บัลลังก์หมอยาเซียน – บทที่ 768 ฮ่องเต้เดือดดาลอย่างใหญ่หลวง

บทที่ 768 ฮ่องเต้เดือดดาลอย่างใหญ่หลวง

พระชายาจี้กลับถึงจวนก็ควบคุมตัวคนที่ฉู่หมิงหยางสอดแทรกไว้ในบ้านของนางมาสอบถาม

สาวใช้ผู้นี้ชื่อฉ่ายเตี๋ย ดูเหมือนขุนนางในจวนซื้อกลับมาจากมือของพ่อค้ามนุษย์ เพราะข้างกายของพระชายาจี้คนไม่พอใช้ ดังนั้นขุนนางในจวนจึงสั่งให้มาปรนนิบัตินาง

ตอนนั้นขณะที่ส่งคนเข้ามา พระชายาจี้ก็ได้ตรวจสอบแล้ว นางใช้คนระมัดระวังเป็นที่สุด ดังนั้นจะไม่ใช้ให้ปรนนิบัติดูแลข้างกายอย่างลวกๆ

นางตรวจสอบจนรู้ ฉ่ายเตี๋ยเป็นสาวใช้ที่ฉู่หมิงหยางหามาจากในบ้านของตระกูลฉู่ นางรู้ว่าขุนนางในจวนต้องการไปซื้อสาวใช้จากพ่อค้ามนุษย์ จึงได้ส่งฉ่ายเตี๋ยไปที่พ่อค้ามนุษย์ทางนั้นก่อน หลังจากนั้นก็พลิกหมุนเข้าจวน

ขณะนั้นพระชายาจี้คิดว่าถึงจะทำให้ฉ่ายเตี๋ยจากไปอย่างไร ฉู่หมิงหยางก็ยังสอดแทรกคนเข้ามาต่ออีก ให้นางอยู่ยังดีซะกว่า จะได้หลอกล่อฉู่หมิงหยางง่ายๆ

ขณะนั้นพระชายาจี้ก็ประมาท เพราะนางไม่ได้เห็นฉู่หมิงหยางในสายตาโดยสิ้นเชิง

ฉ่ายเตี๋ยทนการตีไม่ได้ เพียงแค่ตีลงไปไม่กี่ไม้ ก็ยอมรับทุกอย่างแล้ว

นางยอมรับว่าเป็นคนของฉู่หมิงหยาง เมื่อคืนก่อนนางแอบได้ยินพระชายาจี้วางแผนจัดการการขโมยของในห้องหนังสือ จึงไปตระกูลฉู่ทางนั้นแจ้งต่อฉู่หมิงหยาง

พระชายาจี้ไม่ได้ทำโทษฉ่ายเตี๋ย แต่ขังนางเอาไว้ก่อน แล้วสั่งให้คนไปกรมการพระนครแจ้งให้หยู่เหวินเห้าทราบ

หยู่เหวินเห้าฟังจบ การวินิจฉัยเบื้องต้นไม่ผิดแล้ว

เพียงแค่ ฉู่หมิงหยางก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่ง บุคคลแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมดยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด

ดังนั้น เรื่องที่พระชายาจี้วางแผน ต่อหน้าเสด็จพ่อก็จำเป็นต้องปิดบังถึงจะได้

เพียงแค่ ปิดบังเรื่องนี้แล้ว ก็หมายความว่าเมื่อคืนความจริงเพราะห้องหนังสือถูกขโมยของ กรมการพระนครมาถึงได้พบเจอห้องลับโดยบังเอิญ แล้วพบแผนที่ทางการทหารอีก กล่าวอีกอย่าง อ๋องจี้ก็ยังสลัดความเกี่ยวข้องไม่พ้น

หยู่เหวินเห้ากัดฟันจนเลือดออกมาแล้ว การวางหมากของคนผู้นี้ชั่งเก่งกาจจริงๆ มัดปมการเชื่อมต่อทุกชั้น ทำให้คนจำเป็นต้องทำตามแผนการเดินหมากของเขาไปทีละก้าว

ที่ทำให้คนโกรธเป็นที่สุดคือ คนผู้นี้วางแผนทุกอย่างโดยไม่กลัวว่าเขาจะมองทะลุ ทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไรแต่เขาทำได้เพียงเป็นคนใบ้ ครึ่งประโยคก็พูดไม่ได้

กำเริบเสิบสานเช่นนี้ ไม่ทำให้คนโมโหได้อย่างไร?

หยู่เหวินเห้าระงับความโกรธ พาผู้ช่วยเจ้ากรมเข้าวังไปรายงาน

กรมการพระนครรวบรวมสิ่งของจากห้องหนังสือในจวนอ๋องจี้ จำเป็นต้องทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ไม่มีทางปิดบังได้แม้สักน้อย

กรมการพระนครยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากว่าปิดบังแม้สักนิด วันหน้าก็จะกลายเป็นเชื้อไฟ กลายเป็นเชื้อไฟที่คนผู้นี้จะต่อกรกับเขา

ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังการรายงาน แล้วมองดูหยู่เหวินเห้าทูลถวายแผนที่ทางการทหารกับหุ่นคนเล็กๆสองอันนั้นขึ้นมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองเป็นที่สุด เส้นเลือดเขียวที่หน้าผากแทบจะสามารถเห็นได้ว่ากำลังเต้นขยับอยู่

เขายื่นมือไปหยิบแผนที่ทางการทหารออกช้าๆ แล้วปัดหุ่นคนเล็กๆสองอันนั่นตกพื้นทันที มู่หรูกงกงรีบเก็บกวาดออกไป กระทืบเท้า “เอาของเหล่านี้ส่งเข้าวังมาทำให้สายตาของฝ่าบาทสกปรกได้อย่างไร?”

ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ได้พูดจาออกมาอยู่พักหนึ่ง สีหน้าเดือดดาล แววตาเกิดความตกตะลึงโทสะพลุ่งพล่าน หยู่เหวินเห้าและผู้ช่วยเจ้ากรมคุกเข่าบนพื้น ไม่กล้าเปล่งแม้แต่น้อย

ฮ่องเต้หมิงหยวนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง จึงได้มีลมหายใจหนักหน่วงร้อนรนขึ้น “ลูกอกตัญญูนั่นล่ะ?”

เขาบีบสองสามคำนี้ออกมาก้นบึ้งของจิตใจ ลมหายใจหอบขึ้นตาม ราวกับว่าถูกบีบคอไว้แล้วปล่อยอย่างฉับพลัน

หยู่เหวินเห้ากล่าว: “ทูลเสด็จพ่อ คนได้กักขังไว้ที่กรมการพระนครแล้วพ่ะย่ะค่ะ รอพระองค์ลงโทษ พระองค์……ยับยั้งความโกรธนะพ่ะย่ะค่ะ!”

ในใจของหยู่เหวินเห้าตึงเครียดดั่งสายธนู ลมหายใจทุกลมของเสด็จพ่อ ล้วนสามารถทำให้จิตใจของเขาเต้นระรัวตึกตักตึกตัก

ฮ่องเต้หมิงหยวนเดือดดาลจนถึงขีดสุด สีหน้าเขียวจากเดิมกลายเป็นแดงเข้ม แดงจนถึงลำคอ สองมือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะทรงงานก็กำจนกลายเป็นหมัด กล่าวด้วยความโกรธ: “ไต่สวนแล้วหรือ?”

หยู่เหวินเห้าได้ยินในน้ำเสียงของเขานอกจากความโกรธอย่างบ้าคลั่งยังมีความเจ็บปวดอย่างหนักที่ไม่สามารถจะพรรณนาได้ ในใจของเขาก็เจ็บปวดมาก กล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น: “ทูลเสด็จพ่อ ไม่เคยไต่สวนพ่ะย่ะค่ะ กลับเป็นเขาที่เอะอะโวยวายบอกว่าหุ่นคนเล็กๆนั่นเขาเป็นคนทำ แต่ว่า ไม่เคยขโมยแผนที่ทางการทหารมาก่อน”

“บอกให้เขาไปตายซะ!” ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินคำนี้ หมัดหนึ่งต่อยไปที่แท่นฝนหมึกอย่างฉับพลัน น้ำหมึกในแท่นฝนหมึกพลิกคว่ำ กระเซ็นไปทั้งตัวของเขา กระดูกนิ้วมือของเขาก็แตกออกเลือดไหล แต่กลับไม่สนใจ ทุบโต๊ะนั่นต่อด้วยความเดือดดาลถึงขีดสุด “ข้าจะทำเหมือนว่าไม่เคยให้กำเนิดลูกชายคนนี้!”

เขาแหงนมองฟ้า มือทั้งสองข้างห้อยตกลงมาด้วยความเจ็บปวดเป็นที่สุด เลือดหยดลงบนพื้นหินอ่อน ค่อยๆพิงบนพนักพิงบัลลังก์มังกร ทำไมถึงได้มีคนที่ขาดสติเนรคุณชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้? คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิชามนต์ดำมาสาปแช่งพ่อและพี่น้องของตัวเองได้

หยู่เหวินเห้าเห็นเขาเหมือนดั่งราชสีห์ที่หมดหนทางเช่นนั้น ในใจเป็นทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ สะอึกสะอื้นโดยไม่รู้ตัว “เสด็จพ่อทรงระงับความโกรธพ่ะย่ะค่ะ พระวรกายสำคัญ เขา……ไม่คู่ควรจะให้พระองค์โกรธพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ได้เอ่ยวาจาอยู่นาน ไฟโทสะในดวงตาจางไปทีละนิด และไม่มีประกายแม้แต่น้อย

ช้าๆ เขาลุกขึ้นมา โซเซไปสองทีจึงสามารถยืนอย่างมั่นคงได้ ยื่นมือออกแรงค้ำโต๊ะไว้ เขามองดูหยู่เหวินเห้า ค่อยๆประกาศ “ปลดยศอ๋องชินของเขาก่อน ลดขั้นเป็นประชาชน คุมตัวไว้ในคุก ยึดที่ดินทำกินพระราชทานกลับคืนทั้งหมด จวน ค้นและยึดทั้งจวน แล้วสืบเรื่องแผนที่ทางการทหาร หากว่าพิสูจน์และยืนยันว่าเป็นการกระทำของเขา……”

เสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนหยุดชะงักอยู่นาน ดวงตามืดสลัวมองดูมังกรจริงเหินฟ้ามีห้ากรงเล็บฉาบด้วยสีทองชั้นดีบนเสากลมสีแดงในห้องทรงพระอักษร น้ำเสียงแหบแห้งไร้อารมณ์ “หากว่าตรวจสอบเป็นความจริง……ทุกคนในจวนอ๋องจี้ยกเว้นจวิ้นจู่สองคน ประหารทั้งหมด เพิกถอนยศถาบรรดาศักดิ์ของจวิ้นจู่ ลดขั้นเป็นประชาชน เนรเทศออกจากเมืองหลวง แม้ขุนนางที่มีการไปมาหาสู่กับเขา ลดขั้นสามระดับทั้งหมด หากว่ามีสภาพการณ์ร้ายแรงและสืบความจริงได้ว่าเสี้ยมสอน ตัดคอ!”

หยู่เหวินเห้ารับพระราชโองการ ขึ้นหน้าไปพยุงร่างกายที่โซเซเหมือนจะล้มของฮ่องเต้หมิงหยวน กล่าวด้วยเสียงที่เศร้าโศก: “เสด็จพ่อ พระองค์อย่าได้ทรงกริ้วเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูเขา มือที่หนักหน่วงพาดบนข้อมือของเขายืมแรงก้าวออกไปก้าวหนึ่ง มองดูเขาเหมือนมองดูคนแปลกหน้าเช่นนั้น “กริ้ว? เจ้าคิดดูอย่างละเอียด หากอนาคตลูกชายของเจ้าแทบอยากจะควักหัวใจของเจ้า ดึงเส้นเอ็นของเจ้า เฝ้าปรารถนาให้เจ้าตาย เจ้าก็จะเข้าใจว่าข้านี้เจ็บปวดใจมากมายเพียงใด!”

หยู่เหวินเห้าคัดจมูก อดกลั้นไว้สุดๆแต่สุดท้ายก็ยังน้ำตานองแล้ว

ฮ่องเต้หมิงหยวนสั่งพระราชโองการออกไปอีก ให้กรมอาญาและศาลต้าหลี่ปฏิบัติหน้าที่พิจารณาคดีร่วมกับกรมการพระนคร

เป็นลูกชายคิดไม่ถึงว่าจะสาปแช่งพ่อของตัวเอง มีการสาปแช่งด้านหน้า ลักขโมยแผนที่ทางการทหารอยู่ด้านหลัง จะพูดอย่างไรก็คือการก่อกบฏแล้ว

พิจารณาถึงโทษการก่อกบฏต้องยึดทรัพย์และประหารทั้งบ้าน ฮ่องเต้หมิงหยวนเจ็บปวดใจและเดือดดาลเป็นที่สุด กลับยังคงยินยอมให้โอกาสตรวจสำนวนและตัดสินคดีกับเขาอย่างยุติธรรมอีกครั้ง

ตั้งแต่ที่เป่ยถังก่อตั้งราชวงศ์เป็นต้นมา เคยมีอ๋องชินหนึ่งท่านถูกยึดทรัพย์และประหารทั้งบ้าน ทั้งจวนชีวิตคนหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่าคน เหลือไว้เพียงทารกในผ้าอ้อมผู้หนึ่ง ต่อมาแม้ว่าจะพลิกคดีแล้ว แต่กลายเป็นราชวงศ์แล้วใครๆก็จะไม่ไปพูดถึงสิ่งต้องห้าม

หยู่เหวินเห้าออกจากพระราชวัง ควบม้าเดินไปบนถนนใหญ่พื้นดินปูน วันนี้ค่อนข้างเย็นเล็กน้อย เป็นเดือนสองแต่อุณหภูมิกลับเย็นขึ้นมาก ความเย็นยะเยือกชนิดนี้ไม่ใช่ความเย็นแบบลมแรงพัดใบหน้าหิมะกระหน่ำ แต่เป็นความเย็นของฤดูใบไม้ผลิที่ฝังเข้ากระดูก

ทำให้คนค่อนข้างทนไม่ไหวเป็นอย่างมากจริงๆ

พระประสงค์ของเสด็จพ่อและคำพูดสุดท้ายที่พูดกับเขา ล้วนทำให้จิตใจของหยู่เหวินเห้าเป็นทุกข์อย่างถึงที่สุด คดีนี้ไม่มีหนทางที่สามารถพลิกแพลงได้แม้แต่น้อย แต่หากว่ากำหนดโทษการก่อกบฏของพี่ใหญ่แล้ว เช่นนั้นจวนอ๋องจี้ทั้งบ้านนี้……นั่นก็เป็นชีวิตคนนับร้อยเชียวนะ

หยู่เหวินเห้าต้องกลับไปที่กรมการพระนครก่อน แต่ว่า กลับไปด้วยสมองที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายไม่รู้ว่าจะเริ่มจัดการจากตรงไหน

กลับจวน……เขาไม่อยากนำพาอารมณ์ที่ย่ำแย่ในตอนนี้กลับไปด้วย อีกทั้งในจวนมีลู่หยวนและเจ้าเจ็ดอยู่ ก็ไม่สามารถสงบจิตใจได้

สวีอีติดตามเขาอยู่ด้านหลัง รู้ว่าจิตใจของเขาเป็นทุกข์ ก็ไม่ได้ขึ้นหน้าไปรบกวน ทั้งสองคนควบม้าเดินอยู่หน้าหนึ่งหลังหนึ่ง วนอยู่ในเมืองหลวงรอบหนึ่ง

บัลลังก์หมอยาเซียน

บัลลังก์หมอยาเซียน

Status: Ongoing

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง”หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: “ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น”อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: “เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่” หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: “ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท