หยวนชิงหลิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นไม่เข้าใจในความหมายของฮ่องเต้หมิงหยวน ลังเลอยู่ชั่วครู่ “เรื่องนี้ มีแต่ลูกที่เคยดูแผนที่ คนอื่นไม่เคยเห็นมาก่อน ”
“ฮูหยินเฒ่าที่มาจากแคว้นตาโจวที่อาศัยอยู่ในจวนเจ้า เคยเห็นหรือไม่ ”ในสายตาของฮ่องเต้หมิงหยวนมีแววประหลาดใจวาบผ่าน เอ่ยถามขึ้น
หยวนชิงหลิงเดาใจเขาไม่ถูก ส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้ตอบคำถาม
“เคยดูหรือ นางเองก็บอกว่าเป็นของปลอมหรือ”ฮ่องเต้หมิงหยวนถามหยั่งเชิง
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา หยวนชิงหลิงก็เข้าใจความหมายของเขาทันที เขาอาจจะไม่เชื่อคำพูดของนาง แต่ยินดีที่จะไหลตามน้ำเพื่อหาทางออก
แววตาของฮ่องเต้หมิงหยวนนิ่งขรึม พูดต่อไปว่า “ฮูหยินเฒ่าท่านนี้ เป็นคนข้างกายของไทเฮาหลงแห่งแคว้นต้าโจว อาวุธเหล่านี้นางเองก็มีส่วนร่วมในการศึกษาค้นคว้า ใช่หรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่ตอบอะไร ในใจกลับรู้สึกมีความเศร้าเอ่อล้นขึ้นมา คนเป็นลูกอดไม่ได้ที่อยากจะให้พ่อไปตาย แต่คนเป็นพ่อกลับต้องอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดและโทสะคิดวางแผนให้ลูกมีทางรอด ถ้าหากครั้งนี้หยู่เหวินจุนยังไม่รู้จักทำตัวเสียใหม่ เช่นนั้นตายไปก็ไม่น่าเสียดายจริงๆ
“ใช่หรือไม่ใช่ ”น้ำเสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนสูงขึ้นเล็กน้อย
หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาไหลออกมา พยักหน้ารับคำอย่างสะอึกสะอื้น “ใช่เพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองนาง “เจ้าร้องไห้ทำไม”
หยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตาอยู่ชั่วครู่ “ตอนที่เข้าวังมามีทรายเข้าตาเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ยกมือขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “เจ้าไปเถอะ ข้า…… สบายดี”
น้ำตาของหยวนชิงหลิงเอ่อออกมาอีกครั้ง รีบย่อตัวคำนับถอยออกไปทันที
หยู่เหวินเห้าที่รออยู่ข้างนอกเห็นตอนที่หยวนชิงหลิงออกมาดวงตาแดงก่ำไปหมด นึกว่าถูกเสด็จพ่อตำหนิมา จึงถามว่า “เสด็จพ่อไม่เชื่อเจ้า ใช่หรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงมองหยู่เหวินเห้า “เขาไม่เชื่อ แม้แต่คำถามเขายังไม่เคยถาม แต่ว่ากลับให้ข้ากับคุณย่าต่างก็บอกว่าแผนที่ทางการทหารนี้เป็นของปลอม ”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ไม่พูดอะไร จับมือของนางเดินออกไปข้างนอก
ตอนที่ทำการสอบสวนคดีอีกครั้ง หยวนชิงหลิงกับคุณย่าหยวนต่างก็ไปเป็นพยานที่ศาล บอกว่าแผนที่ทางการทหารที่ตรวจยึดมาได้จากจวนอ๋องจี้นั้นเป็นของปลอม
ก่อนขึ้นศาล หยวนชิงหลิงได้บอกเล่าถึงจุดที่แตกต่างให้กับคุณย่าหยวนฟังแล้ว ฉะนั้น ต่อหน้ารองเจ้ากรมอาญาและผู้ช่วยศาลต้าหลี่ที่อยู่ในศาล คุณย่าหยวนล้วนชี้ออกมาทั้งหมด บอกว่าถ้าหากมีการสร้างอาวุธจากแผนที่นี้ ไม่มีทางทำได้สำเร็จแน่ เรื่องรถรบนั้นคุณย่าหยวนพูดค่อนข้างน้อย เพราะหยวนชิงหลิงได้กำชับเอาไว้ นางเองก็ไม่นับว่าเข้าใจมากนัก แต่การสร้างระเบิด คุณย่ายังให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมด้วย ส่วนผสมระหว่างดินประสิวกับกำมะถันล้วนไม่ถูกต้อง ใช้หลักพื้นฐานในการทำประทัดในการคาดคะเนก็รู้แล้วว่าแผนที่นี้เป็นของปลอม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสร้างโครงร่างของระเบิด ไม่มีทางทำอาวุธที่สามารถฆ่าล้างผู้คนได้แน่ กระทั่ง แม้แต่ประทัดก็สู้ไม่ได้
ขุนนางที่เข้าร่วมการสอบสวนในศาลมีไม่น้อย ในบรรดาขุนนางเหล่านั้นมีหลายคนเป็นขุนนางเก่าแก่ที่มีบารมีสูงส่ง และมีบางส่วนเป็นคนที่ใกล้ชิดเชื่อถือของราชวงศ์ เหล่านี้ล้วนเป็นฮ่องเต้หมิงหยวนบัญชาให้พวกเขามาเข้าร่วมการสอบสวน
เดิมทีพวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฮูหยินที่มาจากต้าโจวท่านนี้จะเคยเข้าร่วมการสร้างอาวุธมาก่อน ตอนนี้ได้ยินนางพูดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล เห็นทีจะไม่ธรรมดา
ในเมื่อแผนที่ทางการทหารเป็นของปลอม บวกกับหยู่เหวินเห้าได้เรียกคนในจวนอ๋องจี้มาเป็นพยาน ให้การว่าคืนวันนั้นมีคนลอบเข้าไปในจวนอ๋องจี้จริง เมื่อนำคำให้การทั้งก่อนหน้าและครั้งหลังมาเปรียบเทียบกัน ก็เป็นไปได้ว่าเป็นการโยนความผิดใส่ร้ายกัน
ตลอดทั้งเรื่องนี้ ไม่ได้ดึงฉู่หมิงหยางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เชือกเส้นนี้เป็นเชือกที่ถูกซ่อนเอาไว้ หยู่เหวินเห้าไม่เตะต้องเป็นการชั่วคราว แต่ได้บอกกล่าวกับโสวฝู่ฉู่ ให้โสวฝู่ฉู่จับตาดูนางเอาไว้ ดูว่านางใกล้ชิดกับใครบ้าง
ความจริงของคดีเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ แต่หลักฐานค่อนข้างเอนเอียงไปทางหยู่เหวินจุนถูกใส่ร้าย บวกกับที่สุดแล้วหยู่เหวินจุนก็เป็นโอรสองค์โต ถ้าหากถูกตัดสินโทษเป็นกบฏจนต้องประหารทั้งชั่วโคตร คงจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดของเป่ยถัง
หลังจากที่ขุนนางผู้สอบสวนหลักทั้งสามคนกับเหล่าคณะขุนนางที่ร่วมการสอบสวนปรึกษากันแล้ว ตัดสินใจยอมรับคำให้การเป็นพยานของคุณย่าหยวนกับหยวนชิงหลิง คืนความบริสุทธิ์ให้กับหยู่เหวินจุน
เพียงแต่ แม้เขาจะไม่ได้ขโมยแผนที่ทางการทหารก็จริง คนที่ทำการสาปแช่งอยู่ห้องลับเหล่านั้นไม่อาจล้างมลทินได้ ทรัพย์สินก็ถูกยึดไปแล้ว บ้านก็ถูกอายัดแล้ว เขาเองก็ถูกปลดเป็นสามัญชนทั่วไปแล้ว ทำงานมาตั้งนาน สุดท้ายก็ว่าเปล่าไม่เหลืออะไรเหมือนเอาตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ
เหลือก็แค่ศีรษะที่วางอยู่บนคอเท่านั้น
หยู่เหวินจุนคิดว่าตัวเองต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่ ไหนเลยจะรู้ว่ายังสามารถมีชีวิตรอดเดินออกจากคุกของกรมการพระนครออกมาได้ เพียงแต่ นอกคุกหลวงไม่มีใครมารอต้อนรับเขาเลย แม้แต่ขุนนางที่จงรักภักดีในวันเก่า ก็ไม่มาเยี่ยมดูเขาสักครั้ง
แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่บนศีรษะของเขา เขาลากฝีเท้าที่แสนจะหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี
หยู่เหวินเห้ายังส่งคนให้มาส่งเขากลับไปที่จวนอ๋องจี้ก่อน เขาสามารถนำเสื้อผ้าบางส่วนออกไปได้ แต่ไม่สามารถนำชุดผ้าไหมที่มีราคาสูงไป เอาได้เฉพาะเสื้อผ้าธรรมดาบางส่วนเท่านั้น
ในจวนอ๋องจี้เองก็ได้รับรายงานว่าไม่ได้มีการตัดสินโทษ สามารถแยกย้ายกันไปได้แล้ว ทุกคนต่างก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ไม่ต้องรอให้เทพแห่งความตายมาเยือนอย่างอกสั่นขวัญแขวนอีกต่อไปแล้ว
ฉะนั้น ตอนที่หยู่เหวินจุนกลับมาถึงจวน ก็เห็นบ่าวรับใช้กำลังอำลาพระชายาจี้
ทุกคนต่างคุกเข่าลง ปากยังคงพร่ำเรียกนางว่าพระชายา เพียงแต่ นางยิ้มอย่างเศร้าใจ พูดว่า “ไม่มีพระชายาแล้ว ทุกคนเรียกข้าว่าแม่นางเหยาเถอะ”
