Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ – ตอนที่ 772-775

ตอนที่ 772-775

ตอนที่ 772

 

นายหลอกฉันเหรอ?

ในขณะที่หยวนโจวกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยอาหารอร่อยที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศในประเทศไทยอยู่นั้น ก็มีคนมาหาเขาตามที่ตกลงกันเอาไว้

เป็นชายชราที่มีแซ่ประหลาดผู้หนึ่ง แซ่ของเขาคือจี้และมีชื่อเต็มว่าจี้อี้ ผู้คนต่างมอบสมญานามให้เขาว่า “ซาลาเปาจี้” แน่นอนว่าเขาได้รับสมญานามนี้มานี่สิบปีแล้ว

ในชั่วเวลาหนึ่งของเมืองโบราณเฉิงตู เมื่อตอนที่สามารถพบซานต้าเป่า*และผลไม้เชื่อมได้ทุกหนทุกแห่ง ซาลาเปาที่จี้อี้ทำก็เป็นหนึ่งในอาหารที่เป็นที่ชื่นชอบในเมืองโบราณเฉิงตู ร้านเล็กๆของ “ซาลาเปาจี้อี้” มักจะแวดล้อมไปด้วยคนท้องถิ่นทุกๆเช้า ซาลาเปาทั้งหมดที่เขาทำสามารถขายได้หมดในไม่ช้า ไม่นับว่าเกินจริงไปเลยสักนิดหากจะกล่าวว่า “อุปทานไม่เพียงพอกับอุปสงค์” เพื่ออธิบายสถานการณ์

ถ้าพูดกันจริงๆคือคุณปู่ของจี้อี้ก็ยังชีพด้วยการทำอาหารเช้ามาก่อน ฝีมือถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้เลยว่าพวกเขามาจากตระกูลที่ขายซาลาเปลาหรือหมั่นโถวมาก่อน

จี้อี้คุ้นเคยกับการทำซาลาเปาดี แต่เพื่อนของเขาที่สนิทสนมกับเขาต่างรู้ดีว่าจริงๆแล้วจี้อี้มีความถนัดในการทำหมั่นโถวไหมพันเส้นมากกว่า นั่นคือผลงานชิ้นเอกของเขาเลยเชียวล่ะ สาเหตุที่ทำให้เขาชอบทำซาลาเปาก็เพราะเตรียมได้ไม่ยุ่งยากสักเท่าไหร่นัก เมื่อพิจารณาในแง่ของรายได้แล้ว ซาลาเปาขายดีกว่าหมั่นโถวเสียอีก

ถึงตอนนี้เมืองโบราณเฉิงตูจะเปลี่ยนเป็นเมืองใหม่เฉิงตูไปแล้วและร้านซาลาเปาของจี้อี้จะปิดกิจการไปแล้วและถูกเข้าแทนที่ด้วยตึกสูงและห้างสรรพสินค้าในปัจจุบัน แต่จี้อี้ก็ยังมีชีวิตที่ดีอยู่ ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าเลขาของสมาพันธุ์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีแห่งประเทศจีนซึ่งเป็นป้ายทองอันทรงอิทธิพลในวงการทำอาหารอีกด้วย

“ตอนนี้นายขึ้นเครื่องบินเองเป็นแล้ว พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” หลิวจางกล่าวติดตลกกับจี้อี้เมื่อตอนที่ไปรับตัวเขาที่สนามบิน

จี้อี้เหมือนจะมีอายุราวๆ 60 หรือ 70 ปี แต่อันที่จริงแล้วเขายังหนุ่มอยู่มาก เขาน่าจะมีอายุไม่เกิน 60 ปีหรอก เขามองหลิวจางขึ้นๆลงๆด้วยความไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “นายยังแต่งชุดสมัยราชวงศ์ถังอยู่อีก น่าเกลียดจริงๆเลยเชียว”

พวกเขาโต้คารมกันทันทีที่เจอหน้ากัน แต่หลิวจางดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเรื่องนั้นเสียแล้วจึงไม่โกรธเลยสักนิด จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นมาว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะ มาๆให้ฉันเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับการมาเยือนของนายเถอะ อยากกินอะไรดีล่ะ?”

“นายโทรมาบอกฉันว่ามีคนที่สามารถทำหมั่นโถวไหมพันเส้นได้ดีกว่าฉัน อยู่ไหนล่ะ? ฉันอยากไปกินที่นั่นแหละ” จี้อี้ชะงักไปสักครู่แต่ในอึดใจต่อมาก็กล่าวขึ้นมาว่า “เชฟคนนั้นชื่อว่าอะไรงั้นเหรอ? เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นงั้นเหรอ?”

เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีฝีมือฉกาจต่างรู้จักจี้อี้กันทั้งนั้น ถึงอย่างไรด้วยความอาวุโสและสถานะในตอนนี้ของเขา สายสัมพันธ์ที่ดีจึงค่อนข้างมีความสำคัญมาก มีผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีอยู่มากมาย ยกเว้นหมั่นโถวไหมพันเส้นที่จี้อี้มั่นใจว่าไม่มีผู้ใดเหนือกว่าเขาไปได้

ดังนั้นสิ่งที่หลิวจางก็คงจะเป็นเรื่องจริง เขาอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นก็ได้ ถึงอย่างไรก็มีคำกล่าวว่า “คนมีฝีมือย่อมแฝงตัวอยู่ในหมู่คนธรรมดา” ก็หาใช่เรื่องตลกเพียงเท่านั้น

“นายจะรู้เองทันทีที่พวกเราไปถึงนั่นแหละ” หลิวจางกล่าว

จี้อี้ส่งเสียงออกทางจมูกเพื่อสื่อความหมายคร่าวๆว่า “นายแสดงสิ่งที่น่าพึงพอใจให้ฉันดูเลยเสียดีกว่า”

หลิวจางรู้ว่าจี้อี้เป็นคนที่มีนิสัยใจร้อนจึงทำให้เขาไม่กล่าวอะไรให้มากความแล้วขับรถไปยังถนนเถ่าซือในทันที เขาพยายามที่จะคุยกับจี้อี้ตลอดทางไปที่นั่น แต่จี้อี้กลับไม่อยากคุยด้วย สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสลับซับซ้อนไปสักหน่อยซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้

ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลิวจางกับจี้อี้ก็มาปรากฏตัวบนถนนเถ่าซือ และหลิวจางก็พบว่าวันนี้คนน้อยกว่าทุกที ถึงอย่างไรก็เกือบถึงมื้อค่ำแล้ว ถึงอย่างไรก็เกือบจะได้เวลาอาหารมื้อค่ำอยู่แล้วตอนที่ผู้คนมากมายเริ่มมาเข้าแถวในเวลาปกติ

ส่วนเรื่องที่ตั้งของร้าน จี้อี้ก็ไม่มีอะไรจะบ่น เขาเชื่อมั่นอย่างสุดจิตสุดใจว่าเถ้าแก่ร้านเป็นผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่น พูดง่ายๆก็คือร้านอาหารแบบนั้นมักจะอยู่ห่างไกลมากๆ ยกตัวอย่างเช่น เขารู้จักร้านเล็กๆที่เสิร์ฟบะหมี่ข้ามสะพานที่รสชาติอร่อยเป็นอย่างยิ่ง แต่มันทั้งธรรมดาและสกปรกมากทีเดียว แย่กว่าที่แห่งนี้เสียอีก

แต่หลังจากพวกเขามาถึง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของหลิวจางกับจี้อี้ก็คือร้านปิด หลิวจางรู้สึกตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นประกาศลาหยุดบนประตูอย่างชัดเจน จะบังเอิญอะไรอย่างนี้!

