นางมองใบหน้าซีดขาวและตื่นตะลึงของหยู่เหวินเห้า พอจะมองออกว่าการที่อ๋องอานโจมตีเขาตรง ๆ ในครั้งนี้ มันทำให้เขาตื่นตระหนกมากจริง ๆ
หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบกระเด็นขึ้นมาถึงลำคออยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าเขาไม่หลับ จึงถามว่า: “ถ้าพระชายาอานไม่ไหวแล้วจริง ๆ น่ากลัวว่าเขาจะกลับมาอีกครั้งใช่หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าตอบว่า: “นั่นกลับไม่น่ากลัวหรอก ประเด็นสำคัญคือครั้งนี้เป็นเพราะในกรมปกครองมีกำลังคนไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้ทังหยางได้ถือป้ายคำสั่งของข้า ออกไปจัดกำลังทหารมาแล้ว ส่วนเสี้ยวหงเฉิงก็พาคนไปซุ่มดักอยู่ในบริเวณนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าเขาพาคนบุกเข้ามาอีก ก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี ทั้งไม่แน่ว่าจะสามารถฆ่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้สำเร็จอีกด้วย ”
หยวนชิงหลิงทนไม่ไหว จึงร้องไห้ออกมา “คนดี ๆ อย่างพระชายาอานต้องมาตายไปทั้งอย่างนี้ มันช่างน่าเจ็บปวดใจจริง ๆ ใครคือคนร้ายกันแน่ ? ทำไมถึงได้อยากฆ่าพระชายาอาน?”
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “คนร้ายคือใคร ระหว่างนี้ยังไม่รู้ชัด แต่ที่จริงหลังจากที่ข้าวินิจฉัยคำให้การมาตลอดทั้งคืน ก็พบว่ามีปัญหาบางอย่าง ซึ่งปัญหานี้ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นประเด็นที่น่าสงสัยประเด็นหนึ่ง”
“ประเด็นอะไรที่น่าสงสัยหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
หยู่เหวินเห้าขยับเท้าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ลุกขึ้นแล้วกระเถิบไปข้าง ๆ ให้หยวนชิงหลิงได้นั่งใกล้เข้ามาอีกหน่อย แล้วพูดต่อไปว่า: “ในตอนนั้น พวกเราสอบปากคำคนที่อยู่ในอุทยานหลวง กับคนที่อยู่ในสวนว่างทั้งหมด จึงพบว่าหลังจากที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยทะเลาะกับพี่สี่แล้ว อะหลูถึงค่อยออกไป”
เนื่องจากหยวนชิงหลิงไม่ได้เข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน ได้ยินประโยคนี้ จึงถามออกไปว่า “แล้วอย่างไรล่ะ? เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับอะหลูด้วยรึ ? ต่อให้มีส่วนเกี่ยวข้อง แค่นางเห็นเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจากไป ก็บอกได้ไม่แน่ชัดว่านางจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี่”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “แต่ตามคำให้การของอะหลู กับอะฉ่ายซึ่งเป็นสาวใช้ส่วนตัวของพี่สะใภ้สี่ ตอนที่อะหลูออกไปจากสวนว่าง เป็นตอนที่พี่สี่กับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกำลังโต้เถียงกัน อะหลูจะไปเชิญพี่สะใภ้สี่มาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ แต่ในเมื่ออะหลูเห็นอยู่ชัด ๆว่าตอนนั้นเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจากไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าการทะเลาะวิวาทจบลงแล้ว เช่นนั้นการที่นางบอกว่าอยากคลี่คลายสถานการณ์ ย่อมไม่มีประโยชน์อะไรอีก”
“พระชายาอานเกิดเรื่อง ตอนที่อะหลูมาเชิญให้ออกไปช่วยอ๋องอาน ใช่หรือไม่?” หยวนชิงหลิงเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว
“ใช่ นางพูดอย่างนั้น อะฉ่ายก็พูดแบบเดียวกัน หลังออกจากตำหนักหมิงซินแล้ว อะหลูก็สั่งให้อะฉ่ายไปเชิญกุ้ยเฟยที่ตำหนักให้ไปด้วยกัน มันจำเป็นขนาดนั้นเชียวรึ? ในอดีตหากขุนนางกับราชนิกูลทะเลาะกัน ก็ไม่ควรไปเชิญกุ้ยเฟยมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรอกกระมัง? ในเวลานั้น มีบรรดาเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์มากมายอยู่ในสวนว่าง ทำไมถึงต้องไปเชิญกุ้ยเฟย? หรืออะหลูมีเจตนาบางอย่างที่อยากแยกตัวอะฉ่ายออกไป?”
สีหน้าของหยวนชิงหลิงเริ่มจริงจัง “ความหมายของเจ้าคือ อะหลูอาจเป็นคนร้ายที่ลอบสังหารพระชายาอาน?”
“มีการคาดเดาเช่นนี้ แต่วรยุทธ์ของอะหลูสูงขนาดนี้เลยเชียวหรือ? ในจุดนี้เราไม่รู้เลยจริง ๆ แต่พี่สี่ไม่เคยสงสัยนางมาก่อนเลย จึงคิดว่าอะหลูอาจไม่รู้วรยุทธ์ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พี่สี่ที่ฉลาดถึงขนาดนั้น ก็ไม่น่าจะคาดเดาเจตนาแฝงของอะหลูไม่ออก”
หยวนชิงหลิงพูดทันทีว่า: “แต่นี่สามารถพิสูจน์ได้แค่ว่า อ๋องอานไม่รู้ว่าอะหลูรู้วรยุทธ์หรือไม่ แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอะหลูไม่รู้วรยุทธ์จริง ๆ เพราะบางทีนางอาจปิดบังซ่อนเร้นได้อย่างมิดชิดมากก็เป็นได้? ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “ถ้านางรู้วรยุทธ์จริง ๆ นั่นหมายความว่ามันต้องถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิดมาโดยตลอด ข้าได้ยินหมอหลวงพูดว่า อาการบาดเจ็บของพี่สะใภ้สี่ร้ายแรงมาก ฝ่ามือนั้นส่งผลให้เส้นเลือดที่หัวใจของนางแตก หัวใจและปอดก็เสียหาย”
หยวนชิงหลิงไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก “ไม่ถึงขนาดว่ามีวรยุทธ์ที่สูงมากก็ได้กระมัง? อย่างน้อยพระชายาอานก็ยังไม่ตาย ถ้าหากว่าคนคนนี้มีวรยุทธ์ที่สูงส่งจริง ๆ แค่ฝ่ามือเดียวก็สามารถฆ่านางให้ตายได้แล้ว”
อย่างน้อยนิยายกำลังภายในที่นางอ่านต่างก็เป็นแบบนี้ ฟาดเข้าไปฝ่ามือเดียว คนก็จะกระอักเลือดแล้วตายทันที
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “พี่สะใภ้สี่ไม่ตาย ไม่ใช่เพราะวรยุทธ์ของอีกฝ่ายไม่สูง แต่เป็นเพราะพี่สะใภ้สี่สวมชุดเกราะอ่อนชุดหนึ่งซึ่งทำมาจากด้ายเงิน ฝ่ามือที่อีกฝ่ายฟาดใส่นาง เป็นการหมายชีวิตของนางแน่นอน แต่เพราะเกราะอ่อนตัวนั้น ช่วยรองรับแรงกระแทกส่วนหนึ่งของฝ่ามืออีกฝ่ายเอาไว้ต่างหาก”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เช่นนั้นคนคนนี้ไม่ได้ทำเพื่อระบายความโกรธ แต่มีจุดประสงค์ในการลงมือคือเพื่อฆ่าแต่แรก เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกับอ๋องอานโต้เถียงกันสองสามประโยค ไม่ถึงขั้นต้องฆ่ากันให้ตายก็ได้ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้ว ก็สามารถตัดเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยออกจากการเป็นคนร้ายได้แล้วใช่หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “จากมุมมองของการคลี่คลายคดีนับว่าเป็นเช่นนี้ แต่พี่สี่ไม่มีทางยอมฟังแน่ ตอนนี้เขาไม่มีสติยั้งคิด ทั้งยังปักใจเชื่อว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเป็นคนร้าย จะต้องกัดไม่ปล่อยแน่นอน มีหรือจะยอมฟังผลการวิเคราะห์ในแง่มุมอื่น ? ต่อให้อ้างพระนามเสด็จพ่อไปกดดันเขาก็ยังนับว่ายากเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเผชิญความเจ็บปวดอันใหญ่หลวงจากการสูญเสียภรรยา เสด็จพ่อก็ต้องทรงเห็นอกเห็นใจเขาแน่ กระทั่งเรื่องที่ทำร้ายข้า ก็อาจต้องเลื่อนออกไปพิจารณากันใหม่วันหลังด้วยซ้ำ ”
ตอนที่หยู่เหวินเห้าพูดถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยา เขาก็ถึงกับมีอาการหัวใจกระตุกไปเล็กน้อย หากตอนนี้จะบอกว่าเขาเคยมีความรู้สึกร่วมอะไรบ้างกับอ๋องอาน นั่นก็คือเขาเกือบจะต้องสูญเสียหยวนชิงหลิงไปแล้วนั่นเอง
หลังจากที่ทั้งสองคนต่างเงียบไปครู่หนึ่ง หยวนชิงหลิงก็พูดขึ้นว่า: “อย่าพูดเรื่องนี้เลยนะ นอนพักหน่อยเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าดูอาการเจ้าที่นี่เอง”
หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกเวียนหัวมากจริง ๆ ประกอบกับการอดนอนหลายวันในระหว่างการสืบคดี ร่างกายสุดจะทนได้ไหวจริง ๆ จึงหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง
หลังจากอ๋องอานมาก่อเรื่องอาละวาดที่กรมการพระนครไปยกหนึ่ง ก็กลับไปที่วังอีกครั้งในช่วงกลางดึก
พระราชวังไม่อนุญาตให้เข้าออกในเวลากลางคืน ตอนที่ออกไปประตูวังยังไม่ปิด แต่เมื่อเขากลับมาประตูวังก็ปิดไปแล้ว เขาบังคับใช้กำลังบุกเข้ามา กองทหารรักษาพระองค์รู้สถานการณ์ แต่ไม่อาจหยุดเขาไว้ได้ ทั้งไม่เหมาะจะไปทูลรายงานต่อฝ่าบาท จึงทำได้เพียงปล่อยให้เขาเข้าไปก่อน แล้วค่อยไปรายงานกู้ซือเท่านั้น
อาการของพระชายาอานย่ำแย่มากแล้ว ปลายยามโหย่ว (ช่วงเวลาห้าโมงถึงทุ่ม) นางก็อาเจียนเป็นเลือดไปครั้งหนึ่ง พอยามซวี (ช่วงเวลาทุ่มถึงสามทุ่ม) นางก็อาเจียนอีกครั้ง หมอหลวงบอกว่าอาการของนางแย่มาก บอกให้อ๋องอานเตรียมใจให้ดี
อ๋องอานจึงรวบรวมคน แล้วออกจากวังไปที่กรมการพระนคร เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะฆ่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยให้ตาย ไม่ว่าพระชายาอานจะเป็นอย่างไร เขาก็ต้องให้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยมาตายลงตรงหน้าของนางให้จงได้
หลังจากที่ทำร้ายรัชทายาทแล้ว เขาก็ยังคิดจะฆ่าล้างบางต่ออีก แต่ถูกรัชทายาทตะโกนใส่ไปประโยคหนึ่งว่า “เจ้าอยากให้พี่สะใภ้สี่ก่อนตาย ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้าอยู่ข้าง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
ชั่วขณะนั้น เขาไปถึงจุดสูงสุดของความสิ้นหวังแล้วจริง ๆ
ตอนนี้เมื่อกลับมาที่วัง ลมหายใจของนางก็อ่อนระโหยลงไปทุกที ๆ แล้ว สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษซวนจื่อบนโต๊ะเลยทีเดียว
หมอหลวงยืนอยู่ข้างเตียง ทำได้เพียงส่ายหน้าให้เขา
“ท่านอ๋อง ฤทธิ์ของยาเม็ดจื่อจินกำลังจะหมดลงแล้ว เกรงว่าพระชายาคงจะไม่ไหวแล้วจริง ๆ ขอแสดงความเสียใจกับท่านอ๋องด้วย !”
อ๋องอานคว้าเก้าอี้ตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วขว้างออกไป แผดเสียงคำรามดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง “แสดงความเสียใจอะไรเล่า? นางยังมีชีวิตอยู่แท้ ๆ พวกเจ้ามันเศษสวะใช้การไม่ได้!”
หมอหลวงไม่ได้ถูกขว้างโดน แต่ตกใจจนต้องรีบวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
กุ้ยเฟยมองดูอยู่ข้าง ๆ พลางส่ายหัวด้วยสีหน้าหนักอึ้งเคร่งเครียด
คืนนี้อะหลูอยู่เฝ้าในวัง เมื่อเห็นว่าเขาตัวเปื้อนเลือดกลับมา นางจึงออกไปถามบรรดาผู้ติดตามที่ออกจากวังไปพร้อมกับเขา หลังจากถามแล้ว นางก็เดินกลับมาพูดกับอ๋องอานว่า “ท่านอ๋อง คืนนี้ท่านหุนหันพลันแล่นเกินไปแล้ว ทำไมถึงไปก่อเรื่องใหญ่โตที่กรมการพระนครได้ ”
อ๋องอานเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาดั่งนกล่าเหยื่อ “ทำไม ? ข้าก่อเรื่องไม่ได้รึ?”
อะหลูพูดว่า “ท่านทำอย่างนี้มันไร้สติไร้เหตุผลจริง ๆ ยังถึงกับทำร้ายรัชทายาทอีก ถ้าในเวลานี้รัชทายาทแจ้งข้อหาท่านกระทำการไม่บังควร สถานการณ์ของทางฝั่งเราจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือ? ขอท่านได้โปรดคิดทบทวนให้มาก หากจะทำการใดในอนาคต”
อ๋องอานพูดอย่างเย็นชา: “ไสหัวไปซะ มันยังไม่ถึงตาของเจ้าที่จะมาพูดสั่งสอนข้า!”
อะหลูตกใจจนผงะ ขมวดคิ้วมุ่นขณะมองไปที่เขา ช่วงสองวันมานี้ท่านอ๋องบ้าคลั่งไร้สติเหลือเกินแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่พูดถึงสถานการณ์โดยสรุป เขาก็มักอดทนฟังนางพูดจนจบเสมอ
นางอดไม่ไหว รู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว “ท่านอ๋อง เพื่อพระชายาแล้ว ท่านเริ่มจะสูญเสียสติยั้งคิดไปแล้ว หากว่าพระชายาตายไป ท่านก็จะยอมละทิ้งงานใหญ่ของตัวเองอย่างไม่ไยดีอย่างนั้นรึ? อะหลูทำเพื่อท่านอ๋อง ได้โปรดควบคุมอารมณ์ตัวเองด้วยเถิด อย่าได้ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วในเวลานี้อีกเลยนะเพคะ”