ผู้คนต่างสู้รบกันชุลมุน ยิ่งสู้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งกล้ามากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าสุดท้ายกองทัพของเป่ยโม่จะมีคนเยอะก็จริง แต่เพราะพวกเขาล้วนหงุดหงิดร้อนใจมาหลายวันแล้ว มาตอนนี้ก็ไม่สามารถโจมตีด้วยกำลังได้สำเร็จ กลับกลายเป็นว่าได้เห็นอีกฝ่ายยิ่งมีความกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งต้องมองดูสหายร่วมรบล้มตายจากไปทีละคน ๆ ด้วยอาวุธของฝ่ายตรงข้าม บวกกับอาวุธที่เป็นดินระเบิดซึ่งจะถูกขว้างมาเป็นครั้งคราว ยังไม่ทันเงื้อมือด้วยซ้ำ มันก็จะระเบิดขึ้นข้าง ๆ ตัวเองตลอดเวลา จึงเกิดเป็นความขลาดกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เพราะเสียงแตรสั่งโจมตียังคงดังต่อเนื่อง พวกเขาจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วพุ่งตรงไปข้างหน้าไม่หยุด
ในเวลาเดียวกัน อ๋องอานกับอ๋องเว่ย ได้นำกองทหารไปสกัดกั้นขบวนส่งเสบียงอาหารของชาวเป่ยโม่ แต่ไหนแต่ไร ชาวเป่ยโม่มักจะประมาทเรื่องการขนส่งอาหารมากเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความสูญเสียมากนัก แต่เพราะแม่ทัพใหญ่ฉินคิดว่า เมื่อโจมตีอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนยึดครองเมืองสำคัญ ๆ ของเป่ยถังได้แล้ว ย่อมได้รับเสบียงอาหารอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แต่หลังจากปิดล้อมเมืองไปได้หลายวัน พวกเขาถึงตระหนักรู้ขึ้นมาได้ว่า การจะบุกตีเป่ยถังให้ได้อย่างรวดเร็วนั้น มันเป็นความคิดที่ค่อนข้างจะอ่อนหัด ดังนั้น จึงส่งทหารกลับไปขอเสบียง
ติดอยู่ที่ เป่ยโม่เดิมทีพื้นที่แห้งแล้งกันดาร ขาดแคลนอาหาร บวกกับฉีฮั่วได้ไปกว้านซื้อและสะสมเสบียงอาหารในเมืองและมณฑลรอบ ๆ เมืองชายแดนมาจนหมด จึงทำให้ทางราชสำนักทำงานในส่วนนี้ได้ยากขึ้น จึงจำใจต้องส่งกองกำลังสำรองซึ่งค่อนข้างอ่อนแอออกไป เพื่อขนส่งเสบียงจำนวนหนึ่งเท่าที่มีมาให้ก่อน เป็นเหตุให้ถูกอ๋องอานกับอ๋องเว่ยสกัดกั้นได้อย่างรวดเร็ว ทหารที่ส่งมาทั้งหมดจึงถูกกำจัดสิ้นไม่มีเหลือ
หลังจากสกัดกั้นเสร็จ ก็รีบกลับไปที่เมืองเพื่อสนับสนุนกองทัพใหญ่ เสบียงอาหารเหล่านี้ไม่สามารถส่งถึงมือชาวเป่ยโม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะพออยู่รอดได้ในสองวันนี้ แต่อย่างไรพวกเขาก็จะต้องยอมวางมือจากเมืองซิ่วโจว แม้พวกเขาจะมีนิสัยของทหาร ไม่มีทางจะยอมถอยง่าย ๆ อย่างไรก็จะต้องเดินหน้าต่อไปแน่ ๆ ซึ่งนั่นอาจเป็นการบังคับให้พวกเขาซุ่มโจมตีได้
อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยา นำกำลังคนไปซุ่มโจมตีในเส้นทางที่จะเข้ามาโจมตีเมืองได้ สองวันนี้อากาศมืดครึ้มเล็กน้อย แม่ทัพใหญ่ฮู่กังวลว่าฝนจะตก อ๋องชินเฟิงอันนับนิ้วคำนวณ บอกว่าฝนจะไม่ตกแน่ หรือต่อให้ฝนตกก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรอยู่แล้ว ให้ทุกคนทำงานต่อไป
แม่ทัพใหญ่ฮู่ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขาเท่าไหร่ ในเมื่อ เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว อาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธที่ใช้ดินปืน เกิดถูกทำให้เปียกพวกมันจะยังใช้ได้อยู่รึ?
แต่ข้างกายของอ๋องชินเฟิงอันจะมีเสือขนทองตัวหนึ่งติดตามอยู่เสมอ เวลาที่เสือขนทองตัวนี้ยืนอยู่ข้าง ๆ อ๋องชินเฟิงอัน จะทำให้ผู้คนรู้สึกวางใจในคำพูดของเขาได้อย่างอธิบายไม่ถูก
ทุกคนก้มหน้าทำงานอย่างหนัก เพื่อให้เป้าหมายเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด ช่วยลดแรงกดดันในเมืองให้ส่วนหนึ่ง
การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายในศึกนี้ ในใจทุกคนล้วนวิตกกังวลมาก แต่อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยากลับไม่มีอารมณ์เช่นนั้น พวกเขาออกคำสั่งอย่างมีระเบียบแบบแผน ตรวจดูภูมิประเทศอย่างละเอียด เดิมทีมีทางหนึ่งที่เขาคิดว่าสามารถซุ่มโจมตีได้ แต่เขาไม่อนุญาต โดยบอกว่า ศัตรูจะไม่เดินเส้นทางนี้แน่ หลีกเลี่ยงไม่ให้เสียของไปเปล่า ๆ
แม่ทัพใหญ่ฮู่คิดว่าเขาช่างใจแคบเสียจริง เสียของเปล่า ก็เสียของเปล่าไปสิ ไม่ใช่ว่าไม่มีเสียหน่อย คนของสำนักเหลิ่งหลังต่างก็กำลังขนส่งอาวุธมาให้อย่างไม่ขาดสาย มีให้ใช้ไม่หวาดไม่ไหว ทำไมต้องทำเหมือนว่ายากจนขนาดนี้ด้วย?
เขาอดบ่นไม่ได้ แต่อ๋องชินเฟิงอันจ้องมองเขาอย่างจริงจัง “สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ!”
เป็นเรื่องสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุจริง ๆ แต่การซุ่มโจมตีที่มีรัศมีขนาดใหญ่เช่นนี้ จะไม่เพิ่มความปลอดภัยให้มากกว่านี้อีกสักหน่อยหรือ?
แต่อ๋องชินเฟิงอันเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความขุ่นเคืองใจก็ตาม แต่ก็ไม่อาจไม่ทำตามคำสั่งของอ๋องชินเฟิงอัน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องระบุสถานที่ ย่อมจะทำให้เวลายิ่งล่าช้าออกไป บรรดานายกองใต้บังคับบัญชาของเขาหลายคนก็ทนไม่ไหวมาบ่นกับเขา แม่ทัพใหญ่ฮุ่เป็นแม่ทัพที่กล้าหาญ มีประสบการณ์สู้ศึกมาหลายสนาม แต่กลับหูเบาเชื่อคนง่าย พอได้ฟังที่ทุกคนพูด มันก็สะท้อนสิ่งที่เขาคิดอยู่พอดี คืนนั้นจึงอดกลั้นไม่ไหว ไปทะเลาะทุ่มเถียงกันที่กระโจมของอ๋องชินเฟิงอันจนได้
เขาคิดว่าการเลือกสถานที่แบบนี้ จะทำให้กระบวนการล่าช้าออกไป แล้วเพิ่มอันตรายให้กับทหารในเมือง อีกทั้งอ๋องชินเฟิงอันก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าศัตรูจะไม่เดินตามเส้นทางนี้ หากปล่อยให้มีศัตรูเล็ดลอดไปได้ มันจะไม่เท่ากับเปิดทางให้ศัตรูที่เหลือรอด มีโอกาสกลับมาแว้งกัดได้หรอกหรือ?
อ๋องชินเฟิงอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบประโยคหนึ่งว่า “ไร้สาระ!”
แม่ทัพใหญ่ฮู่ไม่ยอมแล้วครั้งนี้ “อะไรคือไร้สาระ? ถ้าความเห็นของข้าคนเดียวอาจจะผิดได้ แต่ทุกคนต่างก็พูดอย่างนี้กันหมด หรือว่าความคิดเห็นของทุกคนก็ล้วนผิดทั้งหมดเลยอย่างนั้นรึ?”
“ใครเป็นคนพูดอย่างนี้ล่ะ?”
“ พวกนายกองใต้บังคับบัญชาของข้า พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นนักรบที่มีประสบการณ์การสู้รบมาหลายร้อยสนาม มีประสบการณ์การสั่งทัพออกรบ”
อ๋องชินเฟิงอันถามกลับว่า “มีแต่คนร้ายกาจทั้งนั้น ทำไมไม่ไปเป็นแม่ทัพเสียเอง ยังต้องลดตัวลงมาเป็นนายกองเล็ก ๆ อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้า?”
“นี่…ทำไมเจ้าถึงได้ดูถูกคนอื่นอย่างนี้?” แม่ทัพใหญ่ฮู่โกรธขึ้นมาทันใด
อ๋องชินเฟิงอันชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ให้เขานั่งลง จากนั้นจึงวิเคราะห์ให้เขาฟังว่า “พวกเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า พวกเขาจะเดินตามเส้นทางซุ่มโจมตีของเรา เช่นนั้นก็มีวิธีเดียวคือทำลายอีกเส้นทางหนึ่งเท่านั้น และเส้นทางนี้ จะเป็นเส้นทางถอยและโจมตีของกองทัพเราไปด้วยในเวลาเดียวกัน อีกทั้งหลังจากสงครามนี้จบลงแล้ว เส้นทางสายนี้ต้องเหลือไว้ให้ประชาชนคนทั่วไปใช้สัญจร หรือเจ้ากล้าให้ประชาชนเดินไปตามถนนที่เราวางทุ่นระเบิดไว้ได้ล่ะ?”
“นี่…” แม่ทัพใหญ่ฮู่ตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงตรงจุดนี้จริง ๆ แต่หลังจากครุ่นคิดให้ลึกลงไป เขาก็รู้สึกว่ามันยังไม่เหมาะอยู่ดี “ในเมื่อทางสายนี้ถูกทำลายไปแล้ว ทางสายนี้จะกลายเป็นเส้นทางถอยและโจมตีของกองทัพเราได้อย่างไรล่ะ?”
อ๋องชินเฟิงอันยื่นมือขึ้นไปลูบกระดูกคิ้ว แสดงท่าทีจนใจเล็กน้อย “ถนนสายนี้ ศัตรูเห็นว่ามันถูกทำลายแล้ว พอระเบิดจนดินพังถล่มลงมา มันจะขวางทางเดิน เพื่อให้ทันกับกระบวนการ พวกเขาจะไม่เก็บกวาดทาง ถึงขั้นอาจคิดว่ามีการซุ่มโจมตีอยู่ข้างหน้า ดังนั้นก็อาจจะเลือกเส้นทางที่เรากำหนดไว้ แล้วเข้าสู่วงล้อมกับดักของเรา แต่พวกเราไม่ใช่ หลังจากผ่านพื้นที่ถล่มนี้แล้ว เราก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้น เมื่อไหร่ที่วงล้อมกับดักซุ่มโจมตีนี้ไม่อาจสังหารพวกนั้นได้หมด กองทหารของเราจะสามารถบุกเข้าไปสกัดกั้นทัพของพวกนั้นได้อย่างราบรื่น ถึงเวลานั้น กำลังคนของอีกฝั่งก็จะเหลือไม่มากแล้ว พวกเราก็จะไม่ลำบากในการต่อสู้ขนาดนั้นอีก เข้าใจแล้วหรือไม่? ”
หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของเขา แม่ทัพฮู่จึงตระหนักได้ว่าความคิดของเขายังไม่ละเอียดถี่ถ้วนพอ จึงพูดอ้อมแอ้มไปว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่านก็อธิบายให้ข้าฟังหน่อยเถอะว่า ทำไมถึงได้บอกว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ? ข้ายังคิดอยู่ว่าท่านกลัวจะสิ้นเปลืองจริง ๆ เสียอีก”
อ๋องชินเฟิงอันเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วพูดอย่างอดทนว่า”เจ้าคิดว่าพวกเรามีอาวุธมากมายรึ? แน่นอนล่ะว่าต้องกลัวจะสิ้นเปลือง ต่อให้อาวุธมันจะทำขึ้นมาได้ แต่การขนส่งมาต้องเดินทางยาวไกลขนาดไหน? เจ้าไม่รู้รึ? ถ้าฆ่าพวกนั้นที่นี่ไม่ได้ เราไม่ต้องหาทางซุ่มโจมตีซ้ำอีกหรือ? สงครามน่ะ ไม่สามารถมองแต่เฉพาะเรื่องที่อยู่ตรงหน้าได้ ไม่มีการรบไหนที่จะสามารถกำหนดชัยชนะได้แน่นอนถึงเก้าในสิบส่วนหรอกนะ”
แม้ว่าน้ำเสียงของอ๋องชินเฟิงอันจะอ่อนโยน แต่เสือขนทองที่อยู่ข้างๆ เขายังแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ตลอด ทำให้แม่ทัพฮู่สะดุ้งตกใจขึ้นมาเล็กน้อย บวกกับการวิเคราะห์ที่มีหลักการสมเหตุสมผล ยิ่งทำให้เขาดูเป็นคนชอบชวนทะเลาะแบบไม่มีเหตุผลขึ้นมาทันที
“ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าเข้าใจแล้ว” แม่ทัพฮู่ยืนขึ้นแล้วประสานมือคำนับ “ทุกอย่างล้วนทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง”
อ๋องชินเฟิงอันถามขึ้นว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมฝ่าบาทถึงเลือกพระสนม?”
“หือ?” แม่ทัพใหญ่ฮู่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ในดวงตาเจือไปด้วยคำถาม
“เพราะเจ้าเป็นตาแก่ที่ชอบทำเรื่องให้คนอื่นต้องกังวลใจแทนตลอด ถูกคนอื่นยั่วยุได้ง่าย!” อ๋องชินเฟิงอันส่ายหน้า “พูดไปแล้วสงครามครั้งนี้ กุญแจสู่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้คือการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เจ้าสามารถถามคำถามได้ แต่ก่อนหน้าที่ลูกน้องเจ้าจะมาพูด เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะพูดจาหักล้างความคิดของข้าด้วยซ้ำ แต่ทันทีที่พวกเขาพูด เจ้าก็มาหาข้าแล้วชวนทะเลาะทันที ความคิดและความกล้าหาญของเจ้า ล้วนเป็นเพราะพวกเขามอบให้อย่างนั้นรึ?”
แม่ทัพใหญ่ฮู่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “แล้ว… แล้วเรื่องนี้จะส่งผลกระทบอะไรต่อการเลือกพระสนมของฝ่าบาทอย่างนั้นรึ? ก่อนหน้านี้ข้ามักประมาทเลินเล่อและหยิ่งทะนงเกินไป แต่นับตั้งแต่กลับมาจากเมืองหลวง ข้าก็หัดยับยั้งตัวเอง รู้จักสงบปากสงบคำ ไม่กล้าเอาความดีความชอบมายกตนข่มท่านอีก นอกจากเรื่องของวันนี้ ข้าก็คิดไม่ออกแล้ว ไม่เข้าใจจริง ๆ…”
เสียงของเขาค่อย ๆ หนักอึ้งลงไปทุกขณะ แน่นอนว่า เขามีข้อบกพร่องข้อนี้อยู่จริง ๆ!