เหยาฮูหยินถลึงตาใส่อะซี่ “ยังไม่รีบเงียบปากอีก!”
จากนั้นนางก็หันมาพูดกับเสี้ยวหงเฉิง “นางยังเด็กพูดเพ้อเจ้อ อย่าสนใจนางเลย ข้าเชื่อว่าท่านกับองค์รัชทายาทต้องบริสุทธิ์ใจแน่ ใช่ไหม?”
หยวนชิงหลิงไม่คิดว่าฮูหยินเหยาจะถอยเพื่อรุก จึงอดส่ายหน้าหลุดหัวเราะเป็นไม่ได้
เสี้ยวหงเฉิงหอบผ้าชิ้นแล้วหันมามองฮูหยินเหยา สีหน้างุนงง “ชอบองค์รัชทายาท? จะเป็นไปได้ยังไง? มีแต่พระชายานั่นแหละที่ชอบเขาได้”
“นั่นสิๆ น้องห้าเนี่ย ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก” ฮูหยินเหยาก็รู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง จึงรีบพูดเล่นออกไป
เสี้ยวหงเฉิงเอ่ย “แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ องค์รัชทายาทก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือไม่โรแมนติก ทำงานกับเขาน่าเชื่อถือ แต่ถ้าหากอยู่กินด้วยก็น่าเบื่อมาก พระชายาท่านว่าจริงไหม?”
หยวนชิงหลิงยังไม่ทันตอบ อะซี่ก็ค้าน “จะน่าเบื่อได้ยังไง? ข้าว่าองค์รัชทายาทโรแมนติกจะตาย หยอกพี่หยวนให้ขำกลิ้งอยู่เรื่อย”
หยวนชิงหลิงหัวเราะเหอะๆ “อะซี่ เขาหยอกให้ข้าขำกลิ้งเมื่อไหร่กัน?”
“พี่หยวน” อะซี่ถลึงตาใส่ “ผู้ชายของตัวเองก็ต้องปกป้องเองสิ ตอนนี้ข้าก็ไม่ยอมให้ใครว่าสวีอีของข้าเหมือนกันนะ”
เมื่อนั้นหยวนชิงหลิงก็หัวเราะชอบใจ “เอาล่ะ ปกป้องๆ เจ้าห้าก็เป็นคนเก่งเหมือนกัน ไม่แค่ทำงานมีความสามารถ แถมยังอารมณ์ขันมากๆ ด้วย”
เหยาฮูหยินกับเสี้ยวหงเฉิงพากันหัวเราะ มองอะซี่ที่ทำท่างอนตุ๊บป่อง จากนั้นเสี้ยวหงเฉิงก็พูดว่า “สวีอีไม่เลวจริงๆ นั่นแหละ เมื่อก่อนทำงานไม่ค่อยได้เรื่อง แต่สองปีมานี้วรยุทธ์ก้าวหน้ามาก เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ เขาต้องเป็นมือซ้ายแขนขวาให้องค์รัชทายาทได้แน่”
“นั่นสิ สวีอีเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก” ฮูหยินเหยาก็พูดสมทบ
ทว่าอะซี่กลับโบกมือ หัวเราะจนหน้าชื่นตาบาน ถ่อมตนแบบปลอมๆ “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน?”
นางมองเสี้ยวหงเฉิงแล้วเอ่ย “ท่านยังไม่บอกเลย ว่าคนที่ท่านชอบเป็นใคร?”
เสี้ยวหงเฉิงค้อนใส่นาง “เจ้าไม่รู้จักซักหน่อย บอกไปก็ไม่รู้”
“ไม่รู้จัก ท่านก็แนะนำให้พวกเรารู้จักสิ!” อะซี่อยากรู้มากว่าผู้ชายที่เสี้ยวหงเฉิงหลงรักจะเป็นคนอย่างไร
“ไม่บอกๆ!” เสี้ยวหงเฉิงหน้าเลือดฝาด “รีบช่วยข้าเลือกเร็วๆ เถอะ พับไหนดี? ปิ่นปักผมด้วย ที่เป็นหยกประดับทองเป็นไง? ”
ทั้งสามมองเป็นตาเดียว จากนั้นก็เฮอะพร้อมกัน “แก่!”
เมื่อฮูหยินเหยากับอะซี่เดินออกไปแล้ว ก็เหลือเสี้ยวหงเฉิงอยู่คุยกับหยวนชิงหลิงตามลำพัง
เสี้ยวหงเฉิงเอ่ย “วันนี้ที่อะซี่ถาม ทำให้ข้าคิดว่าหรืออาจทำให้เจ้าเข้าใจผิด ข้ากับองค์รัชทายาทไปมาหาสู่กันบ่อยจริง แต่เพราะเขาเป็นผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น ข้าก็เลยเลือกเข้าฝ่ายเขา ทำงานให้เขา อีกอย่าง พวกเราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี ระหว่างเราไม่มีความคิดเช่นนั้น”
หยวนชิงหลิงมองนาง แล้วพูดจริงจัง “ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้ากับเจ้าห้ามีอะไรกัน เจ้าวางใจเถอะ ไม่ต้องสนใจว่าใครจะพูดอะไร”
เสี้ยวหงเฉิงโล่งอก “ตอนแรกข้าไม่ชอบเจ้าก็จริง เพราะสาเหตุที่พวกเจ้าแต่งงานกันเป็นเรื่องที่น่าอาย ลบหลู่ชื่อเสียงของเขา หลังจากพวกเจ้าดีกันแล้วอีกนาน ข้าก็ยังค่อนข้างเย็นชากับเจ้า แต่นั่นเป็นเมื่อก่อน ตั้งแต่ผ่านเรื่องที่เขาโรคเรื้อน ข้าก็เปลี่ยนทัศนคติกับเจ้าใหม่”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “เรื่องจวนเจ้าหญิงก็ผ่านไปแล้ว ตอนนั้นข้า…ยังเด็กไม่รู้ความมั้ง แถมยังเพราะเรื่องภายนอกอีก ก็เลยทำเรื่องแบบนั้น รู้สึกผิดจริงๆ”
ทว่าเสี้ยวหงเฉิงกับเอียงศีรษะคิด “ที่จริงก็ว่าอย่างนั้นไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นยังเด็กไม่รู้ความ วันนี้คงไม่ทำให้องค์รัชทายาทมีความสุขขนาดนี้แน่ ที่จริงพวกเจ้าเหมาะสมกันมากนะ เชื่อใจกัน รักมั่นต่อกัน น่าอิจฉาพวกเจ้าจริงๆ”
เมื่อนางพูดถึงขั้นนี้แล้ว หยวนชิงหลิงจึงอดถามแบบอยากรู้เป็นไม่ได้ “แล้วคนที่เจ้าชอบ เป็นคนยังไงเหรอ?”
“องค์รัชทายาทเคยเล่าเรื่องของข้ากับเจ้าไหม?” เสี้ยวหงเฉิงถาม
“เคยเล่าบ้าง แต่…เขาก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน”
เสี้ยวหงเฉิงพยักหน้า “เขาไม่ค่อยรู้จริงๆ นั่นแหละ ที่จริงเรื่องนี้นะ ข้าเก็บไว้ในใจอึดอัดจะแย่ อยากหาคนคุยด้วย ไม่ทราบว่าพระชายารัชทายาทจะสนใจฟังข้าพูดหรือไม่?”
“แน่นอน! ข้ายินดีที่จะเป็นคนฟัง” หยวนชิงหลิงพูด
เสี้ยวหงเฉิงถอนหายใจเบา “ข้าเคยชอบคนหนึ่งมาก แต่เพราะตระกูลของเขาก็เลยต้องแต่งกับผู้หญิงที่เขาไม่ค่อยชอบ จากนั้นข้าก็เลยตัดขาดกับเขา แต่ไม่กี่วันมานี้เขามาหาข้า บอกข้าว่าฮูหยินเขาเสียแล้ว ข้า…พูดอย่างใจดำเลยนะ พอข้าได้ยินข่าวนี้ก็ดีใจมาก…”
หยวนชิงหลิงมองนาง “ฉะนั้น…เขามาขอคืนดีกับเจ้า?”
“เขาคิดอย่างนั้นแหละ ส่วนข้าก็ยังชอบเขาอยู่ ตั้งตารอคอยว่าจะได้พบกับเขา แต่ที่จริงพอได้เจอแล้วข้ากลับรู้สึกแปลกๆ ตอนนั้นพวกเราจะคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว แต่เขากลับไปแต่งกับคนอื่น ข้าวางไม่ลงในจุดนี้ นี่ข้าหาเรื่องไร้เหตุผลไปหรือเปล่า?”
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เห็นแก่ตัวอยู่หน่อยๆ ไม่กล้าเผชิญหน้า ในเมื่อตอนนั้นจะขอเสี้ยวหงเฉิงแต่งงาน แต่กลับไปแต่งกับอีกคนเพราะชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ตอนนี้พอคนนั้นตายแล้ว ก็กลับมาหาเสี้ยวหงเฉิงอีก เห็นนางเป็นอะไรกัน?
แน่ล่ะ ก็พูดได้ว่าเขาเสียใจกับการตัดสินใจแต่งงานผิดคนในตอนนั้น ตอนนี้อยากจีบคนที่ตนชอบจริงๆ นี่ก็ว่าไม่ได้ ใครๆ ก็ตัดสินใจผิดพลาดได้ทั้งนั้น
“ข้าไม่รู้จักผู้ชายคนนั้น ก็เลยให้ข้อเสนอแนะอะไรเจ้าไม่ได้ ได้แต่เป็นผู้ฟังเท่านั้น” หยวนชิงหลิงพูด
เสี้ยวหงเฉิงคิดหนัก “เขา…เป็นคนยังไงน่ะเหรอ? เมื่อก่อนข้าอาจมั่นใจได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว เขาจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า เจ้าก็ไม่รู้ อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ข้ายังได้ยินมาว่าคนในสำนักของเขาเข้าฝั่งอ๋องอานด้วย”
“หือ?” หยวนชิงหลิงชะงัก
เสี้ยวหงเฉิงกล่าว “ข้าเคยถามเรื่องนี้กับเขา เขาบอกว่าเขาไม่ยุ่งเรื่องราชสำนัก ก็เลยลงโทษคนที่เข้าฝ่ายอ๋องอานแล้ว ตอนหลังข้าก็ให้คนไปสืบอยู่เหมือนกัน จัดการขับออกจากสำนักแล้วจริงๆ”
หยวนชิงหลิงมองหน้าตาที่ครุ่นคิดของนาง ท่าทางเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ เสี้ยวหงเฉิงเป็นคนมีสติมาตลอด แต่พอผู้หญิงได้เจอกับเรื่องความรักแล้วก็แยกแยะและคงสติไว้ได้ไม่เต็มร้อย
หากบอกว่าชายคนนี้มีจิตใจคิดคด เสี้ยวหงเฉิงก็อาจแยกแยะไม่ออก
“ช่วงนี้ที่เจ้าแต่งตัว ก็เพื่อเขาละสิ?” หยวนชิงหลิงถาม
“ใช่ ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองหลวง พักอยู่ที่โรงเตี้ยมฝูหลาย” เสี้ยวหงเฉิงพูด
“ไม่รู้ว่าสะดวกเชิญมาเป็นแขกที่จวนอ๋องไหม?” หยวนชิงหลิงอยากเห็นผู้ชายคนนี้กับตา สังเกตดูอาจได้พบเบาะแสอะไร หากเขามีใจคิดคดจริง ไม่ว่าจะแสดงละครเก่งแค่ไหนก็ต้องเผยความผิดปกติออกมาจากสีหน้าบ้าง
เสี้ยวหงเฉิงเอ่ย “ข้าจะลองถามเขาดู ถ้าเขายอม ข้าก็อยากพามาให้องค์รัชทายาทดูด้วย อีกอย่าง เขากับองค์รัชทายาทก็รู้จักกันมาก่อน”
“อีกวันสองวันเขาคงกลับมาแล้ว เจ้านัดเวลามาเถอะ” หยวนชิงหลิงพูด
ก่อนหน้านี้นางไม่ใช่คนขี้ระแวงสงสัย แต่คนที่เสี้ยวหงเฉิงชอบโผล่มาได้เวลาประจวบเหมาะ พอข่าวบุตรีอ๋องหนานเจียงปรากฏในเมืองหลวงแพร่สะพัดออกไป เขาก็โผล่มาทันที แน่นอนว่าอาจไม่เกี่ยวโยงกัน แต่…ระวังไว้ก่อนเป็นดี