บัลลังก์หมอยาเซียน – บทที่ 1086 ใต้เท้าทังล่ะ

บทที่ 1086 ใต้เท้าทังล่ะ

หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “นอนไม่ค่อยหลับ แต่ไม่เป็นไร ค่อยกลับไปนอนก็ดีขึ้นแล้ว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? บาดแผลยังเจ็บไหม?”

หมันเอ๋อมองดูอ๋องชุนแวบหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว บาดแผลเล็กแค่นี้ ไม่เอามาใส่ใจหรอก เขาเป็นกังวลมากไปเอง”

อ๋องชุนเห็นตอนที่หยวนชิงหลิงเปิดบาดแผล เห็นเลือดนองบนบาดแผล น่ากลัวอย่างมาก ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “เป็นกังวลมากไปที่ไหน? หากบาดแผนลึกกว่านี้อีก เกรงว่าคงจะกระดูกหักแล้ว”

หมันเอ๋อพูดขึ้นว่า “แต่กระดูกก็ยังไม่หักไม่ใช่หรือ? เจ้าเป็นกังวลมากไปเรื่อยยังไม่ยอมรับ”

หยวนชิงหลิงฟังทั้งสองคนเถียงกันไปมา ดูสนุกสนาน อารมณ์จิตใจก็ค่อยสบายขึ้นบ้าง

จัดการบาดแผลเสร็จเรียบร้อย อะซี่ก็มาแล้ว หยวนชิงหลิงให้อะซี่พาทังหยวนไปจัดการเรื่องร้านแลกเงิน ตั๋วเงินที่ท่านชายสี่ให้ ก็เอากลับคืนไปให้เหมือนเดิม อบรมสั่งสอนเขาอีกรอบ ว่าจะรับของของคนอื่นไปเรื่อยไม่ได้ โดยเฉพาะเงิน

ถึงแม้ทังหยวนจะเสียดาย แต่ท่านแม่ห้ามอย่างเข้มงวดขนาดนี้ เขาก็ไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงตามอะซี่ออกไป เอาตั๋วเงินคืนกลับไป

ท่านชายสี่พูดกับอะซี่อย่างเรียบเฉยว่า “นางกระต่ายตื่นตูม ตระหนกเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ก็แค่เงินนิดเดียวเองไม่ใช่หรือ? ข้าก็แค่อยากซื้อของเล่นให้กับเด็กๆ ก็ไม่รู้ว่าควรที่จะซื้ออะไร จึงเอาเงินให้กับเขา”

อะซี่หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านชายสี่ ปกติแล้ว พวกเราซื้อของเล่นให้กับเด็กๆ ล้วนไม่เกินไป่เหวินเฉียน ท่านให้หมื่นตำลึงไปง่ายๆแบบนี้ เป็นการตัดทางของพวกเราเลยนะ ต่อไปพวกเราจะยังส่งของอะไรได้อีก?”

ท่านชายสี่รับตั๋วเงินกลับคืนมาอย่างเชื่องช้า ส่ายหัวพร้อมพูดว่า “พวกคนจน”

“เทียบกับท่านชายสี่ ในเป่ยถังนี้ ใครไม่ยากจนบ้าง?”

ท่านชายสี่พูดขึ้นว่า “ร่ำรวยตั้งแต่เด็ก ต่อไปก็จะไม่หวั่นไหวเพราะเงิน การอบรมสั่งสอนทางด้านนี้ หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจ?”

“ลูกเป็นของพี่หยวน ควรที่จะสั่งสอนยังไง ท่านให้นางเป็นคนจัดการเองเถอะ”

อะซี่พูดพร้อมกับพาทังหยวนกลับไป หมาป่าของซาลาเปาก็ตามกลับไปด้วย ทำให้ท่านชายสี่หงุดหงิดอย่างมาก อาจารย์สอนไว้ว่าเงินทองสามารถทำได้ทุกอย่าง ทำไมที่นี่ถึงใช้ไม่ได้?

ส่งตั๋วเงินกลับคืนไปแล้ว อะซี่มาแจ้งให้หยวนชิงหลิงทราบ หยวนชิงหลิงนั่งอยู่ในห้องอย่างไม่สงบสุข จึงพาตอเป่าไปเดินเล่นในลาน มาถึงหน้าประตู กำลังคิดจะถามคนเฝ้าประตูว่าเมื่อคืน ทังหยางออกไปตอนกี่โมง

กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อถามแล้ว คนเฝ้าประตูกลับบอกหยวนชิงหลิงว่า เมื่อคืนใต้เท้าทังไม่ได้ออกไปไหน

หยวนชิงหลิงอึ้งไปสักพัก หากใต้เท้าทังจะออกไป มีสามประตูที่สามารถออกไปได้ ประตูแรกคือประตูหลัก ประตูที่สองคือประตูหลัง ประตูที่สามคือประตูเรือนของเขา ทางด้านซ้ายเรือนของเขาเปิดประตูไว้หนึ่งข้าง สามารถตรงออกไปได้เลย

แต่ปกติใต้เท้าทังจะออกไปทางประตูหลักของจวนตลอด โดยเฉพาะเมื่อจะออกเดินทางไกล เขาจะต้องไปจูงม้า ม้าทั้งหมดล้วนอยู่ในคอกม้าจวนอ๋อง จูงม้าออกมาจากคอกม้า หากเดินมาทางประตูหลักเป็นระยะทางที่ใกล้ที่สุด

ไม่มีเหตุผลที่ใต้เท้าทัง จะต้องจูงม้าออกไปทางประตูหลังมั้ง? และตอนกลางคืนประตูหลังก็จะปิดอยู่ตลอด ยังจะต้องไปขอกุญแจจากแม่นมฉี ยิ่งไม่จำเป็นต้องจูงม้ากลับไปที่จวนของเขาก่อน แล้วค่อยออกไป

ใต้เท้าทังทำอะไรเรียบร้อยมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ ยิ่งไม่ทำอะไรที่ยอกย้อนเช่นนี้แน่

ในใจของนางมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี คิดได้ว่าอ๋องชุนยังอยู่ในจวน จึงรีบใช้ให้เขาไปที่ประตูเมือง ไปถามว่าเมื่อคืน ทังหยางออกจากเมืองไปไหม

เมื่อคืนตอนที่ทังหยางออกมาจากห้องหนังสือ ก็เป็นช่วงเวลาเลยเที่ยงคืนแล้ว ประตูเมืองปิดแต่แรกแล้ว หากจะต้องเปิดประตูเมืองกลางดึก ก็จะต้องได้รับการอนุญาตจากทหารเฝ้าประตู หากเขาเคยออกจากประตูเมืองไป ทางด้านประตูเมืองจะต้องมีบันทึกไว้แน่

อ๋องชุนเห็นนางร้อนใจ จึงไม่ถามเหตุผล รีบขี่ม้าไปยังประตูเมืองทันที

เพราะทหารเฝ้าประตูเมืองคนที่อยู่เวรยามเมื่อคืนตอนนี้ยังไม่มา อ๋องชุนจึงไปหาเขาถึงที่บ้านด้วยตนเอง ทหารเฝ้าประตูคนนั้นเมื่อคืนถูกลมหนาวพัด จึงเป็นไข้หวัด ตอนที่อ๋องชุนไปหาเขา เขายังสะลึมสะลืออยู่ ได้ยินว่าถามถึงใต้เท้าทัง เขาพยักหัวพร้อมพูดว่าใต้เท้าทังออกไปจริง เขาเป็นคนเปิดประตูให้ด้วยตนเอง

ตอนนี้อ๋องชุนทำอะไรก็ละเอียดอ่อน ถามอย่างชัดเจนว่าออกไปตอนกี่โมง สวมเสื้อผ้าสีอะไร ขี่ม้าสีอะไร ทหารเฝ้าประตูคนนั้นก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว ว่าออกไปตอนใกล้ตีหนึ่งแล้ว สวมชุดสีเขียวคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำ ขี่ม้าขนแผงสีแดง

ม้าขนแผงสีแดงนั่น เดิมหยู่เหวินเห้าเป็นคนให้ทังหยาง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทังหยางออกไปปฏิบัติงาน ล้วนขี่ม้าขนแผงสีแดงไป อ๋องชุนก็รู้ ดังนั้นกลับมาแล้วก็บอกกับหยวนชิงหลิงว่า ทางด้านทหารเฝ้าประตูเมืองบอกว่าใต้เท้าทังออกจากประตูเมืองไปแล้ว ช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนเมื่อคืน

หยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนี้ ค่อยวางใจ แต่เพื่อความรอบคอบ จึงได้สั่งคนไปตามหรงเยว่มา ให้นางหาคนสองคนเฝ้าจับตาดูฮูหยินทังไว้ เพื่อจะได้ไม่เกิดอะไรขึ้น

เดิมภายในจวนก็มีคนเพียงพอ มีหมาป่าหิมะกับเจ้าเสือน้อยอยู่ด้วย โดยทั่วไปจะไม่มีอันตรายอะไร องค์ชายรัชทายาทออกเดินทาง องครักษ์ลับผีของจวนอ๋องฉู่ก็ตามไปด้วย สำนักเหลิ่งหลังกับสำนักเหมยแดงก็ตามไปซุ่มโจมตีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อต้องใช้คนจริงๆ กลับพบว่ามีไม่มาก ยังไงคนที่มีไว้ใช้ภายในจวน ก็ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ ปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ

อ๋องชุนรู้ถึงสถานการณ์ภายในจวน โดยเฉพาะก่อนหน้านี้หมันเอ๋อกับหยวนชิงหลิงถูกลอบฆ่า เขากลัวว่านักฆ่าจะกลับมาอีก เจออยู่พักที่จวนอ๋อง เขาพาทหารจวนที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ไปออกลาดตระเวน ประตูใหญ่ทุกแห่งล้วนปิดล็อกไว้ จุดที่ล่อแหลมก็ส่งคนไปเฝ้าไว้

ตอนที่เดินผ่านคอกม้า เขากวาดสายตามองไปข้างในแวบหนึ่ง แล้วก็เห็นข้างในยังมีม้าขนแผงสีแดงอีกหนึ่งตัว จึงพูดพึมพำกับตนเองว่า “ทำไมถึงยังมีอีกหนึ่งตัว? หรือว่าตอนนั้นได้ม้าขนแผงสีแดงมาสองตัว? รู้แต่แรกขอพี่ห้าตัวแล้ว ข้าชอบมากเลย”

ทหารจวนเห็นแล้ว ก็หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “มีสองตัวได้อย่างไร? มีม้าขนแผงสีแดงเพียงตัวเดียว นี่เป็นของใต้เท้าทัง ไม่มีใครกล้าแตะต้องของเขา อย่าเห็นว่าปกติใต้เท้าทังใจดีเป็นกันเอง มีเพียงอย่างเดียวคือห้ามแตะต้องม้าตัวนี้ เอาเรื่องจริงๆนะ”

“มีเพียงตัวเดียว?” อ๋องชุนค่อยๆขมวดคิ้ว ไม่ใช่นี่ ทหารเฝ้าประตูเมืองบอกว่าตอนเวลาเที่ยงคืน เขาขี่ม้าขนแผงสีแดงออกประตูเมืองไปไม่ใช่หรือ?

จู่ๆเขาก็คิดอะไรได้ขึ้นมา จึงรีบเรียกคนเลี้ยงม้ามา พร้อมถามขึ้นว่า “เมื่อคืน ใต้เท้าทังมาจูงม้าไหม?”

คนเลี้ยงม้าตอบว่า “มาแล้ว เดิมเขาจะจูงม้าขนแผงสีแดง แต่ใครจะไปรู้ว่าม้าขนแผงสีแดงนั่น ไม่ยอมไปกับเขา ไม่มีทางเลือก จึงเอามาที่ค่อนข้างว่าง่ายไปหนึ่งตัว”

อ๋องชุนรู้สึกแปลกใจ ทำไมม้าขนแผงสีแดงถึงไม่ยอมไปกับใต้เท้าทัง? ใต้เท้าทังขี่มาตั้งนานขนาดนี้แล้ว อีกอย่าง ทหารเฝ้าประตูเมืองก็บอกว่า เขาขี่ม้าขนแผงสีแดงออกจากประตูเมืองไป

“งั้นม้าที่เขาจูงไป เป็นม้าสีอะไร” อ๋องชุนถามขึ้น

คนเลี้ยงม้าตอบว่า “เป็นสีดำ”

ม้าขนแผงสีแดงกับม้าขนแผงสีดำ เป็นเพราะตรงประตูเมืองมืด จึงมองเห็นไม่ชัดหรือเปล่า? แต่ตอนกลางคืนประตูเมืองจุดไฟคบเพลิงไว้ ส่องแสงสว่างเหมือนกลางวัน ไม่มีเหตุผลที่จะดูผิดอย่างแน่นอน

อ๋องชุนรู้สึกผิดปกติ จึงรีบกลับไปบอกหยวนชิงหลิง

หยวนชิงหลิงฟังแล้ว ก็รู้สึกแปลก พร้อมพูดขึ้นว่า “ม้าในจวน นอกจากม้าที่ว่าง่ายไม่กี่ตัวแล้ว ที่เหลือล้วนจำเจ้าของ โดยเฉพาะม้าขนแผงสีแดงที่อารมณ์รุนแรง เจ้าห้าเคยบอกว่า เขาก็ทำให้มันเชื่องไม่ได้ มีเพียงใต้เท้าทังที่สามารถทำให้มันเชื่องได้ ดังนั้นหลังจากที่ใต้เท้าทังทำให้มันเชื่องได้ ม้าตัวนี้ก็ไม่เคยไปกับใครอีก หากจะไล่ตามเจ้าห้า ทังหยางจะเลือกที่เป็นรองหรือ?”

บัลลังก์หมอยาเซียน

บัลลังก์หมอยาเซียน

Status: Ongoing

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง”หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: “ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น”อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: “เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่” หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: “ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท