หลินเซียวจ้องมองเขาครู่ใหญ่ แต่กลับรู้สึกไม่เข้าใจ ทั้งไม่อาจยอมรับได้ “ทำไมเจ้าถึงมั่นใจนักว่าอ๋องผิงหนานไม่มีความคิดทะเยอทะยานอยากแย่งชิงบัลลังก์ ใคร ๆ ต่างก็สงสัยเขากับอ๋องชินเฟิงอันกันทั้งนั้น”
หยู่เหวินเห้านั่งบนเก้าอี้นิ่ง ๆ แววตาสงบหนักแน่น มีวี่แววของความผ่อนคลายหลังจากผ่านความตึงเครียดอันหนักหน่วง “เจ้าอ้างชื่ออ๋องผิงหนานมาทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย แต่กลับไม่เคยเข้าใจเขาอย่างชัดเจน เวลาที่เขาจะเป็นปกติค่อนข้างน้อย เวลาส่วนใหญ่เขาก็จะกลับไปมีความคิดเหมือนกับเด็ก ๆ เด็กคนหนึ่งจะมีความโลภ คิดอยากแย่งชิงบัลลังก์ได้อย่างไรกันล่ะ?”
“แล้วอ๋องชินเฟิงอันล่ะ?” หลินเซียวดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ “คนที่อ๋องผิงหนานห่วงใยมากที่สุดก็คือคู่สามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอัน ระหว่างที่เขามีสติแจ่มชัด อาจจะวางแผนให้พวกเขาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อ๋องชินเฟิงอันไม่มีความทะเยอทะยาน? น่ากลัวว่าคนในราชวงศ์เป่ยถังคงจะไม่มีใครเชื่อหรอก”
หยู่เหวินเห้าแค่นยิ้มเย็นชา “คนในราชวงศ์เป่ยถังไม่เชื่อ แต่ข้าเชื่อ”
หลินเซียวจ้องมองเขาเขม็ง “ถ้าเจ้าเชื่อ ก็นับว่าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ทำการใหญ่ไม่มีวันสำเร็จ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องตายแน่! ”
หยู่เหวินเห้าเอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า : “เรื่องนั้นคงไม่ต้องให้เจ้าเปลืองแรงหรอก ดูสภาพของเจ้าก่อนเถอะ หงเล่อยู่ที่ไหน เจ้าไม่พูดออกมาเสียล่ะ”
หลินเซียวหันหน้าไปอีกทาง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “ถ้าเจ้ามีปัญญา ก็ไปตามหาเอาเองสิ อย่าคิดนะว่าจับข้าได้ แล้วจะเค้นเอาอะไรออกจากปากข้าได้ โทษทรมานที่หนักสุดของกรมการพระนครคืออะไร ข้าก็ไม่กลัวทั้งนั้น ถ้าแน่จริงก็งัดออกมาใช้ให้หมด”
หยู่เหวินเห้าจ้องเขาอยู่นาน ประกายแสงอันแหลมคมในดวงตาสาดฉายคมปลาบ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ “ข้าไม่ได้คิดจะเค้นหาอะไรจากปากของเจ้าอยู่แล้ว ที่เข้าล้อมฐานที่มั่นของเจ้า ก็เพื่อจะจับกุมเจ้า ข้าไม่รีบร้อนหาตัวเขาออกมานักหรอก”
หลินเซียวนั่งขัดสมาธิ พลางหลับตาลงช้า ๆ “จริงรึ? ในเมื่อเจ้าบรรลุเป้าหมายแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจะพูด อยากฆ่าอยากแกงอะไร ก็สุดแล้วแต่เจ้าเถอะ!”
“ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรอก แต่จะส่งเจ้าไปให้หงเฉิงจัดการ ” หยู่เหวินเห้ายืนขึ้นยืนเต็มความสูงอยู่หน้าคุก มองผ่านรั้วเหล็กเข้าไปดูหลินเซียวที่ลืมตาขึ้นมาในทันใด ” หงเฉิงจะฆ่า เจ้าหรือไม่ ข้าจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตรอด ก็ใช้ลิ้นจอมตลบตะแลงของเจ้าเกลี้ยกล่อมหงเฉิงให้ได้ก็แล้วกัน เพราะถึงอย่างไร เจ้าก็ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิงมาตลอดอยู่แล้วนี่”
เขาพูดจบ ก็หันหลังแล้วเดินออกไปสั่งกับอ๋องฉีว่า ถ้าเสี้ยวหงเฉิงไม่ฆ่าเขาทิ้ง ก็ให้ส่งตัวไปที่คุกน้ำมืด
“ส่งไปที่คุกน้ำมืด?” อ๋องฉีตกใจจนผงะ “นานมากแล้วที่ไม่มีใครถูกส่งไปติดคุกน้ำมืดนี้”
“ ซ่อมเสียหน่อย แล้วทาผนังเป็นสีดำให้หมด ต้องใส่ยาให้เขาดื่มทุกวัน อย่าปล่อยให้พลังยุทธ์ของเขาฟื้นคืนได้ อย่าปล่อยให้เขาฆ่าตัวตายเป็นอันขาด และอย่าปล่อยให้มีแสงสว่างใด ๆ เล็ดลอดเข้าไปได้แม้แต่เศษเสี้ยว ให้เขาอยู่ในคุกน้ำมืดไปนาน ๆ การทรมานทางกายไร้ประโยชน์สำหรับเขา ต้องทรมานเขาด้วยการทำลายจิตใจ” หยู่เหวินเห้าหรี่ตาขณะพูดบรรยาย
อ๋องฉีพ่นลมหายใจดังพรวด “ตกอยู่ในสภาพหมาจนตรอกขนาดนี้แล้วแท้ ๆ ยังมีหน้ามาทำตัวหยิ่งผยอง ข้าแทบอดใจไม่ไหว อยากจะฆ่าเขาทิ้งเสียจริง ๆ เลย ข้าสงสัยว่าเป็นเขานี่แหละที่ฆ่าพี่ใหญ่”
“ไม่ต้องสงสัยหรอก ในไม่ช้าเขาจะคายความจริงออกมาทีละน้อย ๆ เจ้าบอกเขาไปว่า ทุกครั้งที่พูดเรื่องมีประโยชน์เรื่องหนึ่ง ก็จะจุดไฟให้เขาได้หนึ่งชั่วยาม”
อ๋องฉีพยักหน้า แล้วถามอีกครั้งว่า: “แต่ว่า ถ้าเสี้ยวหงเฉิงอยากฆ่าเขาล่ะ?”
“ หงเฉิงไม่ทำหรอก อย่างมากที่สุดนางก็แค่ระบายโทสะสักยก”
“นี่ก็ไม่แน่หรอกนะเสี้ยวหงเฉิงเกลียดหลินเซียวแทบตายแล้ว” อ๋องฉีค้าน
หยู่เหวินเห้าเงียบไปครู่หนึ่ง ” ถ้าเสี้ยวหงเฉิงอยากจะฆ่าเขาจริง ๆ ก็ปล่อยให้นางฆ่าไปเถอะ ถ้านางไม่ได้ระบายโทสะนี้ออกไปเสียบ้าง ชีวิตของนางคงไม่อาจมีความสุขได้แน่”
หลังจากหยู่เหวินเห้าพูดจบ ก็ออกจากกรมการพระนครไป
เขาไปหาเสี้ยวหงเฉินด้วยตัวเอง บอกกับนางว่า หลินเซียวถูกจับได้แล้ว อยากจะไปดูน้ำหน้าเขา หรืออยากไปจัดการกับเขาหรือไม่ ให้เสี้ยวหงเฉิงตัดสินใจเลย
ดวงตาของเสี้ยวหงเฉิงทอประกายดุดันโหดเหี้ยม “ดี!”
จากนั้นแววความเกลียดชังก็ตามมา ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ หันไปมองหยู่เหวินเห้า “ข้าฆ่าเขาได้หรือไม่? เขามีประโยชน์อะไรกับเจ้าหรือไม่?
หยู่เหวินเห้าตอบว่า: “เจ้าสามารถฆ่าเขาได้ ขอแค่เจ้ารู้สึกว่ามันช่วยบรรเทาความเกลียดชังในใจลงได้”
“สอบปากคำแล้วหรือ?”
“สอบปากคำแล้วล่ะ ไม่ยอมพูดอะไรเลย สำหรับคนอย่างเขา การทรมานใช้ไม่ได้ผล ต่อให้เก็บเอาไว้ก็อาจจะเปิดปากเอาข้อมูลอะไรมาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าอยากฆ่าก็ฆ่าเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างหนักแน่น
หัวใจของเสี้ยวหงเฉิงเกิดความโกรธแค้น ซึ่งแตกต่างจากความเกลียดชังดั้งเดิมที่เคยมี ในใจนางจะเกลียดเขาสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงมีความหวังริบหรี่ว่า สักวันหนึ่งเมื่อเขาถูกจับได้ อาจรู้จักสำนึกตัวว่าทำผิดบ้าง
แต่หลังจากฟังคำพูดของหยู่เหวินเห้า ชั่วขณะหนึ่งนางก็รู้สึกว่า ตัวเองเป็นแค่ผู้หญิงน่าสมเพชที่เอาแต่คิดไปเองข้างเดียวมาโดยตลอด
“ เมื่อไหร่ที่เจ้าอยากไปเจอหน้าเขา เจ้าก็ส่งคนมาบอกข้า แล้วข้าจะสั่งให้เจ้าเจ็ดเตรียมการให้เจ้าเอง ” หยู่เหวินเห้าไม่พูดเกลี้ยกล่อมอะไรมากไปกว่านั้น พูดจบก็เดินออกไปทันที
เสี้ยวหงเฉิงนั่งสับสนงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ชั่วขณะนั้น นางไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปเจอหรือไม่ ได้เจอกับไม่ได้เจอ แท้ที่จริงแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างกันอย่างไร?
ผู้ชายคนนี้ ฝังรากลึกอยู่ในใจของนางมานานหลายปี เคยทำให้นางมีความฝันอันยาวนานและสุขล้น แต่ก็ทำให้นางซวนเซล้มไม่เป็นท่าถึงสองครั้ง จนมีบาดแผลฟกช้ำร่อแร่ไปทั้งตัว
ผู้หญิงเช่นนาง เสี้ยวหงเฉิง คิดว่าตัวเองรู้จักแยกแยะบุญคุณความแค้น แต่กลับไม่คิดว่าจะลังเลและปล่อยให้ยืดเยื้อมานานขนาดนี้ ในใจจึงอดรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาไม่ได้
หยู่เหวินเห้ากลับไปที่จวน เข้าไปได้ก็กอดหยวนชิงหลิงแน่น ไม่ยอมปล่อยอยู่เป็นนานสองนาน
ในวันเวลาที่ดูเหมือนสงบเยือกเย็นเหล่านี้ แท้จริงแล้วเขาต้องทนรับแรงกดดันมหาศาล
หลินเซียวไม่ได้พูดอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย หากกลยุทธ์นี้ทำไม่ได้ถึงที่หวัง เสียงของผู้คนที่เรียกร้องให้ปลดรัชทายาท ก็จะดังกระหึ่มไปทั่วทุกสารทิศ เป็นการยากสำหรับเขาที่จะควบคุมสถานการณ์ได้
แต่ยังโชคดีที่สุดท้าย เขาก็แบกมันไว้ได้สำเร็จ
หยวนชิงหลิงเอื้อมมือออกไปตบหลังเขาเบา ๆ จากนั้นก็โอบแขนรอบตัวของเขาแน่น แม้ว่าหลายวันมานี้จะไม่เคยถาม อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าเขาจับหลินเซียวได้แบบไม่ให้อีกฝ่ายทันตั้งตัว แต่หลังจากตื่นขึ้นมากลางดึกหลายครั้ง ก็เห็นเขาลืมตาโพลงมองขึ้นไปบนหลังคา ก็ได้แต่ฝืนอดใจไว้ไม่ทำเสียงดังรบกวนเขา
หยู่เหวินเห้าค่อย ๆ ปล่อยนางช้า ๆ บนใบหน้าที่เหนื่อยล้าปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ รอยหนึ่ง “จับตัวหลินเซียวได้แล้ว ทั้งยังลากพวกสายลับออกมาได้อีกกลุ่มใหญ่ ฉู่หมิงหยางจะฆ่าก็ได้แล้ว ”
“แล้วต่อไป….”
หยู่เหวินเห้าดึงตัวนางให้นั่งลง ในดวงตายังซ่อนความหม่นมัวราวเมฆหมอกอึมครึม “โสวฝู่ฉู่ถูกวางยาพิษ หลินเซียวคิดว่าเขาทำสำเร็จ ดังนั้นเขาจะต้องบอกหงเล่แน่ ส่วนหงเล่ก็คิดว่าตอนนี้ในแคว้นต้องกำลังอยู่ในความโกลาหล ย่อมมาที่เมืองหลวงเพื่อฉวยโอกาสในช่วงชุลมุน ซึ่งขั้นต่อไป เราอาจต้องดวลเพื่อตัดสินแพ้ – ชนะกับหงเล่แบบจริงจังกันสักที”
“หงเล่กำลังจะมารึ?” หยวนชิงหลิงอดรู้สึกกังวลไม่ได้
“ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมาแน่” หยู่เหวินเห้าพูดเสียงเบา “ ตอนนี้หลินเซียวถูกจับกุมอย่างรวดเร็วแบบนี้ หลังจากหงเล่เข้าเมืองหลวงมา แล้วหาตัวหลินเซียวไม่เจอ จะต้องเลือกตัวเชื่อมต่อคนอื่นแน่ ตอนนี้ทั้งเมืองหลวงต่างเตรียมพร้อมเต็มที่ ทันทีที่หงเล่มาถึง แล้วมีการติดต่อกับใครก็ตาม คนนั้นก็คือสายลับที่เป็นตัวเชื่อมต่อลำดับที่สอง ไม่ต้องกังวลให้มากเกินไปหรอกนะ อย่างไรก็ต้องหาตัวเจออย่างแน่นอน”
“ แล้วถ้าหงเล่ปลอมตัวพรางกายเข้ามา เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าเป็นเขา ? ”หยวนชิงหลิงถาม
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “พวกเราอาจไม่มีใครจำเขาได้ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ทำได้ นั่นก็คือลูกชายแท้ ๆ ของเขาอย่างไรล่ะ”
“หงเย่!” หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ใช่ ไม่ว่าใบหน้าของคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่สิ่งของใด ๆ ก็ตามที่ถูกคนเห็นจนคุ้นเคยแล้ว ย่อมสามารถจดจำมันได้เสมอ”
ทุกเรื่องที่หงเล่เคยทำกับหงเย่ไว้ อธิบายเป็นการกระทำได้คือโหดร้ายอำมหิต ทั้งความรู้สึกรักใคร่จอมปลอมที่มีให้ในภายหลังพวกนั้น หงเย่ก็รู้ชัดแจ้งแก่ใจดี ถึงขั้นสลักลึกลงไปในไขกระดูกเลยด้วยซ้ำ น่ากลัวว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจลืมได้เลยทีเดียว
เขามองหยวนชิงหลิงแล้วพูดว่า: “ถ้าหงเล่ตกอยู่ในการควบคุมของเราเมื่อไหร่ เป่ยโม่จะต้องมีการเคลื่อนไหวรอบ ๆ ชายแดนแน่ บางที ข้าอาจต้องนำกองทัพเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบา ๆ “ข้ารู้ นี่มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าแค่กังวลใจว่า หงเล่นั้นยากที่จะรับมือ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ง่ายเหมือนตอนจับตัวหลินเซียวก็ได้!”