“ปิดงั้นเหรอ?” จี้อี้ชี้ไปที่ประกาศลาหยุดบนประตูแล้วถามขึ้น

“ใช่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวันนี้ถึงไม่ค่อยมีคนในถนนเลย” หลิวจางกล่าวด้วยความหม่นหมอง

“นายหลอกฉันงั้นเหรอ?” จี้อี้จ้องมองหลิวจางด้วยความแคลงใจ

ไม่แปลกใจเลยที่จี้อี้จะคิดเช่นนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิวจางทำเรื่องทำนองเดียวกันนี้

“เปล่านะ ไม่งั้นฉันก็คงไม่บอกนายหรอกว่าร้านเป็นของใคร ถ้าบอกนายไป นายก็คงคิดว่าฉันไม่เบื่อที่จะทำเรื่องแบบนั้นแน่ๆ” หลิวจางกล่าวยืนยัน

“โอ้ จริงดิ? นายไม่ใช่คนที่หลอกฉันให้มาที่นี่เพื่อมากินหมั่นโถวฟักทองหรอกหรือไง?” จี้อี้แหวออกมา

“เรื่องนั้นมันเป็นเหตุสุดวิสัยนะ ฉันแค่หลงไว้ใจคนผิด” หลิวจางกล่าว

“เป็นร้านของใครกัน?” จี้อี้มองหลิวจางด้วยท่าทางไม่เชื่อ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ร้านแล้วถามขึ้นมาทันที

“นายต้องรู้จักเถ้าแก่อย่างแน่นอน เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นคนที่เจ๋งมากเลยล่ะ เขาคืออัจฉริยะ” หลิวจางเอ่ยปากชื่นชมขึ้นมาทันทีก่อนที่จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง

“ใครกัน?” จี้อี้กล่าว

“นี่คือร้านของสุดยอดเชฟซึ่งเถ้าแก่ก็คือหยวนโจวผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อเร็วๆนี้นั่นเอง” หลิวจางกล่าวด้วยความมั่นใจ

ทันทีที่ได้ยินชื่อ จี้อี้ก็เชื่อว่าคราวนี้หลิวจางคงไม่ได้ล้อเขาเล่นแน่ ถึงอย่างไรเขาก็เคยได้ยินได้ฟังเรื่องฝีมือของหยวนโจวมาเช่นกัน

“ฉันเคยได้ยินเรื่องของหยวนโจวจากประธานสมาพันธ์เชฟมาก่อน เขาเป็นเชฟอายุน้อยที่ยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ แถมครั้งล่าสุดยังเอาชนะเถิงหยวนได้อีกต่างหาก” จี้อี้พยักหน้าแล้วกล่าว เขาจะไม่รู้จักเชฟชื่อดังอย่างหยวนโจวได้อย่างไรกันเล่า?

“งั้นตอนนี้นายก็เชื่อแล้วใช่ไหมว่าฉันไม่ได้หลอกนาย?” หลิวจางกล่าว

“ยังหรอก ฉันรู้มาอีกว่าจริงๆแล้วเขามีพรสวรรค์ในการทำอาหารและมีฝีมือการทำอาหารดีกว่าคนรุ่นเดียวกันหรือแม้แต่คนรุ่นก่อนเสียอีก แต่เมื่อพูดถึงการทำซาลาเปาหรือหมั่นโถวแล้ว ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะด้อยกว่าเขาหรอกนะ” จี้อี้กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจในตัวเอง

“นายยังรู้สึกลังเลที่จะยอมรับเรื่องนั้นสินะ? ฝีมือของหยวนโจวยอดเยี่ยมมาก และหมั่นโถวของเขาก็อร่อยกว่านายจริงๆ” หลิวจางกล่าวอย่างจริงจัง

“เจ้าเด็กตัวแสบผู้นี้ยังอายุน้อยอยู่แท้ๆกลับทำอาหารได้ดีขนาดนี้เสียแล้ว เขาจะมีเวลาเรียนรู้การทำหมั่นโถวหรือซาลาเปาแค่ไหนกันเชียว? จำได้ว่าขนาดฉันยังต้องทำหมั่นโถวมาเป็นสิบๆปีเลย” จี้อี้ไม่เชื่อหรอกว่าหยวนโจวจะสามารถทำได้ดีกว่าตัวเขาจริงๆ

“คนเขาเป็นอัจฉริยะนายไม่เข้าใจหรอก ถึงยังไงหมั่นโถวไหมพันเส้นของเจ้าเด็กตัวแสบผู้นี้ก็เป็นขนานแท้จริงๆ” หลิวจางกล่าวยืนยัน

“ก็ได้ งั้นฉันจะรอเขาสักอาทิตย์ก็แล้วกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำออกมาได้ดีกว่าน่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มเรียนรู้การทำอาหารมาก่อนที่จะเกิดด้วยซ้ำก็เถอะนะ แต่ยังไงประสบการณ์ก็เยอะสู้ฉันไม่ได้หรอกน่า” จี้อี้ตัดสินใจที่จะรอหยวนโจวอาทิตย์หนึ่งแล้วค่อยกลับ

“ไม่มีปัญหา คนผู้นี้รักษาคำพูดตัวเองเสมอ เขาจะกลับมาในอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง” หลิวจางพยักหน้าติดๆกัน

“แต่พวกเราต้องรีบมาก่อนนะ มิฉะนั้นพวกเราก็คงไม่เจอหยวนโจวหรอก” หลิวจางเดินไปพลางพูดไปพลาง

“ฉันรู้แล้วล่ะน่า คนผู้นี้ทำอาหารได้ยอดเยี่ยมมากและคู่ควรกับฝีมือเช่นนั้นแล้วล่ะ งั้นฉันจะมาลองชิมฝีมือของเขาทีหลังก็แล้วกัน” จี้อี้ตอบ

ในขณะเดียวกัน หยวนโจวกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเพราะตอนนี้เขาอยู่ในประเทศไทย เขากำลังพยายามที่จะปฏิเสธซอสที่กลิ่นไม่ชวนพิสมัยสักเท่าไหร่นัก

เรื่องมีอยู่ว่าบริกรร่างเตี้ยคนนั้นเข้าใจความหมายของหยวนโจวเสียทีและเอาน้ำอุ่นมาให้พวกเขา เพื่อเป็นการขอบคุณหยวนโจว คนชราคู่นั้นที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ยืนกรานที่จะนั่งกับเขาด้วย จากนั้นคุณย่าก็เริ่มแนะนำซอสสูตรพิเศษจากประเทศไทยอย่างกระตือรือร้นและอยากจะเติมให้หยวนโจวด้วย

ซอสเป็นสิ่งที่มีลักษณะข้นเหนียวแกงสีน้ำตาลชนิดหนึ่งที่บรรจุอยู่ในขวดพลาสติกขนาดใหญ่ แม้ก่อนที่จะเปิดออกก็ยังกระจายกลิ่นที่ผสมรวมกันอันประกอบไปด้วย ตะไคร้ มะนาว กะเพราและขิงอ่อนตลอดจนสะระแหน่ออกมาอีกด้วย

ช่างเป็นการท้าทายจมูกของเขาเสียจริงเชียว

“ขอบคุณครับ คุณย่า ผมไม่ชอบรสชาติของซอสจริงๆครับ” หยวนโจวปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

“ไม่ได้นะ นายต้องลองชิมดู นี่เป็นซอสสูตรพิเศษที่ใช้ทานกับเนื้อวัวจากประเทศไทยเชียวนะ นายต้องใส่มะนาวให้มากหน่อย ไกด์ทัวร์สอนให้เรากินแบบนั้นเองแหละ น่าจะอร่อยมากเลยล่ะ” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น คุณย่าก็เตรียมให้เขาตั้งครึ่งถ้วยแล้ว

“ขอบคุณครับคุณย่า พอแล้วล่ะครับ” หยวนโจวส่งสัญญาณให้คุณย่าติดๆกัน

เขารู้สึกว่าจมูกของเขาจวนจะใช้การไม่ได้อยู่แล้ว

“คนไทยใช้เครื่องเทศอยู่ตลอดเวลาได้ยังไงกันนะ?” หยวนโจวจ้องมองซอสในถ้วยแล้วค่อยๆนับจำนวนเครื่องเทศนับสิบอย่างที่ให้รสชาติที่ขัดกันอยู่ในใจ

 

———————-

ซานต้าเป่า(三大炮) เป็นของว่างแบบดั้งเดิมชนิดหนึ่งของเฉิงตู จริงๆแล้วก็คือข้าวเหนียวปั้นสามลูกนั่นเอง

 

 

 

ตอนที่ 773

 

ขี่ช้าง

เที่ยงนั้นหยวนโจวไม่มีความสุขกับอาหารกลางวันเอาเสียเลย เขาหมดเงินไปกว่า 100,000 หยวนกับอาหารมื้อนี้ แต่เมื่อเทียบกับเงินทุนสำหรับอาหารก็เป็นเพียงน้ำหยดเดียวในมหาสมุทรเท่านั้น

“เป็นเพราะฉันไม่ได้ทำให้ถูกขั้นตอนแหงๆเลย” หยวนโจวพึมพำกับตัวเอง ถึงอย่างไรเขาก็เคยได้ยินลูกค้าคนอื่นๆพูดถึงมาสองครั้งแล้วว่าอาหารไทยรสชาติอร่อยมากทีเดียว

หยวนโจวรู้ว่าตัวเองเป็นเข้มงวดเรื่องอาหารมาก มันอาจจะอร่อยเพียงแต่อาจจะไม่อร่อยเท่าที่เขาคิดก็ได้ แต่ก็คงไม่แย่นักหรอก ดังนั้นหยวนโจวจึงครุ่นคิดอยู่สักพักและจะถามทันทีหากเขามาผิดทาง

เขาสงบสติอารมณ์ลง ถึงอย่างไรหยวนโจวก็จองขี่ช้างจากโรงแรมในยามบ่ายเอาไว้แล้ว เจ้าระบบจอมงกก็ยังปฏิเสธที่จะจ่ายเงินถึงแม้ว่าเขาจะหาข้อแก้ตัวด้วยการบอกว่าแค่อารมณ์ดีเขาก็เลยสามารถทานอาหารอร่อยได้มากขึ้นเท่านั้นเอง การขี่ช้างจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมเพื่อทำให้ตัวเขารู้สึกดีขึ้นนั่นเอง

แต่เดิมเขาอยากปรึกษาหารือกับเจ้าระบบ แต่คำพูดของหยวนโจวกลับไม่สามารถดึงดูดความสนใจใดๆได้เลยแถมเจ้าระบบก็ได้แต่เงียบไปอีกต่างหาก ดังนั้นหยวนโจวจึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากจ่ายเงินเอง คนละ 80 หยวนน่าจะทำให้หยวนโจวอารมณ์เสียได้เลยเพราะต้องเสียเงินถึง 80 หยวน

ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะพูดภาษาไทยไม่ได้ โรงแรมส่งเขาตรงไปยังจุดหมายปลายทางด้วยรสบัสและจะขับมาส่งในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ครึ่งชั่วโมงต่อมา หยวนโจวก็มาถึงสถานที่ที่เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะมา เขาเดินไปรอบๆอยู่สักครู่แล้วพบบางสิ่งบางอย่างเข้า

“ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยกิจกรรมบันเทิงเลยล่ะ” หยวนโจวเดินลงไปตามเนินลาด

พอรู้ตัวอีกทีหยวนโจวก็ได้กลิ่นเครื่องเทศอันแสนคุ้นเคย ใช่แล้วล่ะ มีร้านที่เสิร์ฟอาหารไทยอยู่ตรงข้างๆเนินลาด ยิ่งไปกว่านั้น กิจกรรมทั้งหลายของที่นี่ก็ยังไม่พบในสวนสนุกแบบดั้งเดิมอีกด้วย โดยที่กิจกรรมบันเทิงจะประกอบไปด้วย การแข่งรถโกคาร์ต การยิงเป้า การแสดงละครสัตว์และการขี่ช้าง

กิจกรรมเหล่านี้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว หยวนโจวเดินผ่านสถานที่แข่งรถโกคาร์ตและเดินหน้าต่อไปก่อนที่จะได้กลิ่น พนักงานต้อนรับของโรงแรมบอกว่ามีช้างที่เลี้ยงเอาไว้ที่นี่ 7 หรือ 8 ตัว แน่นอนว่าย่อมมีกลิ่นเหม็นอยู่แล้ว ถึงอย่างไรขี้ช้างพวกนี้ก็ส่งกลิ่นที่ไม่ค่อยจะดีนัก

“มีกลิ่นเครื่องเทศฉุนเสียขนาดนั้นพร้อมๆกับกลิ่นที่แย่มากพุ่งเข้าจมูกของฉันไปแล้ว ฉันรู้สึกว่าจมูกของฉันกำลังจะมีปัญหา” ในที่สุดหยวนโจวก็รู้ว่าทำไมชอลิ้วเฮียง* ถึงได้ชอบลูบจมูกตัวเองนัก

จะว่าไปแล้วเขาก็รู้สึกโชคดีที่อาศัยอยู่ในโรงแรมระดับห้าดาว และในโรงแรมใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะห่คนที่พูดภาษาจีนได้

ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ก็กลับกลายเป็นว่ากลิ่นก็ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่อันที่จริงแล้วสัตว์ชนิดแรกที่หยวนโจวเห็นหลับเป็นเสือแทนที่จะเป็นช้าง มันเป็นเสือตัวจริงเสียงจริงถึงแม้ว่ามันจะกำลังนอนหมอบอยู่บนโขดหินเงียบๆในขณะที่มีใครสักคนล่ามมันเอาไว้ด้วยโซ่เหล็กก็ตามที

มันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดหรอก ประเด็นสำคัญก็คือหยวนโจวเพียงแค่เดินผ่านสถานที่แห่งนี้ แต่คนข้างในก็ยังลากหยวนโจวเข้าไป ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจภาษาไทย แต่เขาก็พอจะเข้าใจความหมายคร่าวๆได้ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะบอกราคาในการถ่ายภาพหมู่กับเสือ

หยวนโจวไม่ได้กลัวเสือจริงๆหรอก เขาเพียงแค่รู้สึกว่าเสือไม่เห็นจะน่าดึงดูดใจตรงไหนเลย เมื่อเทียบกันแล้ว เขาชอบช้างมากกว่า ดังนั้นเขาจึงเร่งฝีเท้าออกจากบริเวณนี้ไป

จากนั้นเขาก็เห็นช้างอยู่ในสระเล็กๆ เช่นเดียวกับเสือนั่นแหละ ยังมีคนที่ยืนอยู่ด้านข้างและลูกค้าที่ถูกคิดเงินค่าบริการถ่ายภาพหมู่ และตรงทางด้านข้างของช้างก็ยังมีนกฮูกอยู่ตัวหนึ่งด้วย ไม่ว่าใครก็สามารถถ่ายภาพหมู่ได้ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าพวกเขาต้องชำระค่าบริการ ส่วนเจ้าหน้าที่ก็กระตือรือร้นมากทีเดียวในการดึงตัวคุณเข้ามาถ่ายภาพ

หยวนโจวไม่ชอบถ่ายภาพ เขาจึงก้าวถอยหลังไปดูพวกชาวต่างชาติถ่ายภาพกัน โชคดีที่มีไกด์ทัวร์ที่พูดภาษาจีนได้อยู่ข้างๆและนักท่องเที่ยวที่ตามเธอไปก็เป็นชาวจีนเช่นเดียวกัน

ตามที่ไกด์ทัวร์บอกมา พวกเขาสามารถถ่ายภาพกับช้างได้ฟรีๆหากซื้ออาหารตะกร้าหนึ่งตรงแผงข้างเคียงเพื่อให้อาหารมัน โดยตะกร้าขนาดเท่าลูกแตงโมที่หนักพอสมควรมีกล้วยอยู่ด้านบนและมันเทศอยู่ด้านล่าง เนื่องจากมีราคาไม่แพง หยวนโจวจึงซื้อผลไม้มาตะกร้าหนึ่ง

“ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบถ่ายภาพ แต่เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามและถ่ายภาพกับช้างสิในเมื่อฉันได้มาประเทศไทยแล้วทั้งที” หยวนโจวหยิบกล้วยออกมาป้อนช้างน้อย มันยื่นงวงออกมารับกล้วยแล้วยัดเข้าปาก การกระทำช่างรวดเร็วมากเสียจนหยวนโจวไม่ทันได้ถ่ายภาพเลย

กล้วยด้านบนของตะกร้าถูกเจ้าช้างกินจนเกลี้ยงในไม่ช้า แต่หยวนโจวก็ยังหาโอกาสที่จะถ่ายภาพไม่ได้เลย

คงต้องเปลี่ยนวิธีป้อนอาหาร หยวนโจวเหลือบมองมันเทศที่เหลือในตะกร้าและทำท่าทางกวักมือเรียกโดยหวังว่าเจ้าช้างจะมาทางนี้ก่อนเพื่อให้เขาสามารถถ่ายภาพก่อนให้อาหารอีกครั้ง แต่เมื่อไม่มีอะไรอยู่ในมือ เจ้าช้างก็ไม่มาหาเขาเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังหันก้นใส่เขาอีกต่างหาก

“กล้าดียังไงกัน! เจ้าช้างตัวนี้กล้าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานจริงๆ” หยวนโจวหยิบมันเทศออกมาแล้วจงใจเอามาหลอกล่อเจ้าช้าง เขาเปิดกล้องด้วยมืออีกข้างและเตรียมที่จะถ่ายภาพทุกเมื่อ

แต่มีบางอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น เจ้าช้างมองไปที่มันเทศในมือแล้วหันหน้ากลับไปราวกับไม่สนใจพวกมัน

“เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย?” ความน่าจะเป็นทั้งหลายแวบผ่านสมองของหยวนโจวขึ้นมาทันที สาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือช้างตัวนั้นไม่กินมันเทศ

ไกด์ทัวร์ที่อยู่ข้างอธิบายให้เขาฟังอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจว่า “ช้างจะกินมันเทศถ้าหากไม่มีอะไรจะกิน แต่มันชอบกินกล้วยมากกว่านะ”

เรื่องมากชะมัดเลย!!! หยวนโจวเหลือบมองเจ้าช้างน้อยในสระ ยังมีนักท่องเที่ยวอีกมากมายอยู่แถวนี้ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่ชอบซื้อของในขณะที่ชาวจีนชอบซื้อแล้วก็ซื้อเมื่อตอนที่พวกเขาเดินทาง ดังนั้นผู้คนมากมายจึงพากันให้อาหารช้างด้วยกล้วยและเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ช้างจะไม่เข้ามากินมันเทศของเขา

“ฉันไม่คิดว่าแกจะเป็นช้างแบบนั้นเลยนะ”

เขาไม่อาจเสียเงินให้กับผลไม้ตะกร้าหนึ่งอย่างเปล่าประโยชน์ได้ ดังนั้นหยวนโจวจึงตัดสินใจที่จะซื้อผลไม้อีกตะกร้า โดนกัดเพียงครั้งก็จะอายไปสองครั้ง เมื่อได้รับประสบการณ์จากเรื่องนั้นแล้ว หยวนโจวก็หลอกล่อให้เจ้าช้างมาหาเขาด้วยกล้วยเสียก่อนแล้วค่อยถ่ายภาพรัวๆด้วยมืออีกข้าง

ตะกร้าผลไม้ทั้งสองใบจะต้องถูกนำมาใช้แลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่าง หลังจากนั้นยี่สิบนาทีหยวนโจวก็เก็บโทรศัพท์ของเขาลงด้วยความพึงพอใจ ในขณะเดียวกัน กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนก็มุ่งหน้าไปที่ต่อไปเพื่อขี่ช้าง

หยวนโจวแอบตามพวกเขาไป นี่คือทักษะในตำนาน “การใช้ประโยชน์จากไกด์ทัวร์ของคนอื่น” นั่นเอง

มีเก้าอี้อยู่บนหลังช้าง ส่วนควาญช้างนั่งอยู่ตรงส่วนหัวขณะที่บรรดานักท่องเที่ยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตัวเก้าอี้นั้นไม่ได้ใหญ่มากนักและสามารถรับน้ำหนักได้อย่างมากสองคนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ว่ามีอีกคน เขาก็จะสามารถนั่งคนเดียวได้เลย

เขาเข้าแถวตามที่ได้รับการร้องขอแล้วรอช้าง

ก็เหมือนกับที่คำโบราณว่าไว้ว่าเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เขารออยู่ไม่ทันถึงสิบนาทีจู่ๆฝนก็เทลงมา จนสามารถได้ยินเสียงน้ำฝนตกลงใบไม้

“วันนี้มันวันซวยหรือไงวะ?” หยวนโจวหยิบร่มออกมาจากเป้ใบเล็กของตัวเอง เขามีนิสัยชอบพกร่มตอนออกไปข้างนอก และเขาก็เป็นคนเดียวที่ถือร่มอยู่ในแถว อีกไม่นานทุกคนก็จะตัวเปียกชุ่มยกเว้นแต่เขาคนเดียวเท่านั้น

หยวนโจวนึกถึงปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อฝนกำลังตกอยู่เขาจะขี่ช้างได้อยู่อีกเหรอ? แต่ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ทำให้เขามั่นใจขึ้นมาได้ ทุกคนสามารถขี่ช้างได้นานเท่าที่พวกเขาต้องการเลยเชียวล่ะ

แต่นักท่องเที่ยวหลายคนตรงหน้าเขาต่างปฏิเสธข้อเสนอและบ่นกับอีกคน

“ในเมื่อฝนตกเสียหนักขนาดนี้พวกเราจะขี่ได้ยังไงกันเล่า? ไว้ฉันค่อยมาทีหลังดีกว่า”

“ใช่แล้วล่ะ ที่หลบฝนยังไม่สามารถกันฝนได้เลย รอสักครู่เถอะ”

“ฝนตกหนักจริงๆ เปียกไปหมดเลย เอาไว้ฉันค่อยมาขี่เอาทีหลังดีกว่า”

แต่หยวนโจวกลับมองไปที่เจ้าช้างแล้วตรวจสอบเวลา จากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะขี่มันตอนนี้เลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ขี่ช่างก่อนกำหนดเนื่องจากผู้คนที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างเลือกที่จะมาขี่เอาทีหลัง

“ช่างรู้สึกเยี่ยมไปเลยที่ได้มาขี่ช้างท่ามกลางสายฝน เจ้าช้างเองเดินให้ช้าหน่อยก็ใช้ได้แล้วล่ะ” หยวนโจวขึ้นขี่ช้างและเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ใหม่

ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวบอกทางโรงแรมให้มารับเขาในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ถ้าเขาไม่ขี่ตอนนี้ก็คงจะไม่มีเวลามากพอตอนที่ฝนหยุดตกแล้วล่ะ

และหยวนโจวก็เป็นคนที่ยึดติดกับแผนที่วางเอาไว้มากทีเดียว

——————

ชอลิ้วเฮียง(楚留香) เป็นพระเอกในนวนิยายกำลังภายในของโกวเล้ง เขามีวิชาตัวเบาและขโมยสมบัติล้ำค้ามาได้มากมาย

 

 

 

ตอนที่ 774

 

สาเหตุที่ทำให้หยวนโจวท้องเสีย

“ครืด ครืด ครืด” เสียงปลายดินสอสัมผัสกับกระดาษดังขึ้นมาจากโต๊ะทำงานในโรงแรม

ดินสอสีน้ำตาลอ่อนกำลังขยับไปทางขวาของกระดาษขาว มือที่จับดินสออยู่นั้นทั้งยาวเรียวและดูดีอีกทั้งวิธีที่คนผู้นั้นใช้เขียนก็เป็นธรรมชาติและหนักแน่น

บนกระดาษอ่านได้ความว่า “วันที่ห้าในประเทศไทย มีแดดจัด กำหนดการที่ระบุเอาไว้ก็ยังคงเป็นการกินอยู่นั่นแหละ เหลืออีกสองวันก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน”

“เฮ้อ ยังเหลือเวลาอยู่ในประเทศไทยอีกสองวัน” หยวนโจวถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ใช่แล้วล่ะ เป็นหยวนโจวที่กำลังเขียนบันทึกประจำวันนั่นเอง เขาพักอยู่ในประเทศไทยมาห้าวันแล้วและกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้กลับบ้านเสียที

“ยังเหลือเวลาอีกตั้งนานเลย” หยวนโจวเขียนไปพลางถอนหายใจไปพลาง

ถูกต้องเลยล่ะ ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุดของหยวนโจวก็คือเรื่องกลับบ้านนี่แหละ เขาคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้านเสียแล้วสิ แน่นอนว่าเขาย่อมคิดถึงห้องครัวของเขาที่สุดเลย

เขาเซ็งอาหารไทยและกลิ่นหอมเต็มถนนที่แทบจะปกคลุมไปทั่วตัวเขาอยู่แล้วเสียจริงๆ

“แม้แต่ตอนที่ฉันอยู่ในปารีสเมื่อคราวก่อนก็ยังไม่ทุลักทุเลขนาดนี้เลย” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วนึกถึงการเดินทางไปปารีสเมื่อคราวที่แล้ว

ในขณะที่กำลังบ่นพึมพำอยู่นั้น เขาก็เขียนบันทึกประจำวันเสร็จพอดี ใช่แล้ว หยวนโจวฝืนใจเขียนบันทึกประจำวันเพื่อฆ่าเวลา

และเขาก็มีเพียงจุดประสงค์เดียว นั่นก็คือเพื่อให้รู้ว่าตัวเองจะสามารถกลับไปได้เมื่อไหร่กัน

“เจ้าระบบ ฉันคิดว่าฉันสามารถคอนเฟิร์มตั๋วได้นะ” จู่ๆหยวนโจวก็พูดกับเจ้าระบบขึ้นมาทันที

ถูกต้องแล้วล่ะ เจ้าระบบเป็นคนจัดเตรียมตั๋วเครื่องบินแบบห้องโดยสารชั้นหนึ่งของสิงคโปร์แอร์ไลน์ของหยวนโจวและเจ้าระบบก็เป็นคนสั่งตั๋วไปกลับด้วย

เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านาย เงินทุนสำหรับการเดินทางของคุณยังไม่หมดเลยนะ”

“งั้นฉันต้องใช้เงินให้หมดก่อนถึงจะกลับได้งั้นเหรอ?” หยวนโจวรู้สึกสับสน

เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ใช่แล้ว”

“ไม่แปลกใจเลย ยังไงโลกนี้ก็ไม่มีอาหารกลางวันให้กินฟรีๆหรอก” หยวนโจวถอนหายใจ

จริงๆเขาก็นึกไว้อยู่แล้วและยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเป็นกำหนดการเจ็ดวัน หยวนโจวจึงไม่ทำตัวสวนกระแสกับแผนที่เขาทำไปแล้ว เขาไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้นเพียงแค่อยากบ่นออกมาก็เท่านั้นเอง

“ลืมมันไปเสียเถอะ มาดูกันซิว่าวันนี้ฉันควรจะไปร้านไหนดี ร้านที่ฉันจองล่วงหน้าตั้งหนึ่งเดือนเมื่อคราวที่แล้วก็น่าผิดหวังชะมัดเลย หลอกลวงลูกค้ากันชัดๆ” หยวนโจวนึกถึงประสบการณ์ที่ไม่น่าพอใจเอาเสียเลยเมื่อคราวที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร ทว่าเขากลับติดตามแผนกำหนดการของตัวเองด้วยความสนใจแทน

“วันนี้เป็นร้านอาหารทะเลร้านนี้งั้นเหรอ? ตามเวลาที่กำหนดไว้ ตอนนี้ฉันควรจะเริ่มออกเดินทางได้แล้ว” หยวนโจวตรวจสอบกำหนดการของตัวเองแล้วลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะออกไป

ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวระบุรายชื่อร้านต่างๆที่สมควรไปเยือนและเตรียมที่จะทานอาหารทั้งหมด วันนี้เขากำลังจะไปร้านอาหารทะเลร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก

เนื่องจากกิจการกำลังรุ่ง ลูกค้าจะต้องไปเข้าคิวรอล่วงหน้าเพื่อทานอาหารที่นั่น ดังนั้นหยวนโจวจึงเริ่มออกเดินทางจากโรงแรมตอนเก้านาฬิกายี่สิบนาที

ถึงอย่างไรกรุงเทพมหานครก็เป็นเมืองที่มีการจราจรติดขัด การออกเดินทางแต่เนิ่นๆก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย

หยวนโจวจ้างชายสวมแว่นตาคนหนึ่งมาเป็นไกด์ทัวร์แล้วก็เป็นคนขับรถให้ด้วย เขาจะพาหยวนโจวไปส่งในทุกที่ที่อยากจะไปทั้งยังแนะนำ ที่สำคัญก็คือคนๆนี้เป็นคนไทยที่สามารถพูดภาษาจีนได้

“อรุณสวัสดิ์ครับ” หยวนโจวเดินออกจากร้านอาหาร ซิ่งน้อยไกด์ทัวร์ของเขาก็มารอเขาอยู่ตรงทางเข้าเพื่อเปิดประตูรถให้

“อรุณสวัสดิ์ครับ” หยวนโจวนั่งลงฝั่งผู้โดยสารในทันที

“พวกเราจะไปรอทานอาหารที่นั่นเลยหรือแวะไปเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวังกันดีล่ะครับ?” เสี่ยวซิ่งถามขึ้นมาทันที

“พวกเราต้องใช้เวลานานขนาดไหนเหรอกว่าจะขับรถไปถึงที่นั่นได้น่ะ?” หยวนโจวถามขึ้น

“ถ้ารถไม่ติดก็หนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าผมติดผมก็ไม่แน่ใจนะ” เสี่ยวซิ่งยักไหล่

“งั้นก็ไปร้านอาหารกันเลยเถอะ วันนี้วันพุธรถน่าจะติดแหละนะ” หยวนโจวนึกอยู่สักครู่แล้วกล่าวออกมา

“เอาล่ะครับ งั้นก็ไปกันเลย” หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว เสี่ยวซิ่งก็เริ่มสตาร์ทเครื่องและออกรถ

“คุณเรียนภาษาจีนแมนดารินมาเหรอครับ?” หยวนโจวมองเสี่ยวซิ่งแปลกๆ

“คุณบอกได้ไหมล่ะว่าสำเนียงของผมมาจากที่ไหน? คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ? ใช้ได้ไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งหันหน้ามาแล้วกล่าวพลางอมยิ้ม

“ครับ ผมสามารถบอกได้” หยวนโจวพยักหน้าแต่กลับไม่ตอบคำถามของเขา

ถึงอย่างไรภาษาจีนแมนดารินสำเนียงไทยก็เข้าใจยากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงภาษาจีนแมนดารินสำเนียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือสำเนียงไทยเลย

“เฮ้ เฮ้ สัปดาห์หน้าผมกำลังจะรับงานทัวร์จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ดังนั้นผมก็เลยต้องเรียนรู้ภาษาจีนแมนดารินสำเนียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือเผื่อๆเอาไว้บ้างน่ะสิครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวพลางอมยิ้ม

“ผมคิดว่าภาษาจีนแมนดารินสำเนียงปกติก็ใช้ได้นะครับ” หยวนโจวกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้า

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าผมสามารถพูดภาษาจีนแมนดารินสำเนียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ ผมคงเข้ากับพวกเขาได้ดี บรรยากาศก็จะได้ดีไปด้วยยังไงล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง

“ใช่แล้วล่ะ คุณพูดถูกเลยครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก

“คุณก็เห็นด้วยกับผมใช่ไหมครับ? จำวันที่ผมไปรับคุณได้ไหมครับ? คุณคิดว่าภาษาจีนแมนดารินสำเนียงเสฉวนของผมใช้ได้ไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

หยวนโจวถึงกับมุมปากกระตุกเล็กน้อยโดยไม่เป็นที่สังเกตเมื่อนึกถึงภาษาจีนแมนดารินสำเนียงเสฉวนที่เสี่ยวซิ่งพูดตอนที่พวกเขาเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นเขาเกือบเชื่อไปแล้วว่าเป็นภาษาต่างประเทศของประเทศเล็กๆสักแห่งหนึ่ง

เพราะภาษาจีนแมนดารินสำเนียงเสฉวนที่เสี่ยวซิ่งพูดไม่ใช่สิ่งที่หยวนโจวจะพูดได้เลย

“อ้อเกือบลืมไป คุณจะไม่ไปดูโชว์สาวประเภทสองสักหน่อยเหรอไหนๆก็อยู่ที่นี่อีกตั้งสองสามวันแน่ะ คุณอยากไปดูไหมล่ะ?” เสี่ยวซิ่งถามขึ้น

ก่อนที่หยวนโจวจะทันได้ตอบ เสี่ยวซิ่งก็หันมามองหยวนโจวแล้วกล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า “ถ้าคุณซื้อตั๋วแถวหน้าก็จะได้รับเชิญขึ้นเวทีและสามารถจับหน้าอกพวกเขาได้ด้วยล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่จำเป็นหรอก” หยวนโจวอดที่จะไอออกมาไม่ได้แล้วปฏิเสธข้อเสนออย่างสุภาพ

“อายอะไรกันเล่า? ส่วนใหญ่พวกเขากลายเป็นผู้หญิงแล้วแถมยังสวยมากเชียวล่ะ” แต่แทนที่จะยอมแพ้ เสี่ยวซิ่งก็ยังพยายามที่จะยื่นข้อเสนอให้เขาต่อไป

“หนึ่งในนั้นเคยแสดงเป็นกะเทยแสนสวยในภาพยนตร์จีนเรื่อง ‘Lost In Thailand’ ด้วยล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวหลอกล่อหยวนโจว

“ผมมาที่นี่เพื่อทานอาหารนะครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง

“โอ้ งั้นก็เอาเถอะ” เสี่ยวซิ่งยักไหล่แล้วยุติการยื่นข้อเสนอ

“ลืมมันไปเสียเถอะครับ ผมชอบสาวสวยน่ารักจากเสฉวนมากกว่านะครับ” หยวนโจวแอบพูดในใจ

“หยวนน้อย คุณเคร่งเครียดเกินไปหน่อยแล้ว ถึงจะมาทำงานคุณก็ต้องหาเรื่องสนุกๆทำบ้างนะ คุณยังไม่เคยไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเลยนี่นา” เสี่ยวซิ่งพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมเขา

“ผมไปขี่ช้างแล้วก็ชมการแสดงกายกรรมมาแล้วครับ” หยวนโจวบอกเขาตามตรง

“ยังมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าที่คุณยังไม่เคยลองอยู่นะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าว

“แล้วก็ตลาดน้ำ” หยวนโจวพูดต่อ

“ตลาดน้ำเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านเขาไปขายผักกันครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวอย่างหมดหวัง

ใช่แล้วล่ะ จนถึงตอนนี้เสี่ยวซิ่งรับนักท่องเที่ยวมาเป็นพันๆคนแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเพิ่งจะเคยเจอคนประหลาดแบบนั้น

ในช่วงห้าวันที่ผ่านมาในประเทศไทย ถ้าเขาไม่ไปร้านอาหารก็ไปตลาด ถูกต้องแล้ว ตลาดสดนั่นแหละ เขาไม่ไปที่อื่นเลยนอกจากสองที่นี้

อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ชอบอาหารที่นี่ แต่เขากลับเอาแต่สั่งอาหารเป็นก่ายเป็นกองไปเสียทุกครั้งแล้วทานเข้าไปด้วยสีหน้าหดหู่ซึมเซา แปลกคนชะมัดเลย!

การทานอาหารในลักษณะนี้ทำให้แม้แต่เสี่ยวซิ่งที่ทานอาหารร่วมกับหยวนโจวก็ยังรู้สึกอึดอัดเลย

เมื่อเขาถามหยวนโจวว่าชอบอาหารไทยหรือไม่ หยวนโจวก็ตอบว่าไม่ เมื่อเบาบอกหยวนโจวให้สั่งอาหารน้อยลงหน่อย หยวนโจวก็ตอบว่าไม่อีก นี่มันช่างไร้สาระสิ้นดี ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เสี่ยวซิ่งก็หันหน้าไปมองหยวนโจวอีกครั้ง

เผอิญว่าหยวนโจวเองก็เห็นสายตาของเสี่ยวซิ่งเขาพอดีจึงกล่าวขึ้นมาทันทีว่า “ผมไม่อยากไปดูการแสดงของสาวประเภทสอง ไปหาอะไรกินกันเถอะครับ”

“ผมรู้ครับ พวกเราไม่ได้กำลังจะไปดูการแสดงของสาวประเภทสองหรอกครับ พวกเรายังจะไปตลาดสดหลังจากเพิ่งจะกินเสร็จอีกงั้นเหรอครับ?” เสี่ยวซิ่งถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว

“อืม” หยวนโจวพยักหน้า

“วันนี้พวกเราจะสั่งอาหารให้น้อยลงหน่อยไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจ

“ไม่ล่ะ ผมกินหมดอยู่แล้วล่ะ” หยวนโจวส่ายหน้า

“คุณยังท้องเสียอยู่เลยนะครับ ทานให้น้อยลงหน่อยเถอะ” เสี่ยวซิ่งเตือนเขา

ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวต้องทรมานจากอาการท้องเสียตั้งแต่วันที่สองที่เขามาถึงกรุงเทพมหานคร โชคดีที่เขาทานยาที่เตรียมไว้และสามารถควบคุมอาการเอาไว้ได้

“ไม่เป็นไรครับ ความเจ็บป่วยไม่มีผลต่อประสาทรับรสของผมหรอกครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง

“เอาล่ะครับ อีกไม่นานก็คงถึง ตอนนี้คุณงีบไปสักครู่ก่อนก็ได้ครับ” ซิ่งน้อยเริ่มขับรถอย่างระมัดระวังโดยไม่พูดอะไรอีก

“ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วหลับตาผล็อยหลับไป

 

 

 

ตอนที่ 775

 

เจอลูกค้าของตัวเองในอีกที่หนึ่ง

หยวนโจวเผลองีบหลับในรถโดยไม่บอกไม่กล่าว ถึงแม้ว่าเขาจะกำลังหลับอยู่แต่ก็ยังรักษาความเคร่งขรึมเอาไว้ได้ด้วยแผ่นหลังเหยียดตรง แน่นอนว่าตาของเขาย่อมปิดอยู่

ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวซิ่งเคยเห็นเขาหลับแบบนั้นมาแล้วหลายครั้งก็คงคิดว่าหยวนโจวไม่ได้หลับอยู่หรอก

“คนๆนี้คร่ำเคร่งเกินไปแล้ว ฉันไม่เคยเห็นใครเจ้าระเบียบทว่าก็เข้มงวดเช่นนี้มาก่อนเลย” เสี่ยวซิ่งจ้องมองไปทางหยวนโจวแล้วพึมพำเสียงเบา

แต่มันเป็นความเคยชินของหยวนโจว ในฐานที่เป็นสุดยอดเชฟและผู้เชี่ยวชาญที่มีฝีมือยอดเยี่ยมในตอนนี้ แน่นอนว่าการกระทำของเขาย่อมสอดคล้องกับอุปนิสัยแบบนั้น

หยวนโจวเป็นคนที่เปิดเผยและตรงไปตรงมา เขาถนัดในหลายๆเรื่องแต่กลับคุ้นเคยกับการแสร้งทำทีเคร่งขรึม ผลก็คือเขาดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังแม้แต่ตอนงีบหลับเลยทีเดียว

“หยวนน้อยตื่นเถอะ พวกเรามาถึงแล้ว” เสียงของเสี่ยวซิ่งพุ่งเข้าไปในหูของหยวนโจวแล้วปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาทันที

“อืม ขอบคุณครับ” หยวนโจวลืมตาขึ้นทันทีแล้วเขาก็มองไปทางเสี่ยวซิ่งพร้อมทั้งแสดงความขอบคุณออกมา

“หา คุณทำผมกลัวนะ ทุกครั้งที่คุณตื่นมาคุณชอบทำท่าแบบนี้อยู่เรื่อยเลย ผมเกือบรู้สึกไปแล้วว่าคุณไม่ได้นอนหลับอยู่เลย” เสี่ยวซิ่งเริ่มพูดเมื่อเขาเห็นว่าหยวนโจวดูจะไม่ง่วงเลยสักนิดแถมยังมองเขาอย่างมีชีวิตชีวาอีกต่างหาก จากนั้นเขาก็อดที่จะกล่าวเช่นนั้นออกมาไม่ได้

“ครับ ผมหลับอยู่ รถวิ่งได้สม่ำเสมอดีมากเลยล่ะครับ” หยวนโจวเอ่ยปากชม

“แน่นอนครับ ผมขับรถได้เยี่ยมมาและผมก็เป็นคนที่ใครๆก็เรียกกันว่านักขี่มือเก่า*” เมื่อพูดถึงฝีมือการขับรถของเขาแล้วเสี่ยวซิ่งตบหน้าอกตัวเองและรู้สึกค่อนข้างภูมิใจขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ลืมที่จะพูดภาษาจีนแมนดารินสำเนียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

“คุณรู้ความหมายของนักขี่มือเก่า*หรือเปล่าน่ะครับ?” หยวนโจวมองเขาด้วยความสงสัย

“แน่นอนอยู่แล้วครับ มันหมายถึงคนขับที่มีฝีมือการขับรถยอดเยี่ยมยังไงล่ะครับ ผมเป็นคนแบบนั้นแหละครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวเช่นนั้นด้วยความมั่นใจเป็นอันมาก หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่จอดรถแล้วจอดรถในลานจอดรถอย่างไร้ที่ติ

“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นแบบนั้นก็พอเข้าใจได้ครับ” หยวนโจวพยักหน้า เมื่อตัดสินจากความเข้าใจคำนี้ของเขาแล้ว ไกด์ทัวร์คงไม่คุ้นเคยกับวลีทางอินเตอร์เน็ตในภาษาจีนเสียเท่าไหร่นัก

“พวกเรามาถึงแล้วครับ จวนจะสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วใกล้จะได้เวลาแล้วล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งตรวจสอบเวลาแล้วเปิดประตูรถและเตรียมที่จะลงจากรถ

“ครับ น่าจะได้เวลามื้อเที่ยงแล้วครับ” หยวนโจวกวาดตามองไปสภาพแวดล้อมโดยรอบและรับรู้ได้ว่าเป็นที่จอดรถชั้นใต้ดิน

“ร้านนี้ตั้งอยู่เหนือเราในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ตอนนี้พวกเราอยู่ใต้ดินชั้นสองและพวกเราต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้นเจ็ด” เสี่ยวซิ่งกล่าวขณะที่เดินนำเขาไป

“อืม” หยวนโจวพยักหน้า

จากนั้นคนทั้งสองก็เข้าไปในลิฟท์แล้วกดปุ่มด้านขวาและรอให้มาถึงจุดหมายปลายทาง

“ในห้างมีสินค้ามากมาย คุณสามารถเลือกซื้อแล้วส่งไปให้เพื่อนของคุณเป็นของขวัญได้เลย คุณไม่อยากซื้อของขวัญให้แฟนของคุณสักหน่อยเหรอครับ?” จู่ๆเสี่ยวซิ่งก็มองหยวนโจวด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วถามขึ้นมา

เมื่อมองดูใบหน้าแฝงรอยยิ้มชั่วร้ายของเสี่ยวซิ่ง ทันใดนั้นหยวนโจวก็รู้แล้วว่าเขายังไม่ได้บอกไกด์ทัวร์คนนี้เลยว่าเขายังไม่มีแฟน ถึงอย่างไรไกด์ทัวร์ก็บอกหยวนโจวว่าเขามีแฟนที่สวยมากทีเดียวเมื่อตอนที่มารับหยวนโจวในวันที่สอง ที่สำคัญเขายังโชว์รูปถ่ายให้หยวนโจวดูอีกต่างหาก เป็นหญิงสาวที่น่ารักเสียจริงๆ

ถ้าหากหยวนโจวบอกเขาว่าเขายังไม่มีแฟนคงจะรู้สึกอายมากทีเดียว หยวนโจวคิดอยู่นานแล้วตอบว่า “เอาล่ะ ไว่ค่อยคุยกันทีหลังเถอะนะ”

คำตอบของหยวนโจวไม่ใช่ทั้งตอบรับหรือปฏิเสธ แต่กลับเป็นคำตอบที่คลุมเครือมากทีเดียว

“คุณสามารถซื้อเครื่องสำอางให้แฟนของคุณ ผู้หญิงชอบของแบบนั้นกันทั้งนั้นแหละครับ แถมที่นี่ยีงราคาถูกกว่าในประเทศของคุณเสียอีก เห็นใครๆเขาก็ว่ากันอย่างนั้นนะ” เสี่ยวซิ่งกล่าวคล่องปากและลื่นไหล

“อืม งั้นผมจะซื้อไปก็แล้วกัน” หยวนโจวพยักหน้า

“ติ๊ง” ขณะที่เสี่ยวซิ่งอยากจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาอีก ลิฟท์ก็มาถึงแล้ว

“ไปกันเถอะครับ” หยวนโจวเดินออกจากลิฟท์ก่อน

“ไปกันเถอะครับ ตรงหน้าเรานี้ก็คือชั้นห้านั่นเอง” เสี่ยวซิ่งกลืนสิ่งที่เขาอยากจะพูดลงไปแล้วเริ่มนำทาง

มีตัวอักษรจีนแบบดั้งเดิมหลายตัวเขียนอยู่บนประตูร้านซึ่งให้ความรู้สึกถึงความเป็นจีนเอามากๆ ทั้งสองด้านเป็นกระจกใสบานใหญ่ยักษ์และส่วนที่อยู่ด้านนอกต่างล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากตู้ปลาขนาดใหญ่ ส่วนด้านในมีบอสตัน ล็อบสเตอร์ ออสเตรเลียน ล็อบสเตอร์ และปลาที่มีสีสันสวยงามเป็นจำนวนมากตลอดจนเปลือกหอยที่ปล่อยฟองอากาศออกมา มันเป็นโต๊ะจีนของอาหารทะเลชนิดต่างๆอย่างแท้จริง

“เอาล่ะครับ พวกเรามาถึงแล้ว” เสี่ยวซิ่งชี้ไปที่ประตูแล้วกล่าวขึ้น

“เป็นร้านที่คนจีนเปิดงั้นเหรอครับ?” หยวนโจวถามด้วยความอยากรู้

เท่าที่เขารู้มาจากอินเตอร์เน็ต มันไม่ใช่ร้านที่คนจีนเปิด เพียงแต่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นร้านอาหารทะเลที่ดีที่สุดในกรุงเทพมหานครเลยก็ว่าได้

“ไม่ ไม่ ไม่ เนื่องจากมีคนจีนมากมายมาทานอาหารที่นี่ เถ้าแก่จึงทำป้ายร้านขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่กับบ้านต่างหากล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งอธิบายให้เขาฟัง

“เข้าใจแล้วครับ” หยวนโจวพยักหน้า

“ผมถามบริกรดูแล้ว ยังมีโต๊ะอยู่เลย เข้าไปกันเถอะครับ” เสี่ยวซิ่งบอกหยวนโจว

ในขณะที่หยวนโจวตั้งใจมองดูประตูอยู่นั้น เสี่ยวซิ่งก็สอบถามเรื่องที่นั่งมาแล้ว

“โครก”

ขณะที่หยวนโจวจะตอบคำถามเขาอยู่นั้น ท้องของเขาก็ร้องออกมาอย่างไม่ถูกที่ถูกเวลา หลังจากนั้นก็มีอาการปวดเล็กน้อย

“ขอโทษนะครับ ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เสี่ยวซิ่ง คุณเข้าไปนั่งก่อนเลยก็ได้ครับ” หยวนโจวกล่าวโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี

“โอ้ ได้ครับ ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นนะครับ พอเดินไปที่นั่นคุณก็จะเห็นเองแหละ” เสี่ยวซิ่งชี้ไปที่ฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าวขึ้นมา

“โอเคครับ ขอบคุณ” หยวนโจวหันหลังเดินไปฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว

“จึ๊ จึ๊ หยวนน้อยช่างน่าเลื่อมใสเสียจริงเชียว ถึงแม้เขาจะกำลังทรมานจากอาการท้องเสีย แต่เขาก็ยังอยากจะทานอาหารทะเลเพียงเพื่อลิ้มลองรสชาติอยู่ดี ดูเหมือนว่าฉันต้องศึกษาการพูดภาษาจีนสำเนียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ดีเสียแล้วสิ” ขณะที่กล่าวเช่นนั้นออกมา เสี่ยวซิ่งก็ตามบริกรไปยังที่นั่งของพวกเขาแล้วนั่งลง

หลังจากนั้นเสี่ยวซิ่งก็ขอเมนูเรียกน้ำย่อยกับน้ำอุ่นระหว่างรอหยวนโจวกลับมาอยู่ที่นั่น

ใช่แล้วล่ะ เสี่ยวซิ่งย่อมรู้อยู่แล้วว่าหยวนโจวไปทำอะไรที่ห้องน้ำ แน่นอนว่าเขาย่อมไปที่นั่นเพื่อถ่ายท้อง เขาทราบสภาพร่างกายของหยวนโจวในช่วงนี้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ

เมื่อเขาเห็นหยวนโจวพยายามอย่างหนัก ตัวเขาก็รู้สึกอับอายจนแทบแรกแผ่นดินหนีอยู่แล้วที่ไม่ได้พัฒนาตัวเองเสียบ้างเลย ถึงอย่างไรหยวนโจวก็เป็นคนใจกว้างตอนที่ซื้อของ เห็นได้ชัดเลยว่าเขาต้องมีฝีมือในการทำอาหารมากเชียวล่ะ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ยังพยายามอย่างหนักอยู่ดี เสี่ยวซิ่งจะไม่พยายามให้หนักได้อย่างไรกันเล่า?

เมื่อตอนที่เสี่ยวซิ่งพาหยวนโจวมาที่นี่ยังมีที่นั่งอยู่หลายที่ แต่หลังจากหยวนโจวกลับมาจากห้องน้ำ ร้านก็เต็มเสียแล้ว

ดังนั้นหยวนโจวจึงเกือบจะคิดว่าตัวเองมาผิดที่เสียแล้วเมื่อตอนที่เขาเห็นร้านที่คึกคักจอแจ

“ดูเหมือนว่ากิจการจะดีมากเลยทีเดียว” หยวนโจวอดไม่ได้ที่จะกล่าวเช่นนั้นออกมาเมื่อโถงหลักขนาดประมาณ 200-300 ตารางเมตรที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน

ด้วยสายตาอันเป็นเลิศของเขา หยวนโจวมองหาที่นั่งของเสี่ยวซิ่งเจอได้อย่างง่ายดายยิ่ง

“ตึก ตึก ตึก” หยวนโจวเดินไปหาเขาด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ เขาเพียงแค่นั่งลงและอยากพูดอะไรบางอย่างเมื่อตอนที่ได้ยินภาษาจีน

“ฉันหวังว่าร้านนี้จะเสิร์ฟอาหารที่รสชาติอร่อยนะ ถ้ายังไม่อร่อยอีก ฉันจะไม่รับประทานอาหารในประเทศไทยแล้ว” เป็นน้ำเสียงอันอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่ง

“มีคนไทยอยู่ในประเทศไทยเยอะมากจริงๆ” หยวนโจวแอบพูดในใจด้วยท่าทีแสนสุภาพ

“คุณอยู่นี่เอง รีบมาสั่งอาหารเถอะครับ คุณสามารถดูภาพอาหารพวกนี้เอาก็ได้ ถ้าคุณไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็ถามผมได้นะครับ” เสี่ยวซิ่งหยิบเมนูขึ้นมาแล้วยื่นให้หยวนโจวทันที

“อืม คุณสั่งอาหารที่ชอบได้เลยนะครับ” หยวนโจวกล่าวขอบคุณเขาและกล่าวขึ้นมา

“ผมกินได้ทุกอย่างแหละครับ คุณสั่งมาเถอะ ผมกินได้” เสี่ยวซิ่งส่ายหน้าติดๆกัน

ถึงอย่างไรหยวนโจวก็สั่งอาหารเยอะทุกครั้งอยู่แล้ว ถ้าเขาสั่งอีกก็คงจะกินไม่หมดแน่ๆ

“ไม่ต้องหรอก อาหารมากมายหลายอย่างเป็นประโยชน์กับฉันเท่านั้นแหละ คุณสั่งอาหารที่ชอบกินเถอะครับ” หยวนโจวกล่าว

“โอเคครับ งั้นอาหารจานเดียวก็พอแล้วล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้า

บทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นแทบทุกครั้งที่พวกเขารับประทานอาหาร เสี่ยวซิ่งคุ้นเคยกับเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วและหยวนโจวก็ไม่กล่าวอะไรให้มากความเช่นกัน

” อ้าาาาาา! ฉันอยากทานอาหารอร่อยๆอย่างหมูอบซีอิ๊ว ผัดเผ็ดต้มปลา ปลาต้มผักกาดดอง เต้าหู้ผัดพริกเสฉวน หญ้าจินหลิง เนื้อสไลซ์บางเฉียบ ผัดเนื้อหมูตงพัวและข้าวผัดไข่ ถ้าฉันไม่ได้กินเสียตอนนี้ ฉันต้องตายแน่ๆเลย” จู่ๆก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา

“สิ่งที่เธอว่ามาในช่วงท้ายดูเหมือนจะเป็นอาหารของร้านหยวนโจวนะ” จากนั้นชายหนุ่มก็ตอบเธออย่างจนปัญญา

เมื่อได้ยินชื่อร้านของตัวเอง หยวนโจวก็เงี่ยหูฟังโดยไม่รู้ตัว

————————-

นักขี่มือเก่า(老司机) ตามตัวอักษรในภาษาจีนแล้วหมายถึงคนขับผู้มีความชำนาญ แต่ก็เป็นวลีที่โด่งดังทางอินเตอร์เน็ตซึ่งจริงๆแล้วหมายถึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ

Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ

Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ

Status: Ongoing

ณ ประเทศตะวันออกที่ห่างไกลมีร้านอาหารเล็ก ๆ แปลก ๆ แห่งหนึ่งที่อาจหาญกล้า ‘ปฏิเสธการจัดอันดับสามดาว‘ โดย Michelin Guide อยู่หลายครั้ง อาหารที่นี่ราคาแพงมากข้าวผัดธรรมดาจานหนึ่งกับซุปหนึ่งชาม ราคาก็ปาเข้าไป 288 หยวนแล้ว (ประมาณ 1500 บาท) เคี่ยวขนาดนี้ก็ยังมีคนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะรอกิน อ้อ… ที่นี่เขาไม่รับจองคิวด้วยนะ! แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาเพื่อจองคิวอีก! ทำไมต้องนั่งเครื่องบินน่ะเหรอ ก็เขาไม่มีที่จอดรถให้น่ะสิ ที่นี่บริการแย่ ลูกค้ากินแล้วต้องล้างจานเช็ดโต๊ะเอง ไม่รู้เจ้าของร้านคิดอะไรอยู่… สงสัยคงเป็นคนบ้าคนหนึ่ง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท