พระชายาจี้กลับถึงจวนก็ควบคุมตัวคนที่ฉู่หมิงหยางสอดแทรกไว้ในบ้านของนางมาสอบถาม
สาวใช้ผู้นี้ชื่อฉ่ายเตี๋ย ดูเหมือนขุนนางในจวนซื้อกลับมาจากมือของพ่อค้ามนุษย์ เพราะข้างกายของพระชายาจี้คนไม่พอใช้ ดังนั้นขุนนางในจวนจึงสั่งให้มาปรนนิบัตินาง
ตอนนั้นขณะที่ส่งคนเข้ามา พระชายาจี้ก็ได้ตรวจสอบแล้ว นางใช้คนระมัดระวังเป็นที่สุด ดังนั้นจะไม่ใช้ให้ปรนนิบัติดูแลข้างกายอย่างลวกๆ
นางตรวจสอบจนรู้ ฉ่ายเตี๋ยเป็นสาวใช้ที่ฉู่หมิงหยางหามาจากในบ้านของตระกูลฉู่ นางรู้ว่าขุนนางในจวนต้องการไปซื้อสาวใช้จากพ่อค้ามนุษย์ จึงได้ส่งฉ่ายเตี๋ยไปที่พ่อค้ามนุษย์ทางนั้นก่อน หลังจากนั้นก็พลิกหมุนเข้าจวน
ขณะนั้นพระชายาจี้คิดว่าถึงจะทำให้ฉ่ายเตี๋ยจากไปอย่างไร ฉู่หมิงหยางก็ยังสอดแทรกคนเข้ามาต่ออีก ให้นางอยู่ยังดีซะกว่า จะได้หลอกล่อฉู่หมิงหยางง่ายๆ
ขณะนั้นพระชายาจี้ก็ประมาท เพราะนางไม่ได้เห็นฉู่หมิงหยางในสายตาโดยสิ้นเชิง
ฉ่ายเตี๋ยทนการตีไม่ได้ เพียงแค่ตีลงไปไม่กี่ไม้ ก็ยอมรับทุกอย่างแล้ว
นางยอมรับว่าเป็นคนของฉู่หมิงหยาง เมื่อคืนก่อนนางแอบได้ยินพระชายาจี้วางแผนจัดการการขโมยของในห้องหนังสือ จึงไปตระกูลฉู่ทางนั้นแจ้งต่อฉู่หมิงหยาง
พระชายาจี้ไม่ได้ทำโทษฉ่ายเตี๋ย แต่ขังนางเอาไว้ก่อน แล้วสั่งให้คนไปกรมการพระนครแจ้งให้หยู่เหวินเห้าทราบ
หยู่เหวินเห้าฟังจบ การวินิจฉัยเบื้องต้นไม่ผิดแล้ว
เพียงแค่ ฉู่หมิงหยางก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่ง บุคคลแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมดยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด
ดังนั้น เรื่องที่พระชายาจี้วางแผน ต่อหน้าเสด็จพ่อก็จำเป็นต้องปิดบังถึงจะได้
เพียงแค่ ปิดบังเรื่องนี้แล้ว ก็หมายความว่าเมื่อคืนความจริงเพราะห้องหนังสือถูกขโมยของ กรมการพระนครมาถึงได้พบเจอห้องลับโดยบังเอิญ แล้วพบแผนที่ทางการทหารอีก กล่าวอีกอย่าง อ๋องจี้ก็ยังสลัดความเกี่ยวข้องไม่พ้น
หยู่เหวินเห้ากัดฟันจนเลือดออกมาแล้ว การวางหมากของคนผู้นี้ชั่งเก่งกาจจริงๆ มัดปมการเชื่อมต่อทุกชั้น ทำให้คนจำเป็นต้องทำตามแผนการเดินหมากของเขาไปทีละก้าว
ที่ทำให้คนโกรธเป็นที่สุดคือ คนผู้นี้วางแผนทุกอย่างโดยไม่กลัวว่าเขาจะมองทะลุ ทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไรแต่เขาทำได้เพียงเป็นคนใบ้ ครึ่งประโยคก็พูดไม่ได้
กำเริบเสิบสานเช่นนี้ ไม่ทำให้คนโมโหได้อย่างไร?
หยู่เหวินเห้าระงับความโกรธ พาผู้ช่วยเจ้ากรมเข้าวังไปรายงาน
กรมการพระนครรวบรวมสิ่งของจากห้องหนังสือในจวนอ๋องจี้ จำเป็นต้องทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ไม่มีทางปิดบังได้แม้สักน้อย
กรมการพระนครยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากว่าปิดบังแม้สักนิด วันหน้าก็จะกลายเป็นเชื้อไฟ กลายเป็นเชื้อไฟที่คนผู้นี้จะต่อกรกับเขา
ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังการรายงาน แล้วมองดูหยู่เหวินเห้าทูลถวายแผนที่ทางการทหารกับหุ่นคนเล็กๆสองอันนั้นขึ้นมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองเป็นที่สุด เส้นเลือดเขียวที่หน้าผากแทบจะสามารถเห็นได้ว่ากำลังเต้นขยับอยู่
เขายื่นมือไปหยิบแผนที่ทางการทหารออกช้าๆ แล้วปัดหุ่นคนเล็กๆสองอันนั่นตกพื้นทันที มู่หรูกงกงรีบเก็บกวาดออกไป กระทืบเท้า “เอาของเหล่านี้ส่งเข้าวังมาทำให้สายตาของฝ่าบาทสกปรกได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ได้พูดจาออกมาอยู่พักหนึ่ง สีหน้าเดือดดาล แววตาเกิดความตกตะลึงโทสะพลุ่งพล่าน หยู่เหวินเห้าและผู้ช่วยเจ้ากรมคุกเข่าบนพื้น ไม่กล้าเปล่งแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้หมิงหยวนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง จึงได้มีลมหายใจหนักหน่วงร้อนรนขึ้น “ลูกอกตัญญูนั่นล่ะ?”
เขาบีบสองสามคำนี้ออกมาก้นบึ้งของจิตใจ ลมหายใจหอบขึ้นตาม ราวกับว่าถูกบีบคอไว้แล้วปล่อยอย่างฉับพลัน
หยู่เหวินเห้ากล่าว: “ทูลเสด็จพ่อ คนได้กักขังไว้ที่กรมการพระนครแล้วพ่ะย่ะค่ะ รอพระองค์ลงโทษ พระองค์……ยับยั้งความโกรธนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ในใจของหยู่เหวินเห้าตึงเครียดดั่งสายธนู ลมหายใจทุกลมของเสด็จพ่อ ล้วนสามารถทำให้จิตใจของเขาเต้นระรัวตึกตักตึกตัก
ฮ่องเต้หมิงหยวนเดือดดาลจนถึงขีดสุด สีหน้าเขียวจากเดิมกลายเป็นแดงเข้ม แดงจนถึงลำคอ สองมือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะทรงงานก็กำจนกลายเป็นหมัด กล่าวด้วยความโกรธ: “ไต่สวนแล้วหรือ?”
หยู่เหวินเห้าได้ยินในน้ำเสียงของเขานอกจากความโกรธอย่างบ้าคลั่งยังมีความเจ็บปวดอย่างหนักที่ไม่สามารถจะพรรณนาได้ ในใจของเขาก็เจ็บปวดมาก กล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น: “ทูลเสด็จพ่อ ไม่เคยไต่สวนพ่ะย่ะค่ะ กลับเป็นเขาที่เอะอะโวยวายบอกว่าหุ่นคนเล็กๆนั่นเขาเป็นคนทำ แต่ว่า ไม่เคยขโมยแผนที่ทางการทหารมาก่อน”
“บอกให้เขาไปตายซะ!” ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินคำนี้ หมัดหนึ่งต่อยไปที่แท่นฝนหมึกอย่างฉับพลัน น้ำหมึกในแท่นฝนหมึกพลิกคว่ำ กระเซ็นไปทั้งตัวของเขา กระดูกนิ้วมือของเขาก็แตกออกเลือดไหล แต่กลับไม่สนใจ ทุบโต๊ะนั่นต่อด้วยความเดือดดาลถึงขีดสุด “ข้าจะทำเหมือนว่าไม่เคยให้กำเนิดลูกชายคนนี้!”
เขาแหงนมองฟ้า มือทั้งสองข้างห้อยตกลงมาด้วยความเจ็บปวดเป็นที่สุด เลือดหยดลงบนพื้นหินอ่อน ค่อยๆพิงบนพนักพิงบัลลังก์มังกร ทำไมถึงได้มีคนที่ขาดสติเนรคุณชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้? คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิชามนต์ดำมาสาปแช่งพ่อและพี่น้องของตัวเองได้
หยู่เหวินเห้าเห็นเขาเหมือนดั่งราชสีห์ที่หมดหนทางเช่นนั้น ในใจเป็นทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ สะอึกสะอื้นโดยไม่รู้ตัว “เสด็จพ่อทรงระงับความโกรธพ่ะย่ะค่ะ พระวรกายสำคัญ เขา……ไม่คู่ควรจะให้พระองค์โกรธพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ได้เอ่ยวาจาอยู่นาน ไฟโทสะในดวงตาจางไปทีละนิด และไม่มีประกายแม้แต่น้อย
ช้าๆ เขาลุกขึ้นมา โซเซไปสองทีจึงสามารถยืนอย่างมั่นคงได้ ยื่นมือออกแรงค้ำโต๊ะไว้ เขามองดูหยู่เหวินเห้า ค่อยๆประกาศ “ปลดยศอ๋องชินของเขาก่อน ลดขั้นเป็นประชาชน คุมตัวไว้ในคุก ยึดที่ดินทำกินพระราชทานกลับคืนทั้งหมด จวน ค้นและยึดทั้งจวน แล้วสืบเรื่องแผนที่ทางการทหาร หากว่าพิสูจน์และยืนยันว่าเป็นการกระทำของเขา……”
เสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนหยุดชะงักอยู่นาน ดวงตามืดสลัวมองดูมังกรจริงเหินฟ้ามีห้ากรงเล็บฉาบด้วยสีทองชั้นดีบนเสากลมสีแดงในห้องทรงพระอักษร น้ำเสียงแหบแห้งไร้อารมณ์ “หากว่าตรวจสอบเป็นความจริง……ทุกคนในจวนอ๋องจี้ยกเว้นจวิ้นจู่สองคน ประหารทั้งหมด เพิกถอนยศถาบรรดาศักดิ์ของจวิ้นจู่ ลดขั้นเป็นประชาชน เนรเทศออกจากเมืองหลวง แม้ขุนนางที่มีการไปมาหาสู่กับเขา ลดขั้นสามระดับทั้งหมด หากว่ามีสภาพการณ์ร้ายแรงและสืบความจริงได้ว่าเสี้ยมสอน ตัดคอ!”
หยู่เหวินเห้ารับพระราชโองการ ขึ้นหน้าไปพยุงร่างกายที่โซเซเหมือนจะล้มของฮ่องเต้หมิงหยวน กล่าวด้วยเสียงที่เศร้าโศก: “เสด็จพ่อ พระองค์อย่าได้ทรงกริ้วเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูเขา มือที่หนักหน่วงพาดบนข้อมือของเขายืมแรงก้าวออกไปก้าวหนึ่ง มองดูเขาเหมือนมองดูคนแปลกหน้าเช่นนั้น “กริ้ว? เจ้าคิดดูอย่างละเอียด หากอนาคตลูกชายของเจ้าแทบอยากจะควักหัวใจของเจ้า ดึงเส้นเอ็นของเจ้า เฝ้าปรารถนาให้เจ้าตาย เจ้าก็จะเข้าใจว่าข้านี้เจ็บปวดใจมากมายเพียงใด!”
หยู่เหวินเห้าคัดจมูก อดกลั้นไว้สุดๆแต่สุดท้ายก็ยังน้ำตานองแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนสั่งพระราชโองการออกไปอีก ให้กรมอาญาและศาลต้าหลี่ปฏิบัติหน้าที่พิจารณาคดีร่วมกับกรมการพระนคร
เป็นลูกชายคิดไม่ถึงว่าจะสาปแช่งพ่อของตัวเอง มีการสาปแช่งด้านหน้า ลักขโมยแผนที่ทางการทหารอยู่ด้านหลัง จะพูดอย่างไรก็คือการก่อกบฏแล้ว
พิจารณาถึงโทษการก่อกบฏต้องยึดทรัพย์และประหารทั้งบ้าน ฮ่องเต้หมิงหยวนเจ็บปวดใจและเดือดดาลเป็นที่สุด กลับยังคงยินยอมให้โอกาสตรวจสำนวนและตัดสินคดีกับเขาอย่างยุติธรรมอีกครั้ง
ตั้งแต่ที่เป่ยถังก่อตั้งราชวงศ์เป็นต้นมา เคยมีอ๋องชินหนึ่งท่านถูกยึดทรัพย์และประหารทั้งบ้าน ทั้งจวนชีวิตคนหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่าคน เหลือไว้เพียงทารกในผ้าอ้อมผู้หนึ่ง ต่อมาแม้ว่าจะพลิกคดีแล้ว แต่กลายเป็นราชวงศ์แล้วใครๆก็จะไม่ไปพูดถึงสิ่งต้องห้าม
หยู่เหวินเห้าออกจากพระราชวัง ควบม้าเดินไปบนถนนใหญ่พื้นดินปูน วันนี้ค่อนข้างเย็นเล็กน้อย เป็นเดือนสองแต่อุณหภูมิกลับเย็นขึ้นมาก ความเย็นยะเยือกชนิดนี้ไม่ใช่ความเย็นแบบลมแรงพัดใบหน้าหิมะกระหน่ำ แต่เป็นความเย็นของฤดูใบไม้ผลิที่ฝังเข้ากระดูก
ทำให้คนค่อนข้างทนไม่ไหวเป็นอย่างมากจริงๆ
พระประสงค์ของเสด็จพ่อและคำพูดสุดท้ายที่พูดกับเขา ล้วนทำให้จิตใจของหยู่เหวินเห้าเป็นทุกข์อย่างถึงที่สุด คดีนี้ไม่มีหนทางที่สามารถพลิกแพลงได้แม้แต่น้อย แต่หากว่ากำหนดโทษการก่อกบฏของพี่ใหญ่แล้ว เช่นนั้นจวนอ๋องจี้ทั้งบ้านนี้……นั่นก็เป็นชีวิตคนนับร้อยเชียวนะ
หยู่เหวินเห้าต้องกลับไปที่กรมการพระนครก่อน แต่ว่า กลับไปด้วยสมองที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายไม่รู้ว่าจะเริ่มจัดการจากตรงไหน
กลับจวน……เขาไม่อยากนำพาอารมณ์ที่ย่ำแย่ในตอนนี้กลับไปด้วย อีกทั้งในจวนมีลู่หยวนและเจ้าเจ็ดอยู่ ก็ไม่สามารถสงบจิตใจได้
สวีอีติดตามเขาอยู่ด้านหลัง รู้ว่าจิตใจของเขาเป็นทุกข์ ก็ไม่ได้ขึ้นหน้าไปรบกวน ทั้งสองคนควบม้าเดินอยู่หน้าหนึ่งหลังหนึ่ง วนอยู่ในเมืองหลวงรอบหนึ่ง