หยวนชิงหลิงจำต้องถามไป “ที่จริงตอนนั้นเขาก็เคยทิ้งเจ้า แล้วทำไมเจ้ายังเอาแต่คิดถึงเขาล่ะ?”
ดวงตาเสี้ยวหงเฉิงแฝงความเศร้า “เขาก็ถูกบีบจนจนตรอกเหมือนกัน เรื่องแต่งงานเขาตัดสินใจเองไม่ได้ เขาเคยบอกข้า ว่าใจเขามีข้าเพียงคนเดียว ที่ต้องแยกทางเขาก็เสียใจมากเหมือนกัน”
เสี้ยวหงเฉิงไม่ได้บอกฐานะของผู้ชายคนนี้ แต่ก่อนหน้านี้เหมือนเคยได้ยินเจ้าห้าเล่าให้ฟัง ว่าผู้ชายคนนั้นมีตำแหน่งอยู่ในยุทธภพ ถึงหยวนชิงหลิงจะไม่รู้เรื่องในยุทธภพ แต่ทุกสาขาอาชีพล้วนมีผู้นำทั้งนั้น ในเมื่อมีฐานะสูงส่งในยุทธภพ เช่นนั้นเขาไม่จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของคนในตระกูล ตัดสินใจเองก็ได้
อีกอย่าง จากที่เสี้ยวหงเฉิงเล่ามาว่าตอนนั้นพวกเขาพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว หรือก็หมายถึงผู้ชายคนนี้ทรยศเสี้ยวหงเฉิงไปแต่งกับผู้หญิงคนอื่น สำหรับความจำเป็นที่เขาพูดกับเสี้ยวหงเฉิง เรื่องพรรค์นี้ไม่คุ้นหูเหรอ? ก็คือผู้ชายเลวๆ ไง!
อีกอย่าง นางคิดว่าใจเขามีนาง ถึงจำใจต้องแต่งงานกับหญิงอื่น แต่เขาก็น่าจะตัดความสัมพันธ์กับเสี้ยวหงเฉิงให้เด็ดขาด ไม่ใช่มาแสดงท่าทางว่าเสียใจมาก ทำให้นางยังคิดถึงเขาจนถึงทุกวันนี้
นี่เป็นรักที่ไหนกัน? เป็นการทำร้ายชัดๆ!
ถ้าเป็นคนอื่น บางทีหยวนชิงหลิงอาจไม่ถามไม่ยุ่งมาก ที่จริงแล้วความรู้สึกและการเลือกของแต่ละคนไม่ใช่เรื่องที่ใครก็เข้าแทรกได้ แต่เสี้ยวหงเฉิงไม่เหมือนกัน สำนักเหมยแดงของนางทำงานให้เจ้าห้า แล้วเจ้าห้าก็เชื่อถือนางมากด้วย แผนการกับคนด้านนอกทั้งหมดรวมถึงเบาะแสทุกอย่างก็บอกนางจนสิ้น หากนางเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นต้องเป็นจุดถึงฆาตได้แน่
เสี้ยวหงเฉิงเลือกผ้าชิ้นแล้วให้คนตัดเย็บในจวน บอกว่าอีกสองสามวันจะมาเอา ตอนนางจากไป หยวนชิงหลิงเห็นความคาดหวังและความระรื่นจากดวงตานาง ราวกับรอคอยมาแสนนาง ในที่สุดก็มาถึงสักที
นี่ทำให้หยวนชิงหลิงยิ่งกังวล
ซาลาเปาไปยุคปัจจุบันมาหนหนึ่งแล้ว พอกลับมาก็บอกเล่าคำพูดของเจ้าอาวาส บอกว่าเซลล์สมองของนางกำลังค่อยๆ เพิ่ม แต่ตอนนี้ยังอยู่ในสัดส่วนที่สมเหตุสมผล จากนั้นก็ให้ซาลาเปาถามสภาพการณ์ของนางแล้วกลับไปบอกเขา
นอกจากอาการจากการตั้งครรภ์แล้ว หยวนชิงหลิงก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก กินนอนได้หมด
แต่…ตอนกลางคืนอาบน้ำ เนื่องจากท้องใหญ่มาก หมันเอ๋อจึงคอยประคองอยู่ข้างๆ พอเห็นส่วนท้องของนางแล้วก็ประหลาดใจ “พระชายา ทำไมแผลเป็นที่ท้องหายไปแล้วล่ะเพคะ?”
