บัลลังก์หมอยาเซียน – บทที่ 1269 จดหมายจากฟางหวู

บทที่ 1269 จดหมายจากฟางหวู

ที่เมืองหลวง ได้รับรายงานด่วนจากชายแดนที่ห่างไกลออกไปแปดร้อยลี้ แจ้งว่ากองทัพเป่ยถังได้ทำลายล้างทหารห้าพันนายของเป่ยโม่ใน เมืองซิ่วโจว จับเป็นฉินโม่เฟิงแม่ทัพรักษาการณ์ของเป่ยโม่ได้ และสกัดกองกำลังหลักของเป่ยโม่ไว้ที่ เมืองซิ่วโจว

รายงานฉบับนี้ ทำให้ฮ่องเต้หมิงหยวนกับบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันชื่นชมยินดี เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลังจากพ่ายแพ้จนต้องถอยไปในศึกแรก พวกเขาจะยิ่งถูกเป่ยโม่รุกเข้าตีจนแตกพ่ายหนักในศึกที่สอง คิดไม่ถึงว่า แม่ทัพใหญ่ฉินจะถูกสกัดไว้ได้อย่างง่ายดายที่เมืองซิ่วโจว

เมืองซิ่วโจวมีภูมิประเทศที่แปลกตา มีภูเขาสูงมากมาย มีพื้นที่ราบน้อย ทำให้ง่ายต่อการหลบซ่อน และตราบใดที่ตำแหน่งรักษาการณ์ตั้งอยู่ในจุดที่เหมาะสม ก็จะรู้ทุกการเคลื่อนไหวของกองทัพเป่ยโม่ได้ชัดเจนราวกับหลังมือเลยทีเดียว

เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดโดยแท้

แต่ถึงเป็นสัตว์ประหลาด ก็ไม่แน่ว่าจะชนะเสมอไป ในแง่ของกำลังทหารเป่ยโม่นั้นได้เปรียบอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากันที่ เมืองซิ่วโจว แต่ความแข็งแกร่งของกองทัพเป่ยโม่กับกองทัพเป่ยถัง ก็ยังนับว่าแตกต่างกันมากอยู่ดี

ดังนั้น ในราชสำนักจึงมีความสุขเพียงครู่สั้น ๆ จากนั้นก็ตกอยู่ในความกังวลที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น จนบัดนี้รัชทายาทก็ยังไม่ย่างเท้าออกจากจวนเลย ที่ข้างนอกพูดกันว่ารัชทายาทถูกจอมมารกระบี่สังหาร ศีรษะถึงกับถูกส่งไปอยู่ในมือของแม่ทัพใหญ่ฉินแห่งเป่ยโม่แล้วด้วยหากเป็นไปตามข่าวลือนี้จริง ๆ เช่นนั้นเป่ยถังจะต้องวุ่นวายโกลาหลมากอย่างแน่นอน

พวกขุนนางในราชสำนักต่างพากันกังวล บรรดาผู้คนต่างก็คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ กู้ซือไปที่จวนอ๋องฉู่ เพื่อแจ้งให้หยวนชิงหลิงรู้ถึงสถานการณ์การสู้รบในปัจจุบัน

“เจ้าห้าไปถึง เมืองซิ่วโจว แล้วหรือยัง?” หยวนชิงหลิงถามอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินคำพูดของกู้ซือ

กู้ซือ”จดหมายนั้นเป็นเซียวเหยากงเขียน ไม่มีการเอ่ยถึงรัชทายาท แต่ถ้ายึดตามกำหนดการของเขา รัชทายาทน่าจะไปถึง เมืองซิ่วโจว แล้วในตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”

หยวนชิงหลิงพูดว่า”ทุกวันนี้ คนข้างนอกกำลังคาดเดาเรื่องความเป็นความตายของเจ้าห้ากันใหญ่ แต่ตอนนี้เรายังเปิดเผยต่อสาธารณชนไม่ได้ ช่างน่าเป็นห่วงจริงๆ”

“ตอนนี้ยังเปิดเผยให้สาธารณชนรู้ไม่ได้จริง ๆ แม้ว่ากองทัพเป่ยโม่จะถูกชักนำเข้าสู่ เมืองซิ่วโจว อีกทั้งที่เมืองซิ่วโจวก็มีกองกำลังของเราคอยซุ่มโจมตีเช่นกัน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่เกิดการรบจริง ทั้งสองต่างก็ดูเชิงกันอยู่ ชาวเป่ยโม่อาศัยซ่อนตัวในภูมิประเทศที่เป็นภูเขา เพื่อยึดตำแหน่งสังเกตุการณ์จากที่สูง แล้วตอบโต้กองทัพเป่ยถัง ในขณะที่กองทัพเป่ยถังกำลังรอรัชทายาทมาบัญชาการให้โจมตีอย่างหนัก ดังนั้น เราจะต้องไม่ปล่อยให้มีข่าวรั่วไหลออกไปได้ สังเกตุได้จากจดหมายตอนนี้ว่า เป่ยถังกับเป่ยโม่ได้มีการเผชิญหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ กันหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีใครที่เข้าเผชิญหน้ากันอย่างเต็มกำลัง เมืองซิ่วโจวในยามนี้ การจะยึดกลับมา แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเมื่อไหร่ที่เราถูกยึดครองความได้เปรียบในที่สูงไป เมื่อนั้นแล้วย่อมเกิดหายนะแน่ โชคดีที่ทหารทั้งหมดที่เป็นผู้นำกองในครั้งนี้เป็นทหารผ่านศึก คุ้นเคยกับภูมิประเทศของเมืองรอบนอก ทั้งยังมีความอดทนสูง สามารถประวิงเวลาออกไป จนถึงตอนที่รัชทายาทมาพร้อมกับอาวุธได้ ”

หยวนชิงหลิงไม่อาจไม่ชื่นชมอ๋องชินเฟิงอันได้จริง ๆ เขาให้ ฉีฮั่วนำหัวของเจ้าห้าไปส่งตรงหน้าแม่ทัพใหญ่ฉิน นอกจากการไปโกงเงินมาได้จำนวนหนึ่งแล้ว เขายังสร้างภาพลวงตาว่ารัชทายาทถูกลอบสังหาร ทำให้แม่ทัพใหญ่ฉินคิดว่าเป่ยถังจะต้องวุ่นวายใหญ่โต ใจเขาต้องฮึกเหิมอยากเอาชนะ บวกกับตอนนี้ เขาไม่มีงบทางทหารที่เพียงพอต่อการเลี้ยงกองทัพต่อไปได้อีกแล้ว

ดังนั้น เขาจะต้องโจมตีอย่างรวดเร็วแน่นอน เริ่มจากวางแผนสร้างหมอกควันพรางตาที่จวนเจียงเป่ย จากนั้นค่อยชักนำชาวเป่ยโม่ไปที่ เมืองซิ่วโจว ใช้ภูมิประเทศที่เป็นเขาสูงสกัดกั้นเขาไว้ ลดทอนความอดทนอดกลั้นของเขา ทั้งยังช่วยยืดเวลาให้ล่าช้าออกไปอีกด้วย

เมื่อเทียบกับอาวุธเย็น *(หมายถึงอาวุธที่ไม่มีวัตถุระเบิดและสารระเบิดเพลิงอื่นๆ เช่น มีด ดาบ ค้อน เป็นต้น) อาวุธที่เจ้าห้าขนไปนั้นค่อนข้างอันตราย และกองทัพของเป่ยโม่ก็ล้วนอยู่ในเมืองซิ่วโจวแล้วทั้งหมด นั่นต่างหากที่จะกลายเป็นการต่อสู้ที่โหดร้ายของจริง

หลังจากที่กู้ซือกลับไป หรงเยว่ก็เข้ามาหาพอดี เพราะหรงเยว่สั่งให้คนของสำนักเหลิ่งหลังคอยตามอ๋องหวยตลอดเวลา และจดหมายก็ถูกส่งพิราบสื่อสารบินกลับมาตลอดเวลา แจ้งว่าเจ้าห้ากับอ๋องหวยเดินทางตามกันแบบกระชั้นชิดชนิดที่แทบจะหายใจรดต้นคอเลยทีเดียว ระยะห่างกันตอนนี้ไม่ถึงสองสามวันแล้ว

“เจ้าหกไปถึง เมืองฉู่โจวแล้ว เชื่อว่าตอนนี้รัชทายาทก็คงไปถึง เมืองซิ่วโจวแล้ว” หรงเยว่คาดเดาโดยยึดตามความเร็วในการเดินทางของกองทัพ

“ถ้าเขาไปถึงเมืองซิ่วโจว การต่อสู้ก็คงจะเริ่มขึ้นจริง ๆ แล้วสินะ?” หยวนชิงหลิงพูด

“ข้ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในตัวพวกเขา” หรงเยว่พูดอย่างมั่นใจ

หยวนชิงหลิงก็เต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นกัน การต่อสู้ครั้งนี้ มีทหารที่ชำนาญศึกเข้าร่วมรบมากมายขนาดนี้ สำหรับเป่ยถังแล้ว ถือว่าเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย

สองวันต่อมา มีจดหมายถูกส่งกลับมาอีกครั้ง แจ้งว่ารัชทายาทปรากฏตัวในสนามรบ นำกำลังทหารห้าพันคน เข้าเผชิญหน้ากับกองกำลังหลักของเป่ยโม่ กวาดล้างฝ่ายตรงข้ามไปได้กว่าสามหมื่นคน ทหารของเป่ยถังบาดเจ็บล้มตายไปสามร้อยกว่าคน

พอมีจดหมายแจ้งข่าวมา บรรดาข้าราชการขุนนางน้อยใหญ่ รวมถึงประชาชนในเมืองหลวงต่างก็เอะอะอื้ออึงกันถ้วนหน้า รัชทายาทยังไม่ตาย ? ทั้งยังนำทัพทหารห้าพันนายไปต่อกรกับกองกำลังหลักของเป่ยโม่? นอกจากนี้ ยังสามารถกำจัดฝ่ายตรงข้ามไปได้กว่าสามหมื่น ในขณะที่เป่ยถังมีคนบาดเจ็บล้มตายไปราวสามร้อยกว่าคน หากไม่ใช่เพราะรัชทายาทเป็นผู้เขียนจดหมายนี้ด้วยตัวเอง ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหลายก็คงไม่กล้าเชื่อแน่ ๆ

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้โดยสิ้นเชิง

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม การต่อสู้ก็ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ

การต่อสู้ครั้งนี้ถึงแม้จะมีอาวุธหนักก็จริง แต่ก็ยังค่อนข้างยาก สาเหตุหลักที่สำคัญที่สุด ก็มาจากความเหลื่อมล้ำในความแข็งแกร่งของกองทัพ

เป่ยโม่ก็เหมือนสิงโตตัวผู้นับล้านที่ออกมาจากรัง พวกเขาทั้งหมดต่างก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะศึกครั้งนี้ให้ได้

บรรดาผู้หญิงในจวนอ๋องฉู่ต่างก็พูดว่าเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ในความเป็นจริง ในใจทุกคนก็ยังแอบกังวลอยู่

โดยเฉพาะหยวนชิงหลิง

สำหรับหยวนชิงหลิง อาวุธที่เจ้าห้ากับท่านชายสี่ทำขึ้นมานั้น ถ้าพูดตามตรงเลยมันก็คืออาวุธเย็น เนื่องจากมีเงื่อนไขข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นดินระเบิดก็ดี หรือระเบิดมือก็ดี ทั้งหมดล้วนทำขึ้นมาแบบง่าย ๆ ถึงขั้นที่ไม่อาจรับประกันได้ว่า ระเบิดมือเหล่านั้นมันจะระเบิดทุกครั้งที่โยนออกไป

อีกทั้งกองทัพเป่ยถังซึ่งตอนนี้มีกำลังคนแค่สามแสน ต้องรับมือกับกำลังคนนับล้านของเป่ยโม่ ทำไมจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นล่ะ?

ยี่สิบวันหลังจากที่เจ้าห้าออกทัพ ก็ได้รับกล่องของฟางหวู

หลังจากตรวจสอบกับเปาจื่อแล้ว ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นการส่งมาแบบ Real-time ตามเวลาจริง ของส่วนใหญ่ที่ส่งมาจากยุคปัจจุบันสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างแม่นยำ ถึงแม้จะมีความคลาดเคลื่อนบ้าง ก็จะไม่คลาดเคลื่อนจนเกินไป แน่นอนว่า ก็มีของบางอย่างที่ไม่สามารถรับได้ด้วยเหมือนกัน

หยวนชิงหลิงไม่ได้อยู่ที่นั่น จึงไม่สามารถคำนวณแบบย้อนกลับได้ ตอนนี้นางร้อนใจเรื่องการคำนวณย้อนกลับที่นี่ให้เสร็จสิ้น ดีที่สุดคือควรกำหนดให้ได้ว่าเมื่อไหร่ กระแสน้ำวนกระแสไหน ที่มันเชื่อมโยงกับยุคปัจจุบัน

นางกลับไปที่ตำหนักเซี่ยวเยว่แล้วเปิดกล่องออก มันเป็นกราฟแสดงการสแกนคลื่นสมอง นางมองวิเคราะห์อย่างละเอียด รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง คลื่นสมองทั้งหมดนี้ล้วนผิดปกติ

มีวิดีโอที่อัดโดยโทรศัพท์มือถือส่งมาจากฟางหวู นางเปิดฟัง ฟางหวูบอกกับนางว่า EEG เหล่านี้ * ( EEG ชื่อเต็ม Electroencephalography อ่านว่า อิเล็กโทรเอนซีฟาโลกราฟ เป็นการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง โดยเป็นการตรวจการทำงานของเซลล์ประสาทสมอง โดยดูจากการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้า ) เป็นของนางที่ถ่ายในช่วงหลายวันที่ผ่านมา คลื่นสมองก่อนหน้าของนางมีความผิดปกติ แต่มีอยู่แถบหนึ่งที่เป็นปกติ แต่มาตอนนี้ทั้งหมดไม่มีความผิดปกติแล้ว

นอกจากนี้ยังมีรูปภาพกับวิดีโอบนโทรศัพท์ รวมถึงภาพ CT แสกนของสมองของนาง จากภาพ CT จะเห็นได้ว่าสมองซีกซ้ายของนางมีคลื่นเพิ่มขึ้นมา อีกทั้งมีเงาที่ผิดปกติในเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า ความรู้สึกแรกของนางคือ หรือนี่จะเป็นเนื้องอก?

นางดูวิดีโอที่ฟางหวูพูดอีกครั้ง ฟางหวูบอกกับนางว่านี่ไม่ใช่เนื้องอก เพราะเนื้อเยื่อถูกสกัดจากเครื่องมือรักษาระดับอุณหภูมิต่ำให้คงที่ออกมา เพื่อทำการทดสอบ อีกทั้งเนื้อเยื่อชิ้นนี้ยังเป็นเนื้อเยื่อส่วนของคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า *( ชื่อภาษาอังกฤษคือ prefrontal cortex ตัวย่อ PFC เป็นส่วนหน้าของสมองกลีบหน้าผาก อยู่ข้างหน้าของคอร์เทกซ์สั่งการปฐม) หรืออาจกล่าวได้ว่า คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้าของนาง มีอัตราการเพิ่มขึ้นและขยายตัวเช่นเดียวกับสมองซีกซ้าย

ฟางหวูถามนางว่า ช่วงนี้นางมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์หรือไม่? เพราะคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้านั้นเทียบเท่ากับ CEO ของสมอง ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความคิดเป็นต้น และสมองของหยวนชิงหลิงตอนนี้ แท้จริงแล้วคือผ้าผืนหนึ่งที่ทำหน้าที่ฉายภาพ และสิ่งที่ควบคุมทุกอย่างอยู่จริง ๆ คือสมองของหยวนชิงหลิงยุคปัจจุบัน

ดังนั้น ถ้าตรงนั้นมีปัญหา หยวนชิงหลิงต้องสามารถรับรู้ได้อย่างแน่นอน

หยวนชิงหลิงหวนนึกถึงช่วงหลายวันมานี้ อารมณ์ของนางได้รับผลกระทบตลอดเวลา ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าสาเหตุคงเป็นเพราะการตั้งท้องที่สาม แต่เมื่อมาวิเคราะห์ดูในตอนนี้ ดูเหมือนว่า อาจเป็นเพราะการกลายพันธุ์ของสมองในยุดปัจจุบันมากกว่า

ในตอนท้ายของวิดีโอ ฟางหวูขอให้นางเล่าให้เปาจื่อฟังถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติในช่วงนี้ หรือไม่ก็ลองดูว่าพอจะส่งอะไรกลับมาผ่านทางทะเลสาบจิ้งได้หรือเปล่า ? โดยสรุปคือ เธอจำเป็นต้องรู้โดยด่วนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

บัลลังก์หมอยาเซียน

บัลลังก์หมอยาเซียน

Status: Ongoing

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง”หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: “ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น”อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: “เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่” หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: “ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท