ปกติการส่งของฝากที่ทุกคนเข้าใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเครื่องประดับเงินทอง ภาพวาด หยกโบราณต่างๆ จำนวนระหว่างหนึ่งถึงสองชิ้น ตอนที่เข้ามาก็สามารถใช้ให้สาวใช้นำเข้ามาก็พอ
ตอนนี้คนเข้ามาแล้ว ของฝากยังอยู่ด้านนอก แลดูยิ่งใหญ่อลังการ ดังนั้นนางเตียวกับนางอู่ จึงแสดงท่าทีประชดประชันเสียดสี คอยดูว่าของขวัญที่หรงเยว่เอามาฝาก จะมากมายอลังการขนาดไหน
กลับคิดไม่ถึงว่า จะเห็นหีบเป็นหีบๆถูกยกเข้ามา หีบพวกนี้ดูแล้วก็เหมือนทำจากวัสดุไม้ธรรมดา เหมือนหีบใส่ผ้านวมในจวนหลังใหญ่
นางอู่กับนางเตียว หัวเราะออกมาทันทีพร้อมพูดขึ้นว่า “อย่าบอกว่าแม้แต่สินสอดทองหมั่นผ้าห่มผ้านวมก็เอามาฝากแล้ว?”
ที่จริงนี่ก็จะโทษร้านเครื่องประดับไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าหรงเยว่เตรียมของฝาก เอะอะก็จะเหมาเครื่องประดับทั้งร้าน สิ่งของล้ำค่ามากมายขนาดนี้จะให้หอด้วยผ้าแล้วก็ไปก็คงไม่ได้ ยังไงก็ต้องหาหีบมาใส่ คราวนี้เถ้าแก่ร้าน จึงต้องไปเอาแม้แต่หีบใส่สินสอดของฮูหยินมาถึงจะพอใส่
หลู่เฟยเห็นมีหีบวางอยู่หลายหีบ ในใจก็ยิ่งไม่พอใจ นี่เป็นการฝากสินสอดแล้วจริงๆหรือ? ยังไงก็เป็นหญิงชาวจวนธรรมดา รู้จักกฎธรรมเนียนเสียที่ไหน?
คิดว่าตนเองจะต้องเสียหน้าต่อหน้าพี่สะใภ้ในครอบครัว หางตาหลู่เฟยก็กลายเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมา
หรงเยว่เดินเป็นมาย่อตัวคำนับ พร้อมพูดขึ้นว่า “หลู่เฟยเหนียงเหนียง นี่เป็นของฝากที่ท่านพี่ขอมอบให้กับเหนียงเหนียง ฝากให้ข้าเอามามอบให้ ของเหนียงเหนียงให้เกียรติรับไว้”
เสียงหัวเราะของนางเตียวเฉียบคมและร้ายกาจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮ่าๆ ของฝากอะไรหรือ? ท่าทีอลังการขนาดนี้ ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร?”
หยวนชิงหลิงฟังคำพูดนี้ของนางเตียวแล้ว ใจไม่พอใจอย่างมาก วันนี้เป็นวันที่หรงเยว่กับเจ้าหกดูตัวกัน เป็นถึงผู้อาวุโสต่อให้ในใจไม่ชอบหรงเยว่ ก็ไม่ควรที่จะเสียมารยาทขนาดนี้
นางมองเห็นดวงตาเงียบสงบของหรงเยว่ แฝงไปด้วยความโกรธแล้ว เมื่อคิดถึงนิสัยใจร้อนของนาง จึงสั่งให้คนเปิดหีบออกทันทีว่า
“อยากรู้ว่าคืออะไรจะไม่ง่ายหรือ? เปิดดูก็รู้แล้ว” หยวนชิงหลิงพูดคืออย่างเรียบเฉย
เมื่อหีบทั้งหมดถูกเปิดออก วางอยู่ตรงหน้าหลู่เฟยเหนียงเหนียง
นางอู่กับนางเตียวมองดูอย่างเหยียดหยามแว๊บหนึ่ง รอยยิ้มที่เหน็บแนมเผยอยู่ตรงมุมปากอึ้งค้าง ยืนลุกขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่จับจ้องมองภายในหีบ พุ่งเข้าไปคว้าจับขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ของปลอบหรือเปล่า?”
เครื่องประดับเงินทอง หลู่เฟยเห็นมาไม่น้อย เครื่องประดับพวกนี้เป็นของจริงหรือปลอม นางมองแว๊บเดียวก็ดูออกแล้ว ที่จริงนางก็ตกตะลึงจนแทบจะลุกขึ้นมา แต่ด้วยสถานะมีอยู่ตรงนั้น จะแสดงท่าทีขายหน้าไม่ได้ จึงต้องอดกลั้นความตื่นตระหนกไว้ภายในใจ หยิบน้ำชาขึ้นมาดื่ม มือทั้งคู่ที่สั่นเทายังคงเปิดเผยให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึก ใจของนางร้องอยู่อย่างบ้าคลั่งว่า นี่ยกให้ข้าทั้งหมดจริงหรือ?
นางเตียวกับนางอู่มองจนตาร้อนผ่าวหมดแล้ว หากเป็นลูกชายของพวกเขา เรื่องงานแต่งนี้จะต้องตกลงอย่างแน่นอนแล้ว
แต่นางรับเงินมาแล้ว จะต้องให้หลานแต่งงานกับอ๋องหวย จึงจะช่วยพูดเข้าข้างหรงเยว่ไม่ได้
นางเตียวระงับความตื่นตระหนกกับความอิจฉาไว้ พร้อมพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ช่างไม่รู้ธรรมเนียมจริงๆ ก็แค่การเจอหน้ากัน แม้แต่สินสอดติดตัวก็ขนเอามาให้เหนียงเหนียงดูแล้ว ต้องการบังคับให้ท่านอ๋องแต่งงานกับเจ้าหรือ? หน้าไม่อายไปหน่อยหรือ? คนรวยชั่วข้ามคืนก็คือรวยชั่วข้ามคืน ไม่สุภาพ”
หลู่เฟยฟังคำพวกนี้แล้ว หันไปมองดูหรงเยว่แว๊บหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ของฝากของเจ้านี้มากมายเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้”
หรงเยว่แสร้งเป็นกุลสตรีมาสักพักแล้ว รู้สึกอึดอัดอย่างมาก ได้ยินหลู่เฟยพูดมีความหมายในเชิงปฏิเสธ จึงไม่เสแสร้งอีกต่อไปแล้ว ลุกขึ้นมาเอามือประสานพร้อมพูดขึ้นว่า “เหนียงเหนียง นี่เป็นเพียงของฝากเล็กน้อย ท่านอย่าได้รังเกียจ”
หนังเงยหน้าหันไปมองดูนางเตียวกับนางอู่ด้วยดวงตาเย็นชา ผู้หญิงสองคนนี้เดี๋ยวออกจากประตูไปก็จะรู้ ไม่ต่อยให้พวกนางหน้าบวมจมูกเขียว ก็จะไม่ใช่หรงเยว่
สีหน้าเคร่งขรึม พร้อมพูดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวว่า “สินสอดติดตัวอะไร? ข้าหรงเยว่หากจะแต่งงาน จะมีสินสอดติดตัวแค่นี้หรือ? ไม่ดูยากจนไปหน่อยหรือ? ข้าพูดตามตรง ของฝากพวกนี้ไม่ใช่เสด็จพี่ให้นำมาฝาก เป็นของข้ามอบให้กับหลู่เฟยเหนียงเหนียง”
สีหน้านางเตียวก็เปลี่ยนไป พร้อมพูดขึ้นอย่างแปลกประหลาดว่า “หญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนคนหนึ่ง เอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน? อีกอย่าง เหนียงเหนียงไม่ใช่คนโลภในทรัพย์สินเงินทอง จะเห็นแก่ของฝากพวกนี้ของเจ้าหรือ?”
หรงเยว่ฟังแล้ว หันไปมองดูหลู่เฟยเหนียงเหนียง พร้อมพูดขึ้นว่า “เหนียงเหนียง ข้ากับท่านไม่เคยเจอหน้ากัน ไม่รู้ว่าท่านชอบอะไร จึงสั่งคนเตรียมของพวกนี้ ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น ก็แค่อยากที่จะเอาใจท่าน ให้ท่านชอบข้า หากเป็นการเสียมารยาท ขอเหนียงเหนียงโปรดให้อภัย”
หลู่เฟยมองดูหรงเยว่อย่างตกตะลึง นางพูดออกมาตรงๆขนาดนี้ ว่าเป็นการเอาใจนางเพื่อให้นางชอบ ถือว่าเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง
นางอู่พูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยว่า “เหนียงเหนียง ไม่ชอบสิ่งของไร้ค่าพวกนี้ของเจ้า จะเอากลับไปเถอะ”
หลู่เฟยได้ยินเช่นนี้ ใจก็ไม่พอใจ ใครบอกว่านางไม่ชอบ? นางชอบสิ่งของไร้ค่าพวกนี้ กินเยอะก็ยิ่งดี อยู่ในวังอย่างยากจนมานานขนาดนี้แล้ว วันนี้ได้เห็นสิ่งของล้ำค่ามากมายขนาดนี้ นางสนใจอย่างมาก
อารมณ์ความรู้สึกของหลู่เฟยเผยให้เห็นอยู่ตรงหน้า ความไม่พอใจที่มีต่อนางเตียวกับนางอู่ คนอื่นก็สามารถมองออก เดิมหยวนชิงหลิงสามารถพูดอะไรได้บ้าง แต่คิดว่าให้หรงเยว่จัดการเองดีกว่า นางอยากให้หลู่เฟยรู้ว่า เจ้าหกต้องการภรรยาแบบไหนกันแน่
หรงเยว่ฟังนางพูดคำว่าอะไรไร้ค่ามาตลอด ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา อดกลั้นอารมณ์ไว้พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮูหยิน หรงเยว่มีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวเล็ก ไม่รู้ธรรมเนียมการให้ของฝาก และก็ไม่รู้ว่าเหนียงเหนียงชอบอะไร ฮูหยินสั่งสอนข้าแทนเหนียงเหนียง ข้าจดจำไว้ ต่อไปจะระมัดระวังกว่านี้”
อะซี่ฟังคำพูดนี้แล้ว ก็หัวเราะออกมาหนึ่งที หรงเยว่ก็คือหรงเยว่ ภายใต้คำพูดที่นุ่มนวลแฝงไปด้วยหนาม นางบอกว่าตอนเองมาจากครอบครัวเล็กไม่รู้ธรรมเนียม แล้วนางอู่ดูถูกเหยียดหยามอยู่ตรงหน้าหลู่เฟย หลู่เฟยยังไม่พูดอะไร นางกลับสั่งสอนหรงเยว่แทนหลู่เฟย กระทำการออกหน้าเกินตัว แล้วถูกกฎธรรมเนียมข้อไหน?
นางอู่หน้าหดลง พร้อมพูดขึ้นอย่างเยอะหยันว่า “ปากคอเราะร้าย”
ในใจหลู่เฟยค่อนข้างหวั่นไหวแล้ว รูปร่างหน้าตาดี นิสัยตรงไปตรงมา และยังรวมมาก เพียงแค่ชาติกำเนิด…..
หยวนชิงหลิงเห็นท่า คิดว่าควรที่จะทำอะไรบ้างแล้ว อาศัยตอนที่นางเตียวพูดคุยกับหลู่เฟย กระซิบพูดสั่งข้างหูอะซี่
อะซี่ฟังแล้วก็นิ่งเฉย สักพักคนใช้ยกน้ำชาร้อนมา ในมืออะซี่กำเหรียญทองแดงไว้ แล้วแอบโยนไปตีเข่าของสาวใช้ สาวใช้ล้มเซไปข้างหน้า น้ำชาร้อนในมือพุ่งตรงไปหาอ๋องหวย
หรงเยว่ก็ยืนอยู่ตรงกลาง หลังจากเห็นแล้ว ก็รีบหมุนตัวใช้แขนทั้งคู่จับตรงที่วางแขนเก้าอี้ของอ๋องหวยไว้ ใช้ร่างกายบังอ๋องหวยไว้ น้ำชาที่ร้อนนั่นก็ราดถูกบนคอของนาง มีหลายหยดที่กระเด็นไปใส่หน้าของอ๋องหวย แต่ก็ยังคงร้อนอย่างมาก
อ๋องหวยรีบประคองหรงเยว่ไว้ พร้อมพูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า “ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”
หรงเยว่กลับจ้องมองดูเขา พร้อมถามขึ้นว่า “ลวกโดนเจ้าหรือเปล่า?”
อ๋องหวยมองดูดวงตาที่เป็นห่วงเป็นใหญ่ของนาง ในใจก็หดลง หรี่ตาลงถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าช่างโง่นัก ลวกถูกข้าแล้วจะเป็นอย่างไร? เจ้าเป็นผู้หญิง หากลวกถูกหน้าจะทำอย่างไร?”
หรงเยว่ได้ยินว่าเขาไม่เป็นไรจึงยืนตัวตรงพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรก็พอ ข้าไม่เป็นไร”
หลู่เฟยได้ยินประโยคนี้ ในใจเจ็บปวดอย่างมาก มือทั้งคู่จับที่วางมือไว้ คำพูดประโยคหนึ่งแทบจะพูดพุ่งออกมาว่า นางตกลง
ตั้งแต่ที่ลูกชายป่วย นางก็แทบจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกป้องลูกชาย ไม่ให้เขาถูกทำร้ายแม้เพียงนิด แต่นางอาศัยอยู่ภายในวัง กว่าแม่ลูกจะได้เจอกันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะเฝ้าคอยดูแลอยู่ข้างกายตลอดวันคืนได้อย่างไร?
วันนี้เห็นหรงเยว่พุ่งเข้าไปช่วยเขาอย่างไม่คิดคำนึงถึงตนเอง ก็เพื่อคำพูดเพียงประโยคเดียวว่าเขาไม่เป็นไรก็พอ จะไม่ให้นางตื้นตันได้อย่างไร? สิ่งที่นางทำทุกสิ่งอย่าง ก็เพื่อให้เขาไม่เป็นอะไรก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?