บัลลังก์หมอยาเซียน – บทที่ 1258 ความสามารถในการฟื้นฟู

บทที่ 1258 ความสามารถในการฟื้นฟู

หน้าหลังก็ไม่เกินเวลาครึ่งชั่วยาม สิบกว่าคน มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตหนีตายออกไปได้ นอกเหนือจากนั้นตายอยู่ในจวนอ๋องฉู่ทั้งหมด

และสามคนที่สามารถหนีรอดไปได้ ก็คือแขนขาขาดหาย หยวนชิงหลิงเคยเห็นสถานการณ์ที่น่าอนาถเพียงนี้ที่ไหนกัน รู้สึกเพียงความน่าสะพรึงกลัวในการสังหารสนมซูพรั่งพรูขึ้นมาในจิตใจอีกครั้ง ทองคำหนึ่งล้านชั่งอยู่เบื้องหน้า ชีวิตคนต้อยต่ำดุจดั่งโคลนจริงๆ!

ทังหยางสั่งให้คนทำความสะอาดลาน ศพถูกจัดการออกไป น้ำทีละถังชะล้างพื้นลาน ไม่นาน ก็กลับคืนเป็นสะอาดเหมือนในวันปกติ หารอยเลือดไม่เจอแม้แต่น้อย แต่ในอากาศ กลับเป็นกลิ่นคาวเลือดนั่นที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถปัดให้หายไปได้

ตั้งแต่ที่หยวนชิงหลิงตั้งครรภ์ลูกคนนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อยก็ไม่มี ตอนนี้เป็นการรู้สึกอยากอาเจียนเป็นครั้งแรก

คนเหล่านั้นชะล้างขัดไปพลาง แสดงความไม่พอใจไปพลาง “เอาทองคำหนึ่งล้านชั่งมีประโยชน์อะไร? ชีวิตก็หาไม่แล้ว คุ้มค่าหรือ?”

หยวนชิงหลิงก็ได้ยินซาลาเปาเอ่ยขึ้นว่า “ทองคำหนึ่งล้านชั่งมีอะไรน่าดึงดูด? มีชีวิตเป็นอมตะจึงจะคุ้มค่าที่จะแสวงหา”

หยวนชิงหลิงได้ยินดังนั้น เอียงหน้ามองดูเขาทันที “เจ้าว่าอะไรนะ?”

ซาลาเปาเงยหน้ามองนาง “ข้าอ่านมาจากในหนังสือ บอกว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีคนมากมายที่แสวงหาชีวิตอมตะพ่ะย่ะค่ะ”

ซาลาเปาเดินเข้าไป กอดเอวของนาง “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าและพวกน้องๆล้วนมีความสามารถในการรักษาตัวเอง? เซลล์ของพวกเราต่างไปจากคนทั่วไป พวกเราสามารถฟื้นฟูจุดบกพร่องของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว พวกเราสามารถเติบโตได้ แต่พวกเราแก่ชรายากมากพ่ะย่ะค่ะ”

ได้ยินซาลาเปาพูดว่าเซลล์สองคำ จิตใจของหยวนชิงหลิงก็กังวลเล็กน้อย แต่คิดได้ว่าเขาไปๆมาๆหลายครั้ง ถ่ายทอดคำพูดให้นางและฟางหวู ก็จะต้องรู้บ้าง

“รักษาตัวเอง?” นางมองดูเขาอย่างงงงัน

สีหน้าซาลาเปาเปล่งประกาย “ท่านแม่ไม่รู้จริงๆด้วย”

หยวนชิงหลิงไม่สนใจการพะอืดพะอมอยากอาเจียนแล้ว ลากพวกเขากลับตำหนักเซี่ยวเยว่ เด็กห้าคนนั่งเป็นแถว ล้วนเงยหน้ามองนาง

“ซาลาเปา เมื่อครู่เจ้าบอกว่าพวกเจ้ามีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองหรือ? แต่ก่อนหน้านี้เจ้าล้มชนได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่ได้รักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็วนี่”

อีกทั้ง ก่อนหน้านี้ที่ดวงตาของเจ้าแฝดบาดเจ็บ ก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งสองสามวันกว่าจะไม่เป็นไร

ซาลาเปาหยิบกรรไกรออกมาจากตะกร้าด้านข้าง กรีดไปที่ฝ่ามือของตัวเอง หยวนชิงหลิงร้องออกมาด้วยความตกใจเสียงหนึ่ง แต่กลับเห็นเลือดหยดออกมาแล้ว แต่ก็เป็นเพียงแค่เลือดหยดเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันไหลลงมา บาดแผลนั่นก็เริ่มตกสะเก็ดแล้ว

