หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ ในใจก็รู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก คิดว่าเสด็จพ่อไม่ควรพูดเช่นนี้กับเจ้าห้า แต่ว่า นางก็อดจะตำหนิเบาๆไม่ได้ว่า เพราะในหัวใจของเสด็จพ่อนั้นก็ทรมานมากจึงได้พูดเช่นนี้ออกมา
การดำรงอยู่ในตำแหน่องที่สูงส่ง ความทุกข์ของเขาใครเล่าจะเข้าใจ เขาสามารถเล่าใครฟังได้บ้าง
หยวนชิงหลิงไม่พูดอะไรเลย ได้แต่กอดเขาเอาไว้
ผ่านไปชั่วครู่ หยู่เหวินเห้าก็ค่อยๆผลักตัวนางออก พูดว่า “ไม่รู้ว่าพวกเขาเข้านอนหรือยัง ข้าอยากจะไปดูเสียหน่อย เมื่อครู่ลงมือหนักไปหน่อย ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วรู้สึกตัวเองเป็นคนเลวจริงๆ ”
ก็เหมือนกับพ่อแม่ที่เมื่อลงโทษลูกเสร็จแล้ว พอจิตใจสงบลง คิดถึงใบหน้าของลูกที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ก็ได้แต่รู้สึกเสียใจและเจ็บปวดใจ
หยวนชิงหลิงมองใบหน้าของเขาที่กระสับกระส่ายและเป็นกังวลของเขา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ แม่นมสี่ได้ให้ลูกกวาดปลอบใจพวกเขาแล้ว ลูกๆมีนิสัยลืมง่าย ประเดี๋ยวก็จำไม่ได้แล้วว่าโดนตี”
“อย่างไรก็ต้องไปดู ไม่ไปดูเสียหน่อยในหัวใจก็ไม่รู้สึกสงบ”หยู่เหวินเห้าพูดแล้วก็ลากตัวนางเดินออกไปข้างนอก “เจ้าต้องตามมาด้วย ไม่เช่นนั้นเจอหน้าข้าคงร้องไห้”
ลูกๆต่างก็ไปที่หอเฟิ่งหยีแล้ว ไปฟังย่าทวดเล่านิทาน
คุณย่าหยวนเป็นคนแก่ที่ฉลาดคนหนึ่ง รู้ว่าควรจะอบรมสั่งสอนเด็กๆอย่างไร ดูอย่างพี่น้องหยวนชิงหลิงก็รู้แล้วว่าถูกนางเลี้ยงดูสั่งสอนมาดีแค่ไหน
คุณย่าหยวนไม่รู้ว่าพวกเขาเพิ่งผ่านการถูกตีมา แม่นมสี่ไม่พูด รู้ว่าฮูหยินเฒ่านั้นรักเด็กๆมาก ฉะนั้น จึงบอกแค่ว่าเมื่อครู่ทะเลาะแย่งของกันจนร้องไห้
ตอนที่สองสามีภรรยาไปถึง คุณย่ากำลังเล่านิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดงอยู่ ทั้งสามคนฟังคุณย่าเล่านิทานอย่างออกรส
“……เจ้าหมาป่าตัวนั้นกินยายของหนูน้อยหมวกแดงเข้าไป แล้วก็ออกมาถึงหน้าห้องของหนูน้อยหมวกแดง แสร้งทำเสียงของยายเรียกให้หนูน้อยหมวดแดงมาเปิดประตู ตอนนี้เอง……”
ซาลาเปาร้องขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “ไม่เปิด เป็นพ่อ พ่อจะกินคน ”
พูดจบ ก็ร้องไห้ขึ้นมา
เมื่อครู่นั้นได้กินลูกกวาดแล้วจึงลืมเรื่องที่ถูกตีไป ปรากฏว่าคุณย่าเล่านิทานเรื่องนี้จนสร้างบรรยากาศที่ตื่นเต้นขึ้นมา เขาก็จำขึ้นมาได้อีกครั้ง
คุณย่านิ่งอึ้ง รีบปลอบใจว่า “เด็กโง่ พ่อจะกินคนได้อย่างไร พ่อนั้นรักลูกๆมาก”
“พ่อตีซาลาเปา”ซาลาเปาร้องไห้อย่างเสียใจมาก ข้าวเหนียวเป็นเด็กขี้แย เห็นพี่ใหญ่ร้องไห้ เขาก็ร้องไห้ตาม
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงยืนฟังอยู่ด้านนอก เขากุมมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้ ถอนหายใจเบาๆหนึ่งเสียง
หยวนชิงหลิงตบมือเขาเบาๆ หมุนตัวเดินเข้าไปช่วยปลอบ แล้วก็เล่านิทานอีกเรื่องจึงกล่อมพวกเขานอนหลับไป
คุณย่าออกมาพร้อมกับหยวนชิงหลิง เห็นหยู่เหวินเห้าที่รออยู่ข้างนอกด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ก็รู้ทันทีว่าที่ซาลาเปาพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง จึงได้มองหยู่เหวินเห้าอย่างอบอุ่นและพูดว่า “ลูกๆยังเด็ก ค่อยๆสั่งสอนกันได้ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่สามารถก่อตัวขึ้นในสถานการณ์ที่เลวร้ายได้ โดยเฉพาะเจ้ามีลูกที่ฉลาดมากถึงสามคน พวกเขาฉลาดย่อมมีความรู้สึกที่ไว ความจำก็ดี ตีหนึ่งครั้งแม้จะสามารถระบายอารมณ์ออกไปได้ แต่จะมีผลร้ายตามมาในภายหลังอย่างไม่สิ้นสุด”
หยู่เหวินเห้าก็รู้ตัวดีว่าลงมือหนักไป “วันหลังข้าจะระวังให้มากขึ้น”
“พวกเขารู้ความมาก ฉลาดมาก เด็กคนอื่นๆถ้าโตเท่าพวกเขา แม้แต่คำว่าพ่อก็คงจะเรียกไม่เป็น เจ้าดูพวกเขาซิ เดินเหิน พูดจา ความคิด ราวกับเด็กสามขวบห้าขวบอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ฉลาดเป็นเรื่องดี ในการอบรมสั่งสอนก็ต้องอดทนมากกว่าเด็กทั่วไปเสียหน่อย ชักนำให้มาก ตอนนี้พวกเขานอนหลับแล้ว เจ้าเข้าไปดูเสียหน่อยเถอะ คาดว่าตีลูกๆแล้ว ในใจเจ้าก็คงจะเสียใจไม่น้อย”
หยู่เหวินเห้าขอบคุณในความมีน้ำใจของคุณย่า ตอนนี้เขารู้สึกทรมานเป็นอย่างมากจริงๆ
เขาเดินเข้าไปอย่างเบาๆ ทั้งสามคนนอนเรียงกันอยู่บนเตียง ใบหน้าที่นอนหลับนั้นบริสุทธิ์ ราวกับสมบัติอันล้ำค่า
ตอนกลางวันแม้จะงอแงทะเลาะกันจนเหมือนปีศาจร้าย แต่เพียงแค่นอนหลับ ก็เหมือนราวกับเทวดาตัวน้อย
ใบหน้าของซาลาเปายังคงแดงอยู่ ขนตาที่งอนยาวมีความเปียกชื้น ในโลกเล็กๆของเขา คืนนี้ได้ประสบพบเจอกับพายุโหมกระหน่ำ บางทีในความฝันของเขาอาจจะฝันถึงการถูกพ่อตีก็ได้
หยู่เหวินเห้าเฝ้าดูพวกเขา เขาไม่รู้ว่าตอนที่พวกเขายังเด็ก เสด็จพ่อเคยฉวยโอกาสตอนที่พวกเขานอนหลับไปแล้วมาแอบดูพวกเขาหรือไม่
ในหัวใจของเขารู้สึกแปลบปลาบเจ็บปวด ค่อยๆถอยออกจากห้องไป
เขาพูดคุยกับหยวนชิงหลิงอยู่ในห้องเป็นเวลานาน ที่จริงทั้งสองคนต่างก็รู้สึกง่วงงุนเป็นอย่างมาก แต่สมองกลับกระตือรือร้นกว่าปกติ
“ที่จริงเสด็จพ่อนั้นรักพี่ใหญ่มาก เป็นลูกคนโต ย่อมต้องการฝากฝังความหวังอันยิ่งใหญ่ วันนี้ตอนอยู่ในคุก เขาบอกว่าเสด็จพ่อเดิมทีก็หมายมั่นปั้นมือจะเลี้ยงดูเขาให้เป็นมกุฎราชกุมาร ตอนนี้ข้ามาคิดทบทวนอย่างละเอียดแล้ว เสด็จพ่อมีความคิดเช่นนั้นจริงๆ บางทีอาจพูดได้ว่าไม่ได้เป็นเพียงความคิด และได้มีการกระทำเช่นนั้นแล้ว ฉะนั้นจึงอบรมสั่งสอนตั้งแต่เด็ก แต่ว่านานวันไปตำแหน่งมกุฎราชกุมารก็ไม่มีการแต่งตั้งเสียที พี่ใหญ่ก็ร้อนใจ ทำเรื่องที่ผิดพลาดมากมายหลายครั้งติดต่อกันทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง ถ้าหากเขายังเป็นเหมือนเมื่อก่อน เอาใจใส่แต่เรื่องการบริหารประเทศและกองทัพ แบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อ บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่ได้รับตำแหน่งรัชทายาทนี้ก็ได้ ”
หยวนชิงหลิงกุมมือของเขาเอาไว้ ทำไมจะไม่ใช่เล่า มองดูชีวิตของอ๋องจี้ในสามสิบปีที่ผ่านมาในฐานะพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้ ขอเพียงเขาไม่รนหาที่ตาย ตามหลักแล้วเขาควรได้รับตำแหน่งอย่างราบรื่น
บางทีที่ทำลายตัวเองนั้น ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นความเลวและความโง่ของตัวเอง
“พรุ่งนี้เจ้าไปที่จวนอ๋องจี้สักหน่อยเถอะ”หยู่เหวินเห้าพูดเช่นนี้กับหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงพูดเสียงเบาว่า “ได้”
แม้จะไม่บอก นางก็ต้องไปอยู่ดี พระชายาจี้เป็นผู้หญิงที่หัวแข็งมากคนหนึ่ง นางยืนหยัดเด็ดเดี่ยวมานาน แต่ว่า ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไร ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ก็มีช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นหยวนชิงหลิงก็พาหมันเอ๋อกับอะซี่ไปที่จวนอ๋องจี้ตั้งแต่เช้า
เมื่อคืนสวีอีได้มารายงานให้ทราบล่วงหน้าแล้ว ไม่มีสิ่งของอะไรให้ต้องจัดเก็บ เพราะเป็นการยึดทรัพย์ นั้นหมายความว่าทรัพย์สินทุกอย่างต้องถูกยึดเป็นของหลวง
เพราะยังมีราชโองการของฮ่องเต้หมิงหยวน ถ้าหากตรวจสอบได้ว่าเป็นการกบฏจริง จะทำการประหารทั้งโคตร ฉะนั้น แม้จะมีการยึดทรัพย์ แต่คนนั้นไม่สามารถจากไปได้ ได้แต่จัดเก็บสิ่งของที่เป็นของส่วนตัวเล็กน้อยเท่านั้น ยังคงต้องอยู่ในจวนต่อไป รอให้การตรวจสอบเสร็จสิ้น รอรับราชโองการสุดท้าย
ตอนที่หยวนชิงหลิงมาถึง พระชายาจี้พาลูกสาวทั้งสองคนกินข้าวเช้าอยู่ในห้องอาหารเหมือนเช่นปกติ
ทั้งสามคนยังคงสวมชุดที่เคยสวมเหมือนเช่นวันวาน เพียงแต่บนศีรษะไม่ได้ประดับประดาด้วยของมีค่า รวบผมขึ้นอย่างเรียบง่าย เด็กสาวแต่งกายเช่นนี้ ย่อมเป็นการตกแต่งจากธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องน่ารักเป็นอย่างยิ่ง
แต่ว่าพระชายาจี้ เลี่ยงไม่ได้ที่จะดูตกอับอยู่หลายส่วน
“คำนับท่านอาสะใภ้”เมิ่งเยว่กับเมิ่งซิงลุกขึ้นมาคำนับหยวนชิงหลิง พระชายาจี้สั่งสอนได้ดี ลูกสาวทั้งสองต่างก็รู้มารยาทมาก
หยวนชิงหลิงมองใบหน้าที่ดูหวาดกลัวของพวกนาง หัวใจของเด็กๆนั้นมีความรู้สึกรับรู้ไว การเปลี่ยนแปลงในจวน พวกนางใช่ว่าจะไม่รับรู้ และยังสามารถรู้สึกได้ถึงอันตรายจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
หยวนชิงหลิงรู้สึกสงสารพวกนางอยู่ในใจ และพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เมิ่งเยว่ เมิ่งซิง พวกเจ้าสองคนยินดีจะไปอยู่ที่บ้านของอาสักระยะหรือไม่”
ลูกสาวทั้งสองต่างก็หันกลับไปมองเสด็จแม่
พระชายาจี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ “ไปเถอะ ไปบ้านอาสะใภ้ของพวกเจ้าช่วยเลี้ยงน้องชายของพวกเจ้า ไม่กี่วันแม่จะตามไป”
ลูกสาวทั้งสองจึงได้ตอบตกลง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ลำบากใจ
พระชายาจี้ได้สั่งให้คนพาพวกนางไปเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง ส่งพวกนางออกไปก่อน เกรงว่าตอนที่มีการค้นบ้านและยึดทรัพย์จะถูกพวกนางเห็นเข้า
หยวนชิงหลิงนั่งลง มองพระชายาจี้อย่างเป็นห่วงกังวล “เจ้ายังสบายดีหรือไม่”
พระชายาจี้ฝืนเรียกกำลังใจให้ตัวเอง“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ถ้าไม่สบายตั้งแต่ตอนนี้ ถึงเวลาจะแบกรับได้อย่างไร”
นางพูดจบ ก็ส่งยิ้มให้กับหยวนชิงหลิง “แต่ว่า ดีที่เสด็จพ่อมีราชโองการ ถ้าหากถูกตัดสินว่าเป็นกบฏจริง ลูกสาวทั้งสองจะไม่ถูกดึงไปเกี่ยวข้องด้วย เพียงแต่คงต้องถูกถอดออกจากตำแหน่งและชีวิตที่มั่งคั่งสุขสบายเท่านั้น”
“เรื่องของพวกนางสองคนเจ้าวางใจได้ ถ้าข้ายังมีข้าวกินอยู่ พวกนางก็มีเช่นกัน ”หยวนชิงหลิงพูด