หมันเอ๋อเคยปรนนิบัติสวมชุดทางการให้นาง จึงเคยเห็นแผลเป็นที่ท้องนางหลายครั้ง
หยวนชิงหลิงก้มหน้าแต่มองไม่เห็น จึงเอามือลูบๆ ไม่รู้สึกถึงแผลเป็นจริงๆ “ข้าส่องกระจกหน่อย”
หมันเอ๋อหอบกระจกทองเหลืองมา แล้วยืนห่างจากหยวนชิงหลิงสองเมตร เห็นตำแหน่งที่หยวนชิงหลิงลูบอยู่ ไม่มีแผลเป็นจริงๆ หรืออาจพูดได้ว่าเหลือแค่รอยจางๆ เท่านั้น หากไม่มองให้ดีก็มองไม่ออก
“แปลกจริงๆ!” หยวนชิงหลิงประหลาดใจ ที่จริงตอนที่นางผ่าแฝดสามออกมาก็ยากจะตั้งท้องในสองปีอีก แต่ในเมื่อตั้งท้องแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าให้นางเลือกตั้งท้องที่สอง ก็คงต้องให้แฝดสามคนนั้นอายุเลยห้าขวบไปแล้ว
ผิวที่แผลเป็นกลับสู่สภาพเดิมแล้ว หรือว่ามดลูกก็คืนสภาพแล้วเหมือนกัน?
หมันเอ๋อดีใจมาก “พระชายา ถึงตรงนี้คนอื่นจะมองไม่เห็น แต่ไม่มีแผลเป็นยังไงก็ดีกว่านะเพคะ”
หยวนชิงหลิงฝืนยิ้ม “ก็ดีจริงๆ นั่นแหละ แต่มันหายไปได้แปลกมาก”
“หรือว่าเครื่องหอมที่ใช้อาบน้ำของท่านจะมีผลลบเลือนแผลเป็นเพคะ?” หมันเอ๋อถาม
หยวนชิงหลิงจึงถามขึ้นอีก “เครื่องหอมนี้ซื้อมาจากไหนเหรอ?”
“แม่นมสี่ทำเองเพคะ” หมันเอ๋อวางกระจกลง แล้วมาช่วยหยวนชิงหลิงสวมเสื้อผ้า
หยวนชิงหลิงคิดแล้วคิดอีก คิดว่าไม่น่าจะเป็นเพราะเครื่องหอมอาบน้ำ แต่ก็ยังให้หมันเอ๋อไปเรียกแม่นมสี่มาสอบถาม
พอแม่นมสี่ได้ยินที่หยวนชิงหลิงถามถึงเครื่องหอมแล้วก็ว่า “เครื่องหอมนี้ทำจากนมวัว เพิ่มกลีบดอกกุหลาบกับตั๊กแตนน้ำผึ้ง ไม่มีอย่างอื่นเพคะ ตามหลักแล้วลบรอยแผลเป็นไม่ได้ แต่เห็นว่านมวัวทำให้ผิวขาว หรือว่าเพราะนมวัวทำให้เป็นเช่นนั้นเพคะ?”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “คงเพราะนมวัวล่ะมั้ง”
แต่หยวนชิงหลิงรู้ว่าไม่ใช่เพราะนมวัวแน่ หากพูดกันตามจริง แช่นมวัวไม่แน่ว่าจะทำให้ผิวขาวลบรอยแผลเป็น ตั๊กแตนน้ำผึ้งกับกลีบดอกกุหลาบก็ไม่มีผลแบบนี้ด้วย ตั๊กแตนน้ำผึ้งถ้าขจัดน้ำมันทำยาก็พอมีฤทธิ์ลดการอักเสบดับร้อนได้ แต่ถ้าใช้กับภายนอกก็แค่ทำความสะอาดเท่านั้น
หยู่เหวินเห้ากลับมาถึงเมืองหลวงในช่วงกลางวันของอีกวันหนึ่ง ตลอดทางที่ขี่ม้า เดิมทีก็ไวอยู่แต่ท่านนักพรตดูจะอ่อนแอมาก ขี่ม้าไม่ได้จึงต้องนั่งรถม้าแทน และเพราะอย่างนี้จึงเสียเวลาในการเดินทาง
ที่แย่ที่สุดก็คือนักพรตฟางหยวนยังเมารถม้าอีก ลงรถมาก็อาเจียนหนัก สวีอีพยุงเขาเข้าไปพักผ่อน ท่าทางคงเป็นปกติในเวลาอันสั้นไม่ได้
พอหยวนชิงหลิงได้ยินหยู่เหวินเห้าพูดแบบนี้แล้วก็พูดขึ้น “แบบนี้ทรมานคนแก่เกินไป น่าสงสารออก”
“เขาไม่แก่สักหน่อย ดูยังหนุ่มกว่าเสด็จพ่ออีก” หยู่เหวินเห้าถอดชุดคลุมแล้วกลับมานั่ง
“ไม่มั้ง? ยู่ซวีดูท่าก็หลายสิบแล้ว ปรมาจารย์อาของยู่ซวี…นั่นห่างกันสองรุ่นเชียวนะ” หยวนชิงหลิงตะลึง
หยู่เหวินเห้าบีบคาง พูดอย่างมีความใน “เพราะงั้นข้าถึงไม่รู้ว่าเอาของปลอมมาหรือเปล่านะสิ”
“ถ้าเป็นของปลอม งั้นก็หาที่แก่หน่อยมาสวมสิ”
“ก็จริง!” หยู่เหวินเห้ายักไหล่ “จะจริงหรือไม่ ไว้เจ้าถามก็รู้เอง บางเรื่องเขาหลอกข้าได้แต่หลอกเจ้าไม่ได้”
หยวนชิงหลิงเอาผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้เขา แล้วเทน้ำให้เขาอีกแก้ว “เหนื่อยแย่เลยสิ?”
“มีอะไรให้เหนื่อยกัน? ตอนอยู่เมืองเม่าไม่นอนสามวันสามคืนก็ผ่านมาแล้ว” หยู่เหวินเห้าโยนผ้าขนหนูแล้วประคองนางนั่งลง จากนั้นก็เอาใบหูแนบท้อง “นังหนูปุ๊กลุ๊กก่อกวนไหม?”
“ไม่เลย” หยวนชิงหลิงลูบแก้มของเขา แล้วแลมองล่าง “เจอหงเย่มาแล้วหรือยัง?”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาควบแน่นความโกรธ “เจอแล้ว! มันเป็นไอ้สารเลว ยังพูดต่อหน้าข้าอีกว่าจะแย่งเจ้า!”
หยวนชิงหลิงตะลึงเล็กน้อย “เขาพูดอย่างนี้จริงเหรอ?”
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นนั่ง พูดด้วยความเย็นชา “ใช่! โอหังนัก!”
หยวนชิงหลิงกลับรู้สึกแปลก “เจ้าคิดว่าทำไมหงเย่ถึงพูดแบบนี้? ถึงเขาจะคิดอย่างนี้จริง แต่ทำไมถึงพูดออกมาล่ะ? เบ่งบารมี? ประกาศสงคราม? หรือจงใจยั่วโมโหเจ้า? เรื่องพวกนั้นเขาวางแผนรัดกุมหนักหนา ดูอดกลั้นใจเย็นมาก ถ้าจุดประสงค์ของเขาคือข้าจริงก็คงไม่พูดกับเจ้าอย่างนี้หรอก”
นัยน์ตาหยู่เหวินเห้าจับจด “ขากลับข้าก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าเขาต้องการตัวเจ้าจริงๆ ด้วยนิสัยของเขาต้องไม่พูดกับข้าอย่างนี้แน่ ลงมือทำไปเลย จะพูดขู่ทำไม? ”
“ไม่เหมือนนิสัยการทำงานของเขา เหมือนยั่วโมโหข้าจริงๆ นั่นแหละ แต่จุดประสงค์ที่ยั่วโมโหข้าล่ะ? บีบให้ข้าลงมือฆ่าเขา? ผลักเขาตกทะเลสาบ? หรือว่าแค่อยากเห็นข้าอารมณ์เสีย อยากให้ข้าเป็นทุกข์?”
หยวนชิงหลิงก็เดาทางคนแบบนี้ไม่ออกเหมือนกัน สิ่งที่น่ากลัวของคน ก็คือทั้งที่เขายืนอยู่ตรงหน้า แต่กลับเดาความคิดของเขาไม่ออก