ครั้งนี้หยวนชิงหลิงตะลึงตาค้างๆไปแล้วจริงๆ คว้ามือเขามาเพ่งดู เห็นเพียงรอยแผลตกสะเก็ดเป็นชั้นหนึ่ง แต่ดูออกว่าบาดแผลยังไม่หายดีทั้งหมด และภายใต้การเพ่งมองของนาง สีของการตกสะเก็ดก็เริ่มจางลง จากสีดําจางๆเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที แม้แต่รอยแผลเป็นก็มองไม่เห็น

“เป็นแบบนี้ได้เช่นไรกัน?” หยวนชิงหลิงมองซาลาเปา ถามอย่างยากลําบาก

ทังหยวนและข้าวเหนียวที่อยู่ด้านข้างเบิกตาโพลง มองพี่ชายด้วยความประหลาดใจมาก ทังหยวนเอ่ยถามว่า “ท่านพี่ซาลาเปา ท่านทําอย่างไร?”

“พวกเจ้าก็น่าจะทําได้ ลองดูสิ!”

ทังหยวนส่ายหน้า “ข้าไม่ลอง หากข้าหายเองไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะเสียเลือดเปล่าๆหรอกหรือ?”

แต่ข้าวเหนียวกลับรู้สึกน่าสนุก หยิบกรรไกรมา แทงไปบนนิ้วมือของตัวเอง

เลือดขนาดเท่าเมล็ดข้าวบีบออกมา บาดแผลเป็นสีแดงเล็กน้อย หลังจากเช็ดเลือดออกแล้ว บาดแผลไม่ได้มีการฟื้นฟูอย่างชัดเจน

“ทำไม่ได้?” ข้าวเหนียวร้อนใจแล้ว พี่ชายมีความสามารถทำไมเขาไม่มี?

หยวนชิงหลิงกลับเพ่งมองนิ้วมือของเขาอยู่ตลอด ส่ายหน้า “ไม่ถูก ข้าวเหนียว เจ้าก็มี เพียงแค่ช้าเล็กน้อย”

ทุกคนขยับใกล้เข้ามาดูนิ้วมือของเขา จุดแดงบนนิ้วมือของเขาค่อยๆหายไปจริงๆ บนบาดแผลเล็กๆนั่นเหลือหนังสีขาวเล็กๆหนึ่งชั้น หยวนชิงหลิงเอื้อมมือไปฉีกออก นิ้วมือเหลือรอยสีแดงจางๆเป็นสีชมพูอ่อนๆเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการฟื้นฟูไม่ได้ดีเท่าซาลาเปา

เห็นว่าข้าวเหนียวก็มี ทังหยวนก็ลองหน่อย เขากับข้าวเหนียวไม่ได้ต่างกันมาก จนถึงท้ายสุดบนนิ้วก็ยังเหลือรอยจางๆอยู่

รออีกประมาณสิบนาที รอยสีแดงจางๆนั่นก็หายไปแล้ว หายดีเป็นปลิดทิ้ง

สี่คนดวงตาแปดดวงมองไปทางเจ้าแฝด

ครั้งนี้ เป็นหยวนชิงหลิงที่หยิบกรรไกรแล้วเดินไปทางทั้งสองคน

นิ้วชี้สองข้างขยับเข้าด้วยกัน กรรไกรปาดลงไป แม้กระทั่งเลือดสดก็ยังไม่ไหลออกมา บาดแผลก็หายดีแล้ว ก็เหมือนดั่งวูล์ฟเวอรีนเช่นนั้น กระทั่งยังรวดเร็วกว่าวูล์ฟเวอรีนอีก บาดแผลฟื้นฟูจนเป็นเหมือนเดิมทุกอย่างทันที

พวกเด็กๆมองหน้ากันทันที ทำไมน้องชายถึงยังได้เก่งกาจยิ่งกว่าอีก? โดยเฉพาะทังหยวนและข้าวเหนียวก็ยิ่งไม่ยอม เทียบพี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแล้ว แม้แต่น้องชายก็ยังสู้ไม่ได้?

เจ้าแฝดนิ่งเฉยเหมือนดั่งปกติ ราวกับว่าการรักษาตัวเองเป็นเพียงความสามารถเด็กๆอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถเด็กไปกว่านี้ได้แล้ว

ไม่ ก็ไม่สามารถเรียกว่าความสามารถได้ นั่นคือสิ่งที่สมควร

หยวนชิงหลิงตะลึงงันอยู่นาน หยิบกรรไกรมองไปทางอุ้งมือของตัวเอง

ตัดสินใจ ปิดตาลง กรรไกรปาดผ่านอุ้งมือ ความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งแพร่กระจายมา นางลืมตาขึ้น มองดูเลือดสดหยดออกมา หนึ่งหยด สองหยด สามหยด……แม่เจ้า!

“ห้ามเลือด รีบห้ามเลือด!” ซาลาเปาตอบสนองขึ้นได้ก่อน เด็กทั้งห้ารีบทำงานขึ้นมาทันที

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเด็กๆล้วนมีความสามารถในการรักษาตัวเอง ไม่ก็เร็วหรือไม่ก็ช้า นาง…….ก็มี แต่เหมือนกับคนทั่วไปเช่นนั้น บาดแผลหนึ่งแผลควรเจ็บกี่วันก็เจ็บเท่านั้น ไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นสักนิด

“ทําไมถึงเป็นเช่นนี้?” หยวนชิงหลิงมองมือที่ถูกพันเป็นขาหมูอย่างงงงัน ถามคําถามที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถอธิบายปัญหาได้

ถ้าบอกว่าพวกเด็กๆก็ฉีดยา แล้วเซลล์เกิดการกลายพันธุ์ เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่พวกเด็กๆล้วนไม่เคยฉีดยา และคลอดผ่านร่างกายร่างนี้ของนาง ตามหลัก พวกเขาจะเหมือนกับเด็กปกติเช่นนั้น แต่ทําไม?

ถ้าบอกว่าร่างกายร่างนี้ของนางก็เกิดการกลายพันธุ์ เช่นนั้นลูกที่คลอดออกมาก็สืบทอดยีนของนาง การกลายพันธุ์ก็สามารถอธิบายได้อย่ากระจ่าง ปัญหาก็คือนางไม่มีการกลายพันธุ์

เช่นนี้ก็เหมือนกับการ……ตีวัวโดยมีภูเขากั้น? ฟ้าดินเคลื่อนตัวอย่างยิ่งใหญ่?

หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าตัวเองแทบจะเสียสติไปแล้ว เช่นเดียวกับความบ้าคลั่งตอนนั้นที่นางเพิ่งจะข้ามมิติเวลามาแล้วเห็นกล่องยา นางเป็นคนที่กระหายในความรู้อย่างรุนแรงเป็นพิเศษ เพียงแค่เจอปัญหายากที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็มักจะหนักใจอยู่นานมาก ตั้งใจจดจ่อต้องการศึกษาเจาะลึกจนได้คําตอบ

ในสมอง ประกอบคําพูดประโยคนั้นที่ฟางหวูพูดในปีนั้นออกมาอีกครั้ง จุดจบของวิทยาศาสตร์ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่เทพศาสตร์

แม้ว่าในจิตใจจะคัดค้านวิธีการพูดประเภทนี้เป็นอย่างมาก แต่ประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้เผชิญมาในสองสามปีนี้ ความเชื่อมั่นที่มั่นคงของนางเริ่มสั่นคลอนแล้ว

เพิ่งจะตระหนักได้ว่า เดิมทีแล้วมนุษย์ล้วนมีคุณสมบัติพิเศษชนิดหนึ่ง เพียงแค่ตัวเองคิดไม่เข้าใจ หรือเป็นปัญหายากที่ไร้หนทางแก้ไข ท้ายที่สุดล้วนกลับไปสู่เรื่องเทพศาสตร์

อันที่จริงไตร่ตรองลึกลงไปอีกขั้น ประชาชนไหว้พระขอพร กลับไม่ใช่ความโง่เขลาไร้ความรู้ นอกจากความศรัทธา ก็ยังไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาอย่างยากลําบากอีก

ด้วยเหตุนี้ ในคืนนี้ที่นักฆ่ามาเยี่ยมเยือน หยวนชิงหลิงศึกษาพิจารณาด้วยกันกับเด็กทั้งห้ามากมาย แม้ว่าตลอดคืนเด็กทั้งห้าจะรู้สึกงงงันสับสนเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ฟังอย่างตั้งใจมาก ละเอียดมาก สุดท้ายก็ใช้ดวงตาที่แปลกประหลาดมองดูท่านแม่ หยวนชิงหลิงพูดตามใจตัวเอง เหมือนกับกําลังระบายอารมณ์เช่นนั้น เมื่อพูดถึงท้ายสุด ข้าวเหนียวก็ถามอย่างซื่อๆว่า “ท่านแม่ ท่านจะบอกว่า ตอนนี้ท่านเชื่อเรื่องพระเซียนแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

หยวนชิงหลิงก็ตะลึงงันเล็กน้อย นางหมายความเช่นนี้หรือ?

บัลลังก์หมอยาเซียน

บัลลังก์หมอยาเซียน

Status: Ongoing

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง”หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: “ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น”อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: “เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่” หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: “ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท