หยวนชิงหลิงถามขึ้นอีก “ตอนที่ท่านพูดเรื่องพวกนี้กับเขา อาหลิวคนนั้นอยู่ด้วยหรือไม่?”
แม่นมสี่คิดไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “อยู่เพคะอาหลิวคนนั้นก็อยู่ด้วยตลอด ”
“คนผู้นี้มีความเป็นมายังไง? เป็นขุนนางในจวนที่ในวังส่งมาตอนเจ้าหญิงอภิเษกหรือเปล่า?”
“ข้าน้อยจำได้ว่าไม่ใช่เพคะ ตอนนี้ขุนนางในจวนที่ส่งไปไม่กี่ปีให้หลังก็ป่วยตาย สำหรับอาหลิวมีความเป็นมายังไง ข้าน้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันเพคะ หลังจากเจ้าหญิงอภิเษก ไม่นานซู่ไท่เฟยก็สิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงไม่ค่อยได้เสด็จเข้าวังมาถวายพระพรไท่ซ่างหวงบ่อยด้วย ฉะนั้นข้าน้อยจึงไม่ค่อยทราบเรื่องในจวนเจ้าหญิงเพคะ แต่คุณชายเหล่านั้น สมัยก่อนทรงเล่นกับอ๋องฉี เข้าวังมาบ่อยๆ ข้าน้อยจึงเห็นบ่อยเพคะ”
พอแม่นมสี่กล่าวจบก็มองหยวนชิงหลิงแล้วเอ่ยถาม “ทำไมหรือเพคะ? อาหลิวคนนี้น่าสงสัยหรือเพคะ?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ยังไม่รู้ ไว้ตรวจสอบแล้วค่อยว่ากัน เรื่องนี้ท่านอย่าบอกกับในวังนะ ต่อหน้าไท่ซ่างหวงก็พยายามไม่พูดถึงเรื่องของเจ้าหญิงฮุ่ยผิง”
“วางใจเถอะเพคะ ไม่มีใครพูดถึง ไท่ซ่างหวงเองก็ไม่อยากพูดถึงเหมือนกันเพคะ” แม่นมสี่เอ่ย
ยากนะที่จะได้กลับมาสักครั้ง ดังนั้นแม่นมสี่จึงไปเยี่ยมแม่นมฉีสักหน่อย
สองเฒ่าสนทนากันกว่าค่อนชั่วยาม แม่นมสี่กำชับหนักหนา ให้แม่นมฉีระวังการกินดื่มของพระชายารัชทายาท อย่าให้เด็กในครรภ์เป็นอะไรขึ้นมา
ตอนที่แม่นมสี่ไปก็อาลัยอาวรณ์นัก อยู่ในจวนอ๋องฉู่มาห้าหกปี ไม่ว่าคนหรือสิ่งของต่างก็มีสายใย
ดีที่เด็กๆ ที่นางห่วงหามากที่สุดอยู่ในวัง นางต้องเฝ้าอยู่ข้างตัวพวกเขา
แน่นอนนอกจากเด็กจริงๆ ทั้งสามแล้ว ในวังยังมีเด็กเฒ่าอีกสามคน ดังนั้นความอาลัยอาวรณ์จึงเป็นแค่ช่วงประเดี๋ยวประด๋าว เมื่อขึ้นรถม้ากลับวังแล้ว นางก็อยากกลับให้ถึงเร็วๆ
แม่นมสี่เพิ่งไปได้ไม่นาน เจ้าห้าก็กลับมา ทังหยางเล่าเรื่องนี้กับเขา เมื่อฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “สืบอาหลิวคนนี้หน่อย”
“กระหม่อมให้คนไปสืบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่หลิวจิ้งทางนี้ จะช่วยเขาขายโรงงานยาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ทังหยางเอ่ยถาม
“เจ้าก็ช่วยไปปล่อยข่าวเถอะ พวกเขาจะได้ไม่ถูกหลอก” หยู่เหวินเห้าแคลงใจในความสามารถในการอยู่รอดของน้องทั้งสาม เมื่อก่อนเจ้าหญิงปล่อยปละละเลยพวกเขามากเกินไป นอกจากกินเที่ยวแล้วใช้เงินแล้ว พวกเขาก็ทำอะไรไม่เป็นทั้งนั้น โดยเฉพาะเวลานี้จวนเจ้าหญิงตกอับ ขายโรงงานยากับสถานพยาบาลในตอนนี้ เกรงว่าคนคิดคดจะจ้องเอาไว้
เมื่อมีคำสั่งจากหยู่เหวินเห้า ทังหยางจึงส่งคนไปเรียกให้หลิวจิ้งมาหารือที่จวนอ๋องวันพรุ่งนี้ ที่จริงทังหยางมีผู้ซื้อที่เหมาะสมอยู่ในใจแล้ว นั่นก็คือหูชิงหยุนแห่งต้าโจว
การรักษาพยาบาลและยาของต้าโจวก้าวหน้ากว่าเป่ยถังเล็กน้อย หากหูชิงหยุนแห่งต้าโจวซื้อโรงงานยานี้ ต้องนำสูตรยาจำนวนหนึ่งจากต้าโจวมาผลิตยาแน่ ส่งผลดีกับการพัฒนาการรักษาพยาบาลและยาของเป่ยถังมาก
ดังนั้นทังหยางจึงไปโรงเงินติ่งเฟิง เขารู้ว่าปีนี้หูชิงหยุนมาเป่ยถัง ต้องการก้าวหน้าที่เป่ยถัง ดังนั้นจึงมาขยายงานด้วยตัวเอง
เมื่อหารือกับหูชิงหยุนแล้ว อีกฝ่ายก็สนใจมาก ราคาที่เขาให้ก็ใจถึง สถานพยาบาลไม่เอา เอาแต่โรงงานยา
วันถัดมาหลิวจิ้งก็มา ทังหยางไม่ออกหน้า ให้หยวนชิงหลิงพูดกับเขา
พอหลิวจิ้งได้ยินว่ามีคนซื้อแล้ว นึกว่าหยวนชิงหลิงตกลงที่จะเอาส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ดีใจมาก พยายามแสดงออกว่าเงินส่วนนี้ต้องให้จวนอ๋องฉู่แน่ ให้หยวนชิงหลิงสบายใจ
หยวนชิงหลิงก็ไม่ได้บอกว่าไม่เอา วันนี้ก่อนเจ้าห้าจะกลับที่ทำการปกครองได้พูดไว้แล้ว เรื่องที่เขาจะให้ส่วนแบ่งยังไม่ต้องบอกปัด ดูสิว่าอาหลิวจะปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไปหรือไม่ และจะได้รู้จุดประสงค์ของเขา
การจะสืบคนที่ซุ่มอยู่ในจวนเจ้าหญิงมานานหลายปีไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยก็ไม่ใช่ว่าจะสืบได้ในสามวันห้าวัน แต่หากจุดประสงค์เขาชัดเจน เช่นนั้นโดยรวมก็กำหนดว่าเป็นศัตรูได้
หยวนชิงหลิงเอ่ย “คนซื้อคนนี้เป็นเถ้าแก่โรงเงินติ่งเฟิงของต้าโจวชื่อหูชิงหยุน ถ้าเจ้าสนใจ ข้าจะเป็นเจ้าภาพเชิญเข้ามาที่จวนก็ได้ พวกเจ้าจะได้เจรจาการค้ากัน ราคาอีกฝ่ายให้มาแล้ว เอาแต่โรงงานยา สองล้านตำลึง เอาแต่ยาที่กักตุนอยู่ในโรงงานยาเท่านั้น ยาที่ท่านแม่เจ้ากักตุนไว้ที่อื่นตอนยังมีชีวิตเขาไม่เอา ราคานี้เจ้าคิดว่ายังไง?”
หลิวจิ้งดีใจมาก เขาถามคนอื่นมาแล้ว บอกว่าตอนนี้โรงงานยาต้องถูกคนกดราคาแน่ ขายได้หนึ่งล้านห้าแสนตำลึงก็ดีแล้ว เถ้าแก่โรงเงินติ่งเฟิงคนนี้ใจป้ำจริงๆ
“งั้นก็รบกวนพี่สะใภ้ช่วยนัดเถ้าแก่หูมาพูดคุยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เขาลุกขึ้นทำความเคารพ
หยวนชิงหลิงให้องครักษ์ในจวนไปส่งข่าว แล้วให้ทังหยางรับรองหลิวจิ้ง จุดประสงค์ก็เพื่อถามเรื่องอาหลิว นางไม่สะดวกจะอยู่ด้วย
ทังหยางเจาะจงให้คนเตรียมสุรารสเลิศไหหนึ่ง แล้วทำกับแกล้มอีกสองสามอย่าง ให้สวีอีอยู่ดื่มกินเป็นเพื่อนหลิวจิ้ง
ระหว่างนั้น ด้วยการหยั่งเชิงทั้งหลาย หลิวจิ้งเป็นคนไม่รู้จักระวัง ถามคำหนึ่งตอบมาเป็นพรวน สุดท้ายก็สะท้อนใจว่าดีที่มีหลิวจิ้งอยู่ด้วย ถึงออกความคิดให้พวกเขาได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว
ทังหยางรินสุราให้เขาแล้วเอ่ยถาม “หลิวจิ้งท่านนี้จงรักภักดีจริงๆ เลยนะพ่ะย่ะค่ะ จริงสิ เขาเป็นคนที่ไหนหรือ? กระหม่อมเคยเห็นเขาสองครั้ง ฟังสำเนียงไม่เหมือนคนเมืองหลวง”
หลิวจิ้งไม่เคลือบแคลงใจ เอ่ยตามตรง “หลิวจิ้งไม่ใช่คนเมืองหลวง เขาเป็นคนตำบลชิงถงจวนเจียงเป่ย หลายปีก่อนเข้าเมืองหลวงมาหาทางอยู่รอด มาที่โรงงานยา ท่านแม่เห็นเขาอ่านออกเขียนได้ แล้วยังทำการค้าเป็น ก็เลยให้เขาอยู่ในโรงงานยา ตอนหลังเป็นเขายิ่งมีความสามารถ ก็เลยยกให้เขาเป็นผู้ดูแล ขนาดหลายเรื่องในจวนก็ยังเป็นเขาจัดการ ข้าจำได้เมื่อก่อนท่านปู่เคยพูดว่า อาหลิวเป็นคนมีความสามารถ สายตาเฉียบคม ช่วยท่านแม่หาเงินมาได้มากมาย”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้หรือขอรับ งั้นเขาก็ติดตามเจ้าหญิงมาหลายปี น่าจะเก็บเงินทองได้มากโขกระมัง?” ทังหยางเอ่ยถาม
“เรื่องนี้…” หลิวจิ้งคิด “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงยังไงเขาก็อยู่ในจวนเจ้าหญิงมาตลอด แล้วก็ไม่ได้ซื้อบ้าน สำหรับมีเงินหรือไม่ข้าก็ไม่เคยถาม แต่เมื่อก่อนได้ยินท่านแม่เคยบอก ว่าสิ้นปีของทุกทีจะให้เงินปันผลกับอาหลิว แต่ละปีก็มากกว่าหลายพันตำลึง เพราะงั้นก็น่าจะมีเงินอยู่บ้าง เงินเดือนเขาก็มาก เดือนหนึ่งเป็นร้อยตำลึง”
สวีอีสะดุ้ง “เยอะขนาดนั้นเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
สวีอีอิจฉาขึ้นมาทันที เขาบุกน้ำลุยไฟจนได้เป็นแม่ทัพ เงินเบี้ยหวัดทั้งปีเพิ่งจะพันกว่าตำลึง แต่ผู้ดูแลกลับมากกว่าเขาเยอะ สิ้นปียังมีเงินปันผลให้อีกหลายพันตำลึง เขาน่าจะไปทำการค้า
ทังหยางกรอกตาขาวใส่เขา
“ท่านแม่บอกว่าเขาทำงานเก่ง ให้เงินมากหน่อยก็มีอยู่” หลิวจิ้งรู้ว่าพวกเขาเป็นคนสนิทข้างกายองค์รัชทายาท จึงกดเสียงต่ำเอ่ย “ถ้าโรงงานยาขายได้ราบรื่น ข้าจะให้ค่าน้ำชาพวกท่านด้วย ต่อไปยังต้องขอพวกท่านช่วยเหลืออีกมาก”
สวีอีกำลังจะบอกปัด ทังหยางกลับพูดหน้าบาน “เช่นนั้นก็ขอบคุณคุณชายมากขอรับ มา ดื่มเถอะ ดื่ม!”
หลิวจิ้งเห็นพวกเขามีไมตรีจิตขึ้นมาก็ดีใจ ในทางกลับกัน เขาคิดว่าซื้อคนข้างตัวองค์รัชทายาทได้ ต่อไปหากองค์รัชทายาทจะเอาเรื่องเขา ก็มีคนช่วยเขาพูดสักหน่อย ที่จริงเขาไม่อยากออกเมืองหลวงหาเลี้ยงตัวที่อื่นจริงๆ ไม่ว่าที่ไหนในเป่ยถังก็ไม่เจริญเท่าเมืองหลวง เป็นอาหลิวที่เอาแต่เกลี้ยกล่อมให้เขาขายแล้วเอาเงินไปอยู่ถิ่นอื่น