หยู่เหวินเห้าไตร่ตรองคำในประโยค “หม่อมฉันคิดว่า ท่านชายสี่เป็นเพียงคนทำการค้า ไม่ได้มีความทะเยอทะยาน ประกอบเป็นภัยคุกคามไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“คนธรรมดาไม่มีความผิด คนมีทรัพย์สมบัติติดตัวจะดึงหายนะมาสู่ตัว!” ในตาของฮ่องเต้หมิงหยวนมีประกายเล็กน้อย “เขาไม่มีความทะเยอทะยาน แต่เขาสามารถเติมเต็มให้ความทะเยอทะยานของคนอื่นให้สำเร็จได้”
ในใจของหยู่เหวินเห้าตะลึงเล็กน้อย คำพูดนี้ของเสด็จพ่อพูดได้ชัดเจนมาก คือคิดอ้างโอกาสครั้งนี้ใส่ร้ายเขาจากนั้นก็ฆ่าใช่หรือไม่?
เขารีบกล่าว: “เสด็จพ่อ ท่านชายสี่มีความกล้าหาญและจงรักภักดี ก่อนหน้านี้ยังเคยบริจาคเงินให้กับราชสำนัก ท่านลืมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนบีบเอกสารฉบับนั้น มองดูอักษรแต่ละคำในนั้นที่ลอยอยู่ด้านหน้า หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “นี่ก็ไม่ใช่รึไง? เงินของเขา มากจนกระทั่งยังสามารถช่วยเหลือราชสำนักได้ เจ้าห้า เจ้าวางใจ ข้าไม่ได้จะให้เจ้าฆ่าเขา กลับกัน ข้าต้องการรับเขาเป็นลูกเขย ยกหลิงเอ๋อร์ให้แต่งงานกับเขา”
“ห๊ะ?” หยู่เหวินเห้าตะลึงจนกรามแทบจะหลุด
“เรื่องนี้มอบให้เจ้ารับผิดชอบ เจ้าไปพูดโน้มน้าวเขา ทำให้เขาเต็มใจแต่งงานกับหลิงเอ๋อร์ ที่ข้าทำเช่นนี้ เป็นเจตจำนงอย่างแรงกล้า วันหน้าเจ้าก็จะรู้” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวอย่างนุ่มนวล
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ไม่ เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้…….”
แววตาของฮ่องเต้เย็นชาทันที “เจ้าไม่เห็นด้วยอะไร? ข้าถามความคิดเห็นของเจ้าแล้วงั้นหรือ? รีบไปจัดการ เรื่องนี้จำเป็นต้องจัดการให้ข้าด้วยความเรียบร้อย ไม่เช่นนั้นข้ามีวิธีมากมายที่จะเล่นงานเจ้า”
หยู่เหวินเห้าทำได้เพียงรับคำสั่งทูลลาแล้วจากไป
สองสามีภรรยาครอบครัวหนึ่งกลับถึงจวน แฝดทั้งสามถูกกักตัวไว้ในพระราชวังเป็น“ตัวประกัน”อีกแล้ว ไทเฮาเพราะว่าเสียนเฟยตีข้าวเหนียวเล็กน้อย สงสารจนทนไม่ได้ จำเป็นต้องทิ้งพวกเขาไว้ในวังให้ทะนุถนอมอย่างเต็มที่รอบหนึ่งถึงจะอนุญาตให้พวกเขาออกจากวังไปได้
หลังจากที่พวกเขาออกจากวัง เสียนเฟยก็ถูกส่งกลับตำหนักชิ่งหยู โดยหลังจากนั้นไทเฮารับสั่งต่อหกตำหนัก บอกว่าอาการป่วยของเสียนเฟยกำเริบอย่างกะทันหันกระอักเลือดแล้ว พระชายารัชทายาทได้ตรวจแล้ว อาการป่วยรุนแรงเป็นที่สุด
ก่อนหน้านี้ตำหนักชิ่งหยูก็ได้ประกาศเรื่องอาการป่วยของเสียนเฟยออกมาหลายครั้ง วันนี้ครั้งนี้ยังเป็นไทเฮาพูดด้วยพระองค์เองอีก เช่นนั้นทุกคนจึงเชื่อแล้ว
แต่เพราะเสียนเฟยยังอยู่ในการกักบริเวณ สนมวังหลังไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมเยียนได้ ด้วยเหตุนี้ ท่านหญิงแต่ละตำหนักจึงทำได้เพียงบอกให้ข้ารับใช้ในตำหนักส่งของขวัญบางส่วนไปยังตำหนักชิ่งหยู พยายามแสดงน้ำใจอย่างเต็มที่ก็จบแล้ว ท้ายที่สุดก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดรัชทายาท ไม่สามารถดูถูกดูแคลนเกินไปได้
หยู่เหวินเห้าเพิ่งกลับถึงในจวน เหลิ่งจิ้งเหยียนก็มาถึงทันทีแล้ว
ในใจของหยวนชิงหลิงก็ประมาณได้แล้ว โดยปกติแล้วเหลิ่งจิ้งเหยียนจะไม่เข้ามาตอนกลางวัน นอกจากได้รับคำสั่งมา
แม้ว่าเขาจะเป็นจี้จิ่วของกั๋วจื่อเจียน แต่ความเป็นจริงเขาคือเลขาส่วนตัวของฮ่องเต้ หลังจากที่ฮ่องเต้ออกพระราชโองการ หากว่าคนที่รับพระราชโองการไม่เข้าใจไม่ทำตามพระประสงค์ ก็จะให้เลขาเหลิ่งเริ่มออกไปปฏิบัติการทำการพูดเกลี้ยกล่อม
เป็นดังคาด เหลิ่งจิ้งเหยียนพาหยู่เหวินเห้าเข้าห้องหนังสือไปโดยตรง หลังจากวิเคราะห์แยกแยะบลาๆๆยกใหญ่ ทำการสรุป “ฮ่องเต้ทรงไตร่ตรองสิ่งนี้ ก็ไม่ใช่เป็นการตีตนไปก่อนไข้ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คนทำการค้าที่ร่ำรวยมากมายเท่าไหร่ถูกคนที่เล่นด้านการเมืองใช้ประโยชน์และก่อให้เกิดความวุ่นวายภายในไปทั่ว ราษฎรไม่อาจดำรงชีวิตได้? และตั้งแต่ที่ท่านชายสี่ มาที่เมืองหลวง ขุนนางในเมืองหลวงไม่น้อยอ้างเหตุผลนี้ในการใกล้ชิดเขา ในนั้นอาจจะมีคนที่เจตนาไม่ดียากแก่การคาดเดา และอาจจะมีคนของอ๋องอาน อาจจะมีคนของอ๋องจี้ คิดในทางกลับกัน เจ้าหญิงเป็นน้องสาวแท้ๆของท่านองค์ชายรัชทายาท วันหน้าพวกเขาแต่งงานกัน เขาก็คือน้องเขยแท้ๆของท่าน หากว่ามีคนใกล้ชิดเขาทำให้การเมืองวุ่นวายราษฎรไม่สงบสุข อย่างน้อยเขาก็จะไม่ทำเรื่องที่ทำลายผลประโยชน์ของท่านที่เป็นพี่เขยผู้นี้”
หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม: “เหล่านี้ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? เพียงแต่เขาเป็นอาจารย์ของยายหยวน หากว่าหลิงเอ๋อร์แต่งงานกับเขา ก็ไม่ได้กลายเป็นอาจารย์แม่ของยายหยวนแล้วหรือ? นี่ก็ไม่ได้สำคัญที่สุด ที่สำคัญสุดๆคือ หลิงเอ๋อร์อาจจะไม่ยอม และท่านชายสี่ก็อาจจะไม่ยอมน่ะสิ การแต่งงานให้ความสำคัญกับความรักของทั้งสอง ยินยอมทั้งสองฝั่ง!”
เหลิ่งจิ้งเหยียนหัวเราะด้วยความทะนงตัวทันที “ท่านชายสี่ทางนั้นคุยง่าย ตอนนี้เขาไม่ใช่ว่าดูตัวอยู่พอดีหรือ? ท่านเพียงแค่ทำให้เขารู้ว่าพระชายารัชทายาทให้กำเนิดลูกชายสามคน เป็นผลงานความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของท่าน เขาก็จะคิดอย่างละเอียด”
ดวงตาของหยู่เหวินเห้าเคร่งขรึม “ท่านชายสี่ทางนั้นพูดง่าย ตอนนี้เขาปรารถนาเพียงให้กำเนิดลูกชายเพื่อแลกหมาป่าน้อย แต่หลิงเอ๋อร์ทางนั้นล่ะ?”
“ข้าถามท่าน การวางตัวของท่านชายสี่เป็นอย่างไร?” เหลิ่งจิ้งเหยียนเอ่ยถาม
“โง่!” หยู่เหวินเห้าคิดก็ไม่ได้คิด โพล่งออกมาจากปาก
เหลิ่งจิ้งเหยียนค่อนข้างทำตัวถูก “นี่ก็ใช่ แต่นอกจากความโง่นี้แล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าคิดแล้วคิดอีก “เขาผู้นี่น่ะ ความสามารถในการทำงานยังค่อนข้างแข่งขันเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นทรัพย์สมบัติของตระกูลเหลิ่งก็ไม่ได้กระจายไปทุกหัวระแหง อีกทั้งสำนักเหลิ่งหลังก็คงไม่สำเร็จเช่นทุกวันนี้ สำหรับความประพฤติของเขา……จะพูดอย่างไรดีล่ะ คนผู้นี่พฤติกรรมค่อนข้างแปลก แต่จิตใจมีความเป็นธรรม ซื่อสัตย์เป็นที่สุด จิตใจมีเมตตานุ่มนวล พอที่จะนับได้ว่าเป็นคนทำการค้าที่รักประเทศซึ่งดำรงไว้ด้วยความซื่อสัตย์และมีสัจจะทั้งสองอย่าง”
“เช่นนั้นหากว่าเจ้าหญิงต้องการแต่งงาน ส่วนใหญ่จะแต่งกับคนเช่นไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ลูกหลานตระกูลของเจ้าพระยาน่ะสิ”
“คนเหล่านั้นเทียบกับท่านชายสี่แล้วเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วแล้วกล่าว: “ลูกหลานตระกูลเหล่านั้น ก็ไม่ขาดแคลนผู้ที่ก้าวหน้าและโดดเด่น เพียงแค่ส่วนมากเป็นบรรดาลูกผู้ดีมีเงิน ทั้งชีวิตกินคุณงามความดีของบรรพบุรุษ ชีวิตสำมะเลเทเมา ไม่ไตร่ตรองที่จะรับความก้าวหน้า เลอะเทอะไม่รู้เรื่องอะไรไปทั้งชีวิต”
เหลิ่งจิ้งเหยียนหัวเราะแล้วผายมือออก “ดีชั่วเห็นได้โดยพลัน!”
“อายุเยอะไปหน่อย!” หยู่เหวินเห้าจับผิดจู้จี้ทุกอย่างจริงๆ
“แต่เขาหน้าตาดีนี่ ท่านคิดดูหน่อย วันหน้าพวกหลานๆเหล่านั้นของท่าน แต่ละคนผิวขาวดั่งหยกแกะสลักเช่นนั้นเดินไปเดินมาต่อหน้าท่าน ท่านไม่ชอบหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าอดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพนั้น พยักหน้าติดต่อกัน เริ่มยิ้มออกมา “ชอบ ชอบ!”
เหลิ่งจิ้งเหยียนทำสำเร็จแล้วขอตัวไป!
หยู่เหวินเห้าก็ไม่รู้ การตัดสินใจที่ไม่ได้เต็มใจมากนี้ ถึงสุดท้าย จะช่วยเหลือเขาได้มากมาย!
กล่าวถึงท่านชายสี่ที่ล่อลวงพาหมาป่าน้อยกลับจื๋อลี่ไปแล้ว ได้บอกคนมอบเงินสองแสนตำลึงให้จวนอ๋องฉู่ทันที บอกว่าเป็นการเช่าหมาป่าน้อยของเจ้าตัวน้อยทั้งสามมาเล่นยี่สิบสามสิบปี ทุกปีค่าเช่าหนึ่งแสนตำลึง ให้เพิ่มไปอีกหนึ่งปีก่อนเป็นค่าความบริสุทธิ์ใจ
มีบทเรียนของครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เขาเรียนรู้ที่จะฉลาดแล้ว เรียกให้คนหลอมโลหะทำกรงเหล็กขนาดใหญ่สามกรงขังไว้ก่อน แม้ว่าหมาป่าจะมีความสามารถจำทางได้ ออกไปไม่ได้ก็กลับเมืองหลวงไม่ได้
สองสามวันนี้เขาทุ่มเทป้อนเนื้อชั้นดีมาโดยตลอด เริ่มแรกสองสามวัน พวกหมาป่าดีใจจนไม่คิดถึงบ้านจริงๆ แต่ถึงวันที่สาม ก็เริ่มมีความร้อนรนอยู่ไม่สุขเล็กน้อยแล้ว พยายามก่อความวุ่นวายในกรง
ท่านชายสี่เรียกให้คนย้ายกรงไปไว้ที่ห้องนอนของตัวเอง อีกทั้งเพื่อทำให้พวกหมาป่าอยู่อย่างสบาย ยังปูที่นอนที่ล้ำค่าอ่อนนุ่มเป็นอย่างมากไว้ด้านในอีก
เขาเฝ้าพวกหมาป่าทั้งวันคืน ความชอบความโปรดปรานทุกอย่างทุกชนิด ใบหน้าร้อนๆใบหนึ่งแปะติดกับใบหน้าเย็นๆสามใบหน้าของหมาป่า เขาก็ไม่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแม้สักนิด
เขาคิดว่า ความพยายามไม่ทำให้คนที่มีความตั้งใจผิดหวัง เพียงแค่เขามีความอดทนเพียงพอ พวกหมาป่าจะต้องยอมรับเขาเจ้านายผู้นี้
ใครจะรู้ เช้าวันที่สี่ขณะที่เขาตื่นนอน ก็เห็นกรงเสียหายเป็นรูใหญ่ หมาป่าสามตัวทั้งหมดล้วนไม่เห็นแล้ว
หน้าต่างในห้องเปิดกว้าง ลมพัดโชยเข้ามา พัดจนผ้าม่านทั้งห้องปลิวไปมั่ว เขาวุ่นวายอยู่ในสายลม
เป็นไปได้อย่างไร? กรงเหล็กสามกรงนี้ล้วนสั่งให้คนทำขึ้นอย่างประณีต แข็งแรงจนตีให้แตกไม่ได้ หมาป่าจะออกไปได้อย่างไร?
เขาลงมาด้วยเท้าเปล่า พุ่งออกไปเรียกให้คนไล่ตามหมาป่าหิมะ
“ท่านชาย กรงเหล็กนี้ถูกกัดจนพังหรือ?” ผู้ปกปักรักษาที่ชื่อต้าฉุยเข้ามา เห็นลักษณะของกรงนี้ อดไม่ได้ที่จะตะลึงตาค้าง
ท่านชายสี่มองดูร่องรอยของแท่งเหล็กที่ฉีกขาดจากมือทารกที่แข็งแกร่งกำยำเหล่านั้น เหมือนกับถูกของอะไรกัดแทะมาก่อนจริงๆ ยับเหยินไม่เป็นระเบียบ จนกระทั่งยังทิ้งร่องรอยฟันไว้
เขาตกตะลึงแล้ว ในดวงตามีความดื้อรั้นอันแดงก่ำ “ตาม ไล่ตามมาให้ข้า พวกมันทั้งหมดเป็นของข้า ใครก็แย่งไปไม่ได้”