คำว่าเหยา เป็นชื่อเล่นของนางก่อนแต่งงาน ราวกับถูกหลงลืมไปนานแล้ว ตระกูลขุนนางที่มีความผิดติดตัว แม้แต่นามสกุลของบ้านมารดานางก็ไม่อยากใช้ หลายปีมานี้ ทำให้บ้านมารดาต้องลำบากไม่น้อย นางอกตัญญู
ทางด้านหรงเยว่ได้ส่งเงินมาให้จำนวนหนึ่ง ตอนนี้สามารถนำมาแจกจ่ายให้พวกเขาเป็นเงินเลิกจ้างได้พอดี ทุกคนต่างก็มารับเงิน แล้วก็ร้องไห้ จากนั้นก็ต่างจากไป
แทบจะไม่มีใครมองเห็นหยู่เหวินจุนเลย ผมของเขากระเซิงยุ่งเหยิง หลบอยู่ที่มุมหนึ่ง หดศีรษะเอาไว้ไม่มองใคร
คนที่กล่าวลาและจากไป ย่อมไม่มีใครสนใจคนที่เหม็นคลุ้งไปทั่วร่างเช่นเขา ได้แต่คิดว่าเป็นคนเร่ร่อนที่ต้องการมาขอข้าวกิน
ใครจะนึกว่าคนที่ตกอับเช่นนี้ จะเป็นอ๋องจี้ที่เคยสง่างามน่าเกรงขามในวันวาน
รอให้บ่าวไพร่ไปกันหมดแล้ว เขาจึงค่อยๆก้าวเข้าเดินเข้าไป
ในจวน แทบจะถูกจัดการจนว่างเปล่าไม่เหลืออะไรแล้ว แม้แต่กิ่งไม้ที่เพิ่งจะมียอดอ่อนแตกออกมาก็ราวกับไร้ซึ่งความสดใส ทุกที่มีร่องรอยของความย่อยยับปรากฏอยู่เต็มไปหมด
พระชายาจี้ ……แม่นางเหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงด้านหน้า มองเห็นหยู่เหวินจุนค่อยๆเดินเข้ามา สายตาของนางมีแววซับซ้อน ใบหน้าที่มีร่องรอยฝ่ามือจากการถูกตบยังไม่เลือนไปทั้งหมด ใบหน้าครึ่งซีกสามารถดูออกว่าบวมขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ได้ทาแป้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ขณะเดียวกันหยวนชิงหลิงกับหรงเยว่ก็เพิ่งจะมาถึง เข้าประตูมาเห็นฉากนี้เข้า ทั้งสองต่างก็ถอยหลังออกไป ยังไม่เข้าไปข้างใน
“ข้ายังไม่ตาย เจ้าผิดหวังล่ะสิ ”หยู่เหวินจุนเงยหน้าขึ้นมองแม่นางเหยา ในสายตายังคงเต็มไปด้วยความโกรธ เขาไม่อาจลืมการทรยศหักหลังของนางได้ ถ้าไม่ใช่เพราะนาง เขาคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
แต่แม่นางเหยากลับดูสงบมาก มองเขาอยู่ชั่วครู่ กลับรู้สึกไม่มีอะไรจะพูด แม้แต่คำพูดนี้ของเขาก็ไม่ยินดีจะตอบ
ข้างเท้านางมีห่อผ้าที่นางได้จัดเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากบ่าวไพร่ต่างก็ออกไปแล้ว นางเองก็จะไปเช่นกัน
ขณะที่นางกำลังยื่นมือไปเอาห่อผ้าขึ้นมา หยู่เหวินจุนกลับพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะว่า “เจ้ารอก่อน ในเมื่อเจ้าทำร้ายข้าก่อน ข้าก็ไม่สามารถเป็นสามีภรรยากับเจ้าได้อีก ข้าจะหย่ากับเจ้า”
พูดจบ เข้าก็วิ่งเข้าไปข้างใน ผ่านไปสักพัก ก็เอาจดหมายหย่าออกมาหนึ่งฉบับโยนไปตรงหน้าแม่นางเหยา สีหน้าเขียวคล้ำพูดว่า “ข้ากับเจ้า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเป็นคนแปลกหน้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก เจ้าไปตายซะเถอะ”
จดหมายหย่าฉบับนั้นร่วงหล่นลงที่เท้าของแม่นางเหยา น้ำหมึกยังไม่ทันแห้ง ลายมือหวัด คำว่าตัดความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นใช้แรงเขียนจนทะลุออกมาทางด้านหลังของกระดาษ ถูกแสงแดดสาดส่อง มองเห็นได้ละเอียดชัดเจนยิ่งนัก
นางก้มตัวลงเก็บขึ้นมา เมฆหมอกอันหนักอึ้งที่อยู่ในแววตาราวกับถูกขับไล่ออกไป เผยให้เห็นความสว่างสดใส “จดหมายหย่าฉบับนี้……”
นางยังไม่ทันพูดจบ หยู่เหวินจุนก็ตัดบทนางด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอร้อง หญิงอสรพิษที่ทำร้ายสามี ข้าจะคงความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาต่อไปได้อย่างไร ผู้คนต่างตีตัวออกห่างจากข้า ไม่เหลือสิ่งใดแล้ว ก็ไม่ยินดีจะเก็บเจ้าเอาไว้ข้างกายข้า”