ทางฝั่งของอ๋องฉีนั้นคิดว่าหยวนชิงหลิงสามารถชวนหยวนหย่งอี้ออกมาได้ ฉะนั้นสองวันมานี้เอาแต่ฝึกฝนคำพูดที่จะใช้พูดกับหยวนหย่งอี้อยู่ตลอด
คำพูดหนึ่งประโยค หยุดเว้นช่วงหนึ่งครั้ง สีหน้าก็หนึ่งอย่าง เขาฝึกฝนซ้ำๆ จิตใจตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่ว่า หยู่เหวินเห้าได้สั่งให้คนมาบอกเขาว่า ไม่สามารถชวนหยวนหย่งอี้ออกมาพบหน้าเขาได้ ตอนนี้ทั้งหัวใจของนางได้ทุ่มเทอยู่บนตัวของจอหงวนบู๊แล้ว
เขาได้ยินแล้ว ก็นั่งอยู่ในห้องที่มืดสนิทอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น พี่สะใภ้ห้าเป็นความหวังสุดท้ายของเขาแล้ว และเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาด้วย แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ความหวังกับโอกาสได้ถูกตัดขาดลงในเวลาเดียวกัน
เขาตระหนักอย่างลึกซึ้งว่า บางคนสูญเสียไปแล้วเพิ่งจะรู้ว่าไม่สำคัญ แต่มีบางคนถ้าทำสูญเสียไปแล้ว เพิ่งจะรู้คุณค่า
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ในสมองของเขาเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องทั้งหมดของผู้หญิงทั้งสองคนนี้
ที่จริงเขาได้คิดหาหนทางสุดกำลัง ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกถึงช่วงเวลาที่เขามีความสุขกับฉู่หมิงชุ่ย
แต่ช่วงเวลาอยู่ด้วยกันกับหยวนหย่งอี้นั้น แค่เหม่อลอยคิดถึงเท่านั้น ก็สามารถทำให้เขาลุ่มหลงอยู่ได้เป็นครึ่งวัน เผยรอยยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว
ไม่ช้า ฉู่หมิงชุ่ยก็ค่อยๆเลือนหายไปจากสมองของเขา ที่เขาคิดถึงมากที่สุด ก็คือวันเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับหยวนหย่งอี้
เขาเคยกุมมือของนางเอาไว้ ผิวเนื้อที่นิ้วมือของนางไม่ละเอียดอ่อนเลยสักนิด กระดูกนิ้วมือเย็นและแข็งกระด้าง ตอนที่ชกเข้ามาหนึ่งหมัด จมูกอาจจะหักเอาได้
เขาเคยสังเกตเค้าโครงใบหน้าของนาง ผิวหน้าของนางนุ่มละเอียดสีผิวดูแข็งแรง แทบจะไม่มีตำหนิอะไรเลย ใบหน้าอวบอิ่มชุ่มชื้น ดวงตาสว่างสดใส ในเวลาที่นางยิ้มพราย ทำให้เขาไม่ได้สติอยู่เป็นครึ่งวัน
เขาเคยได้ยินนางร้องเพลง น้ำเสียงกังวานน่าฟัง ร้องเนื้อเพลงได้อย่างชัดเจนแต่ทำนองกลับเปลี่ยนไปหมด ร้องจนนกสาลิกาบนยอดไม้ตาย ร้องจนทำให้นกฮูกที่ตัวดำปี๋ต้องบินหนี เขาปิดหูตัวเองเอาไว้ วิ่งอย่างตื่นตระหนกไปทั่วจวนอ๋องฉี
เขาเคยตกอยู่ในช่วงเวลาที่ตกอับเสียใจ เคยมีนางคอยอยู่เป็นเพื่อน นางเปลี่ยนจากคนที่ก่อนหน้านี้หยาบคายเอาแต่ใจ หันมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ในสายตาสามารถมองเห็นความกังวลที่สุมอยู่ในใจของนางเสมอ
เขาเคยมีสิทธิ์ในตัวนาง ตอนนั้นแค่เขายื่นมือออกไป นางก็ยินดีจะวางมือไว้ในอุ้งมือของเขา พร้อมที่จะร่วมเผชิญกับทุกเรื่องราวบนโลกใบนี้ พร้อมที่จะแบ่งปันความสุขสงบและความเจริญด้วยกัน
เขาตบหน้าตัวเองอย่างแรงหนึ่งที
ต่อมาอีกไม่กี่วัน เขาก็ไปนั่งอยู่ที่โรงชาตรงข้ามบ้านตระกูลหยวน มองหยวนหย่งอี้ที่เดินเข้าออกพร้อมกับจอหงวนบู๊ นางยิ้มอย่างเบิกบาน
“ท่านอ๋อง ท่านอย่ามองอีกเลย พวกเรากลับกันเถอะ ”แม้แต่ผู้ติดตามใกล้ชิดอย่างสือโส่ก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
อ๋องฉีเห็นทั้งสองคนควบม้าจากไปไกลแล้ว ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะตลอดทางที่ผ่านไป จึงค่อยๆเก็บสายตากลับมา ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ที่จริงพวกเราก็เหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านอ๋อง พรุ่งนี้ท่านยังจะต้องเข้าวังไปน้อมคำนับ พวกเรากลับกันเถอะ ” สือโส่เร่งเร้าขึ้นมาอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าอ๋องฉีไร้ชีวิตชีวาไม่มีกะจิตกะใจ การเข้าวังไปน้อมคำนับทุกครั้ง เสด็จแม่ก็เอาแต่พูดเหมือนเดิมทุกครั้ง ว่าจะเตรียมงานฉลองให้เขาเลือกพระชายา
เขาไม่อยากจะแต่งกับหญิงคนอื่นแล้ว ถ้าหากสามารถอยู่ร่วมกับหยวนหย่งอี้ได้จะดีแค่ไหน คงไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลในแล้ว
เสียดายที่ตัวเองทำผิดพลาดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีก
วันรุ่งขึ้นเดินทางเข้าไปในวัง ฮองเฮาฉู่ยังคงพูดถึงเรื่องเดิมๆขึ้นมาจริงๆ
ฮองเฮาฉู่ทาบทับที่หน้าอกเอาไว้ พูดว่า “ช่วงนี้แม่รู้สึกไม่ค่อยสบายนัก กลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันก็กระวนกระวายอย่างไร้สาเหตุ คิดไปคิดมา ตอนนี้ในใจของแม่มีเรื่องที่เป็นห่วงอยู่เรื่องเดียวก็คือเรื่องการแต่งงานของเจ้า รอให้อากาศอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว ดอกไม้ในอุทยานอวี้ฮัวล้วนเบ่งบาน จะจัดงานเลือกสรรพระชายาให้เจ้า ทำให้เรื่องการแต่งงานของเจ้าเป็นจริงโดยเร็ว เจ้าจะได้ไม่ต้องเสียใจเรื่องของชุ่ยเอ๋ออีก”
ได้ยินเสด็จแม่บอกว่ารู้สึกไม่สบาย อ๋องฉีก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา “เชิญหมอหลวงมาตรวจดูหรือยัง”
“มาดูแล้ว ได้ให้ยาสงบจิตใจให้นอนหลับ แต่ก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี ”ที่จริงในหัวใจของฮองเฮาฉู่รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร ตั้งแต่ฮ่องเต้เคยเรียกตัวจางกงกงไป จางกงกงก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร นางคิดว่าจางกงกงคงสารภาพซัดทอดถึงตัวนาง
ทุกครั้งที่นางคิดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องรู้สึกกระวนกระวายกลุ้มใจขึ้นมาเป็นระลอก กลางคืนถ้าไม่ฝันถึงเสียนเฟยที่กรีดร้องต่อนางด้วยเสียงเล็กแหลม ก็ฝันเห็นหยู่เหวินเห้าที่ใช้สายตาเย็นยะเยือกมองมาที่นาง
ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ พอขยุ้มผมก็หลุดร่วงออกมาเป็นกำ เมื่อส่องกระจกก็รู้สึกว่าตัวเองแก่ตัวไปมาก
“แล้วจะให้เชิญเสด็จพ่อมาเยี่ยมท่านหรือไม่”อ๋องฉีถาม
ฮองเฮาฉู่โบกมือสุดแรง สีหน้าก็ขาวซีดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ไม่ ไม่ต้อง ไม่ต้องเลย”
อ๋องฉีเห็นปฏิกิริยาอันใหญ่โตของนาง ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ “ท่านกลัวเสด็จพ่อมากหรือ เสด็จพ่อเคยตำหนิท่านหรือ”
ฮองเฮาฉู่เองก็รู้ว่าตัวเองทำกิริยาตื่นเต้นเกินไป จึงพูดอย่างละอายใจว่า “ไม่ใช่ เสด็จพ่อของเจ้ายุ่งมาก จะให้เขาเป็นกังวลเพราะเรื่องสุขภาพของข้าได้อย่างไร อย่าทำให้เขาตกใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย ”
“บางทีอาจเป็นเพราะเหนื่อยมากเกินไป เรื่องในวัง ท่านก็ให้หวงกุ้ยเฟยช่วยแบ่งเบาภาระท่านบ้าง”
ฮองเฮาฉู่ไม่พูดอะไร เรื่องในวัง ตอนนี้นางยังดูแลอยู่ซะที่ไหนกัน ล้วนเป็นหวงกุ้ยเฟยที่ดูแลอยู่
พอเกิดเรื่องที่เสียนเฟยจับตัวเจ้าหญิงเอาไว้ ฮ่องเต้ก็ยกเลิกอำนาจของนางกับกุ้ยเฟย บวกกับเลื่อนตำแหน่งของหวงกุ้ยเฟย นางยังเป็นเสด็จแม่ของรัชทายาท สถานะของนางแทบจะกดทับนางที่เป็นฮองเฮาเอาไว้แล้ว
“อืม แล้วเรื่องเลือกพระชายาของเจ้า……”ฮองเฮาฉู่มองเขา
อ๋องฉีพูดว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย ผ่านไปช่วงหนึ่งค่อยว่ากันใหม่”
ฮองเฮาฉู่รู้ว่าเขาดื้อรั้น ถ้าหากจะยอมนิสัยของเขาให้เวลาลากยาวออกไป เกรงว่ารอไปอีกสิบปีก็คงไม่มีบทสรุป จึงได้เอ่ยอย่างเด็ดขาดว่า “จะรอไม่ได้แล้ว กลางเดือนหน้าจะเตรียมงานให้เจ้า”
กลางเดือนหน้า เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับงานแต่งงานของหยวนหย่งอี้กับจอหงวนบู๊
อ๋องฉีถอนหายใจเบาๆหนึ่งเฮือก
“จัดการเรื่องการแต่งงานของเจ้าให้เสร็จไวๆ ใจของแม่เองก็จะได้สงบเสียที”ที่ฮองเฮาดูเร่งรีบเป็นพิเศษ ตอนนี้นางรู้สึกว่าถ้าหากมีเรื่องมงคลเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นมาบ้าง อาจชะล้างความสงสัยที่ฮ่องเต้มีต่อตัวนางลงไปได้
สามีภรรยายังสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานเหมือนแต่ก่อน เรื่องของเสียนเฟยไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นางเห็นอ๋องฉียังไม่มีการตอบสนอง ก็อดที่จะพูดอย่างโมโหไม่ได้ว่า “เจ้าแต่งกับใครก็เหมือนกัน เจ้ากำลังคิดถึงฉู่หมิงชุ่ยหรือหยวนหย่งอี้กันแน่ ในเมื่อสองคนนี้เจ้าจะแต่งด้วยไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ฟังที่แม่พูด แต่งกับหญิงดีๆที่มีนิสัยอ่อนโยนมีคุณธรรมรู้หนังสือและมีเหตุผล”
อ๋องฉีมองไปด้านนอกอย่างกลัดกลุ้มใจ ใช่แล้ว ถ้าหากคนที่ต้องแต่งงานด้วยไม่ใช่นาง จะแต่งกับใครแล้วมันจะเป็นอย่างไรไปเล่า
แต่ว่า ขณะที่กำลังจะตอบตกลงเสด็จแม่ ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกว่าอย่างนี้ไม่ดี ในเมื่อใจของเขาไม่ยินดีจะแต่งงาน แต่งกับคนอื่นเข้ามาอยู่ในบ้าน ก็คงต้องถูกเย็นชาเมินเฉย นั่นไม่เท่ากับสร้างหนี้ขึ้นมาอีกก้อนหนึ่งหรือ อย่างไรเสียก็อย่าทำร้ายผู้อื่นเลย
ด้วยเหตุนี้ อ๋องฉีปฏิเสธอย่างอ่อนโยน ทำผิดต่อฮองเฮาฉู่แล้วก็ออกจากวังไป
ในห้องทรงพระอักษร
ปกติแล้วฮ่องเต้หมิงหยวนตรวจฎีกาต่างๆจนถึงเวลายามไฮ่(21.00-23.00น.) ฉะนั้นอาหารค่ำจึงกินที่ห้องทรงพระอักษรเลย หลังจากกินอาหารค่ำแล้ว จะหลับพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักตงหน่วนเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา
มู่หรูกงกงเดินอย่างระมัดระวังและเบาเสียงเข้ามาข้างใน จากนั้นก็ยืนเงียบๆอยู่ข้างกายฮ่องเต้หมิงหวยนรอให้เขาตื่นขึ้นมา
ฮ่องเต้หมิงหยวนนอนไม่หลับ เพียงแค่พักสายตาเท่านั้น ได้ยินเสียงมู่หรูกงกงเข้ามา เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมา “มีเรื่องอะไร”
“เรียนฮ่องเต้”มู่หรูกงกงพูดเสียงเบา “จางหมิงยอมรับสารภาพที่ห้องทอผ้าแล้ว”
“อืม”ฮ่องเต้หมิงหยวนลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มเลื่อนลงไปจากหัวเข่า แววคมกริงในสายตาไหววูบ “สารภาพอะไร”
มู่หรูกงกงพูดว่า“ จางหมิงเจ้าคนชั่วมันบอกว่าฮองเฮาเป็นผู้บงการ ก่อนหน้านี้เขาก็ถูกเสียนเฟยซื้อตัวไว้รับใช้ตลอดมา ยกให้เขาเป็นคนสนิทรู้ใจ ไหนเลยจะรู้ว่าเขาทำงานให้ฮองเฮา ก่อนที่เสียนเฟยจะแทงไทเฮาจนบาดเจ็บ เป็นฮองเฮาที่ให้เขาส่งข่าวไปยังตำหนักชิ่งหยู บอกว่าคนของตระกูลซูได้ตายไปในกองไฟหลายคน และบอกว่ามารดาของเสียนเฟยก็ตายในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ด้วย จึงทำให้เสียนเฟยเสียใจและโกรธมาก จึงได้วิ่งออกมาไล่แทงรัชทายาทกับไทเฮาโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ”