สึกได้แล้วเพคะ”
“เจ้าหงุดหงิดอะไร?” ไทเฮาโกรธเคือง กล่าวด้วยความไม่พอใจ “ผู้ใหญ่อย่างเจ้าหงุดหงิดเกี่ยวอะไรกับเด็กๆล่ะ? เวลาเลี้ยงพวกเขาห้ามหน้าบึ้งตึง เรื่องเช่นนี้จะทำให้เด็กๆตกใจนะ”
ชะงักครู่หนึ่ง แล้วถามอีก “เป็นเพราะเรื่องเสด็จแม่ของเจ้าใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงดวงตาแดงเล็กน้อย “เมื่อครู่เสด็จแม่เพิ่งจะเรียกหม่อมฉันไป บอกว่าต้องการให้เอาเงินให้นางอีก ทีแรกก็ให้ไปเจ็ดแสนตำลึงแล้ว เงินที่เหลืออยู่ก็ไม่มาก เป็นของที่ไท่ซ่างหวงทิ้งไว้ให้เด็ก ก็ไม่ดีที่หม่อมฉันจะให้เสด็จแม่ เสด็จแม่จึงโกรธหนัก หม่อมฉันก็เถียงไปประโยคสองประโยคเพคะ”
ไทเฮาก็รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ ถอนใจยาวๆทีหนึ่ง “เอาล่ะ ข้าก็ไม่โทษเจ้า เจ้าออกให้นางแล้วเจ็ดแสนตำลึงก็ไม่เลวแล้ว ยังต้องการจะเอาอีกเป็นใครก็ลำบากใจ เงินนี่เดิมทีก็เป็นของเด็กๆ แต่ไหนแต่ไรมีเพียงผู้อาวุโสประทานเงินทองให้เด็ก ที่ไหนจะมีการยักย้ายเงินของเด็กไปใช้กัน? พูดออกไปก็ไม่น่าฟัง ยิ่งไปกว่านั้น จวนใหญ่โต ค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างก็ไม่น้อย โดยเฉพาะตอนนี้ในจวนเพิ่มแก้วตามาอีกสามดวง ทำให้ใครลำบากก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาลำบากได้ แต่ละอย่างล้วนจำเป็นต้องให้สิ่งที่ดีที่สุด”
หยวนชิงหลิงได้ฟังประโยคนี้ ก็วางใจโดยสิ้นเชิงแล้ว พูดเรื่องน่าสนใจของพวกเด็กๆกับไทเฮาเล็กน้อย หยอกล้อจนไทเฮามีความสุข นางจึงออกจากวังไป