อ๋องอานกำลังตื่นตระหนก ไม่ทันระวังหรงเยว่ก็ซัดเข้ามา ทำให้เขาไม่ทันหลบ หมัดนี้ของหรงเยว่แทบทำสันจมูกเขาเบี้ยว หลังจากเซไปสองก้าวและยืนได้แล้วก็พุ่งเข้าหาหรงเยว่ทันที “หยุดนะ ข้าไม่ได้ผลักนาง นางล้มเองต่างหาก ถ้าเจ้ายังไม่หยุดข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
หรงเยว่โกรธจนไร้สติ สนใจที่ไหนว่าเขาจะเกรงใจหรือไม่ ขณะจะหวดหมัดเข้าไปซ้ำสอง อ๋องหวยก็มา พูดเสียงหนัก “หรงเยว่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เขารีบเดินขึ้นหน้า ขวางหรงเยว่ไว้แล้วพูด “พี่สะใภ้ห้าสำคัญกว่า เจ้าฝีเท้าไว รีบไปเชิญฮูหยินใหญ่มาเร็ว”
เมื่อนั้นหรงเยว่จึงได้สติ รีบวิ่งไปจูงม้า
อ๋องอานก่นด่าหนัก “ยัยบ้า!”
แต่เมื่อหันกลับมาก็เห็นอ๋องหวยกับอ๋องซุนอยู่ตรงหน้าเขา มองเขาด้วยสายตาโกรธจัด
เขาถุยเลือดออกจากปาก “ยังไง แม้แต่พวกเจ้าก็คิดว่าข้าทำเหรอ? เอาสิ มาเลย มาพร้อมกันนี่แหละ!”
อ๋องซุนอยากลงมือจริงๆ นั่นแหละ แต่อ๋องหวยขวางไว้ก่อน จากนั้นก็พูดเรียบ “พี่รอง เสด็จพ่อกับพี่ห้าจะจัดการเองนั่นแหละ”
อ๋องอานหัวเราะเย็นชา “ข้าบริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แตะต้องนางซักนิด นางล้มเอง ต่อให้อยู่ตรงหน้าเสด็จพ่อ ข้าก็จะพูดแบบนี้ ใครก็อย่าหวังจะใส่ร้ายข้า!”
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นพระชายาอานที่หน้าซีดอยู่ในฝูงชน นางใช้สายตาไม่อยากจะเชื่อมองเขา
“เจ้าก็ไม่เชื่อข้าเหรอ?” อ๋องอานถามนางผ่านอากาศ
พระชายาอานน้ำตาร่วงริน หมุนตัวเข้าห้องไปดูหยวนชิงหลิง ความเด็ดเดี่ยวในดวงตานั้นไม่เคยมีมาก่อน อ๋องอานหวาดหวั่น รีบเดินเข้าห้องไปฉุดมือนางไว้ “ไปกับข้า!”
พระชายาอานสะบัดเขาออก พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านไปเองเถอะ!”
อ๋องอานฉุดมือนางแล้วลากออกนอกห้อง คนในที่นั้นพากันมองแต่ไม่กล้าขวาง อ๋องอานจึงลากนางออกไปทางประตูหลังจวนอ๋อง ด้านนอกมีรถม้ารอรับอยู่แล้ว เขาอุ้มนางขึ้นรถม้าด้วยมือเดียว เมื่อเอาม่านลงแล้วก็พูดด้วยความโมโห “เจ้าไม่เชื่อข้า?!”
พระชายาอานจ้องเขา น้ำตาไหลไม่ขาดสาย เสียงสั่นระริก “เชื่อท่าน? ข้าควรเชื่อคำไหนของท่าน? เชื่อว่าท่านไม่เคยคิดร้ายกับพระชายารัชทายาท? เชื่อว่าท่านไม่เคยอยากได้แผนที่ทางการทหาร? เชื่อว่าคำเท็จเหล่านั้นที่ท่านพูดกับคนอื่น? เชื่อว่าท่านแค่ถูกอะหลูหลอกใช้? ชื่อว่าท่านให้ข้าไปคบหากับฮูหยินจูกั๋วกงนั้นไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝง? เชื่อว่าท่านไม่ได้คบคิดกับท่านชายหงเย่? หรือเชื่อว่าวันนี้จะไม่เกิดเรื่องนี้ ขากลับพระชายารัชทายาทจะไม่ตกอยู่ในมือแม่ทัพใหญ่?”
แต่ละคำราวกับคาดคั้นจิตวิญญาณ ทุกประโยคล้วนทำให้จิตใจอ๋องอานต้องระทึก เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดพึมพำ “ที่แท้เจ้าก็รู้หมด”
นางน้ำตานองหน้า “อย่าคิดว่าข้าโง่สิ! ข้ารู้หมด แต่เพราะรักท่านจึงฝืนมโนธรรมไม่สนใจ วันนี้ทำไมข้าต้องมาให้ได้งั้นเหรอ? ก็เพราะขากลับข้าต้องกลับกับพระชายารัชทายาท หากแม่ทัพใหญ่ลงมือ ข้าก็จะใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน!”
เขาสะเทือนใจหนัก “เพื่อคนนอกคนเดียว?”
“นางเคยช่วยชีวิตข้า นางไม่ใช่คนนอก ท่านจะทำอะไรกับคนอื่นข้าไม่สน แต่ท่านจะทำร้ายนางไม่ได้ นี่เป็นเส้นตายของข้า!” พระชายาอานเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม เปลี่ยนท่าทางที่อ่อนโยนในวันวานเป็นใบหน้ามุ่งมั่น
นัยน์ตาอ๋องอานสับสน “เจ้าเริ่มรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตอนที่ท่านอยู่ในกองทัพ อะหลูอยู่ในจวนพบคนที่คบหาสนิทสนมกับท่านหลายคน พอนางพบคนพวกนั้นเสร็จ รัชทายาทก็ถูกถวายฎีกา ถูกใส่ร้าย ตอนนั้นข้าก็ระวังอะหลูอยู่ เกรงว่านางจะฉวยโอกาสตอนที่ท่านไม่อยู่ก่อเรื่อง ก็เลยให้ที่บ้านช่วยข้าสืบความ แต่ไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแผนการของท่าน!”
อ๋องอานนิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงเย็น “ในเมื่อเจ้ารู้หมด แล้วทำไมไม่พูด?”
ในดวงตาพระชายาอานมีเศษเสี้ยวของความเจ็บปวด “เพราะแม้แต่ข้าท่านก็ยังหลอก ท่านเริ่มปรองดองกับพี่น้อง เริ่มแบ่งเบางานของเสด็จพ่อ เริ่มทำเรื่องที่ไม่เห็นแก่ตัว ข้านึกว่าท่านเปลี่ยนแล้ว ตอนที่ข้าเจ็บหนัก ท่านเคยพูดว่าแผนการทุกอย่างก็เพื่อข้า ข้าบอกว่าข้าไม่ต้องการ ท่านบอกว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก แล้วข้าก็เชื่อ เชื่อทั้งหมด แต่ทำไมพี่รองถึงต้องไปแคว้นซู่? ทำไมถึงเจอกับเรื่องร้าย? ท่านรู้อยู่แก่ใจ! ตั้งแต่พี่รองไปแคว้นซู่ ข้าก็รู้ว่าท่านไม่เปลี่ยนไปเลย แค่เก็บงำซ่อนลึกกว่าเดิมเท่านั้น”
“เพราะงั้นเจ้าถึงยอมให้ข้าไปเสี่ยง? ถ้าข้าไม่ไป เจ้าก็จะโทษข้า?” ในดวงตาอ๋องอานเจ็บปวดรวดร้าว
“ท่านไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้อีก ในเมื่อข้ารู้แล้ว ท่านก็อย่าเห็นข้าเป็นคนโง่อีก ถึงท่านจะไปก็ไม่มีอันตรายอะไรหรอก เพราะนี่เป็นแผนการลับของท่านกับหงเย่ และแผนนี้หงเย่ก็ถวายให้กับฮ่องเต้แคว้นซู่ด้วย อยากให้ฮ่องเต้แคว้นซู่ลงโทษคนของทั้งหกแคว้น ”
อ๋องอานจ้องนาง “ถึงเจ้าจะรู้ความคิดข้า แต่เรื่องพวกนี้ถ้าไม่มีคนบอกเจ้า เจ้าก็จะไม่รู้ ใครเป็นคนบอกเจ้ากันแน่?”
พระชายาอานเงียบปากสนิท
“ใคร?!” อ๋องอานจ้องนางอย่างเย็นยะเยือก บีบคางนาง “คนที่รู้เรื่องพวกนี้มีแต่คนสนิทข้างตัวข้าเท่านั้น เจ้าคบคิดกับใคร? เจ้าคบคิดกับใครฮะ?!”
เมื่อพระชายาอานได้ฟังดังนั้นก็ใจสลาย ตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่ง ร้องไห้เอ่ย “ท่านว่าคบคิดอะไร?”
“เจ้าไม่พูดใช่ไหม? สุดท้ายข้าต้องรู้อยู่ดีนั่นแหละ!” อ๋องอานปล่อยนาง นัยน์ตาโหดเหี้ยมดุดัน ไร้ความอ่อนโยน
รถม้าเคลื่อนตัวอยู่บนถนนแผ่นหิน ล้อหมุนด้วยความเร็ว หรงเยว่ควบม้าแซงตรงไปยังโรงเรียน
ทันใดนั้นบนรถม้าก็มีร่างหนึ่งกระโดดลงมา กลิ้งอยู่กับพื้น เลือดออกเต็มศีรษะแล้วหมดสติ
ฝูงชนพากันกรีดร้องแตกตื่น หรงเยว่หันกลับมามองทีหนึ่งแต่ก็ไม่เห็นอะไร เห็นเพียงรถม้าของจวนอ๋องอานหยุดเท่านั้น นางลังเลแพล็บหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ควบม้าวิ่งต่อ
ณ จวนอ๋องซุน
หมันเอ๋อพาแฝดสามไปเล่นที่ลานด้านหน้า นางหน้าซีดเป็นกระดาษ แต่กลับไม่สามารถให้เด็กๆ ดูออกได้
อ๋องอานได้จัดการให้แขกทั้งหลายทยอยกลับไปแล้ว ถึงทุกคนจะไม่รู้รายละเอียด แต่ก็คิดว่าต้องเกี่ยวกับอ๋องอานแน่
หลังจากหรงเยว่ออกไปแล้ว อ๋องหวยก็เข้าวังเชิญหมองหลวงทันที
แต่ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินใหญ่หรือหมอหลวงต่างก็มาช้า กว่าพวกเขาจะถึงจวนอ๋องซุน หยวนชิงหลิงก็หมดสติไปแล้วหนึ่งชั่วยามเต็มๆ
เนื่องจากร่างกายย่าหยวนไม่ดี ไม่สามารถขี่ม้า จึงได้แต่นั่งรถม้ามา ดังนั้นหมอหลวงจึงมาถึงก่อน
หลังจากหมอหลวงตรวจชีพจรแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน
“เป็นยังไงบ้าง?” พระชายาซุนถามด้วยเสียงร้อนรน
หมอหลวงทำหน้าเศร้า “ชีพจรพระชายารัชทายาทอ่อนมาก แทบจะอยู่ในภาวะหยุดเต้นแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง?!” พระชายาซุนพูดโพล่งออกมาแล้วร้องไห้ “เหลวไหล! ตรวจใหม่! ตรวจใหม่อีกทีซิ!”
อ๋องซุนและอ๋องหวยที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างตื่นตระหนก ไม่ใช่ว่าหกล้มหรอกเหรอ? ทำไมถึงรุนแรงอย่างนี้ได้ล่ะ?
“ไม่ต้องตรวจแล้ว!” หมอหลวงมือสั่น “ชีพจรนี้ หากคนธรรมดาต้องตรวจไม่เจอแน่”
พระชายาซุนผลักเขาออกทันที จากนั้นก็เอามือแตะอยู่ที่ชีพจรของหยวนชิงหลิงไปเรื่อย ร้องไห้เอ่ย “ไม่จริง ไม่จริง ต้องมีชีพจรสิ ต้องมีสิ!”
นางตรวจไม่เป็น และดูไม่เป็นด้วย เป็นแค่ความแตกตื่นร้อนรนเท่านั้น