ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว หูหมิงกับแม่นางโจวยังคงอพยพผู้คนใจกลางเมือง
ก่อนฟ้าสาง เป็นเวลาที่ผู้คนง่วงงุนมากที่สุด ประชาชนต่างก็โมโหมาก หนึ่งในนั้นมีพ่อหม้ายคนหนึ่งที่เลี้ยงลูกชายด้วยตนเอง พ่อหม้ายทำอาชีพเป็นนักฆ่าสัตว์ ตอนยามสามเพิ่งจะฆ่าหมูเสร็จและจัดส่งหมูออกไป กลับมาแล้วรู้สึกง่วงมาก แต่ถูกปลุกจนตื่นขึ้นมาในทันที ยังทำให้ลูกชายของเขาตื่นขึ้นมาด้วย โมโหจนด่ากราดทันที
บ้านข้างเคียงจึงยุยงเขา ให้เขาเอามีดทำครัวออกมา ไล่คนกลับไปก็สามารถนอนหลับได้แล้ว นักฆ่าสัตว์โมโหมาก หลังจากอุ้มลูกชายกลับเข้าไปแล้ว ก็ไปหยิบมีดออกมาเผชิญหน้ากับแม่นางโจวทันที
และเป็นเวลาเดียวกับที่เขาไปเอามีดวิ่งออกมาพร้อมกับคนทั้งบ้าน ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น พวกเขาจ้องมองบ้านเรือนของตนเองที่พังทลายลงในชั่วพริบตา ฝุ่นคลุ้งตลบอบอวล ข้างกันนั้นมีเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวส่งมา บ้านของเพื่อนบ้านข้างๆก็ถล่มลงมาด้วย คนอยู่ใต้ชายคาไม่สามารถหนีออกมาได้ ต่างก็ถูกทับได้ด้านล่าง
ลูกชาย ลูกชายข้า พ่อหม้ายเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเขาได้อุ้มลูกกลับเข้าไปด้านใน ทันใดนั้นก็ร้องอย่างเจ็บปวดขึ้นมา แต่ว่า บ้านได้ถล่มลงมาแล้ว ลูกชายคงต้องถูกทับไว้ด้านในแน่ เพิ่งจะสามขวบ คงหนีเอาตัวรอดได้ยาก
เขาตะกุยก้อนอิฐอย่างสุดแรง ราวกับบ้าไปแล้ว
แม่นางโจวกับหูหมิงรีบเข้าไปช่วยเหลือ แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ คนที่วิ่งกลับไปมีมากเกินไป ประชาชนที่ถูกทับไว้ใต้ซากบ้านเรือนก็มีมากมายนัก เกิดความวุ่นวายโกลาหลขึ้นไปทั่วทั้งเมืองโร่ตู
ทั่วทั้งสี่ด้าน ล้วนมีแต่เสียงกรีดห้องโหยหวน ปกติแล้วประชาชนเหล่านี้เป็นปรปักษ์กับราชสำนักมาตลอด ต่อต้านพวกเขา แต่ตอนนี้ พวกเขากลับอ่อนแอไร้ที่พึ่ง เสียงห้องให้คร่ำครวญน่าอเนจอนาถใจนัก ทำให้ได้ยินแล้วรู้สึกอยากร้องไห้
คนกลุ่มหนึ่งช่วยกันขุดหาลูกขายของพ่อหม้าย แต่ในขณะนั้นก็ไม่มีเครื่องมืออะไร ได้แต่ใช้มือในการขุดหา ผ่านไปชั่วครู่มือของแม่นางโจวก็มีเลือดไหลเต็มไปหมด แต่นางก็ยังไม่ละมือ ยังคงเคลื่อนย้ายก้อนอิฐ ผลักกำแพงดินออกไป
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม แม่นางโจวอุ้มเด็กน้อยออกมา ขาของเด็กถูกทับจนได้รับบาดเจ็บ ร้องไห้อย่างเจ็บปวด พ่อหม้ายรีบวิ่งเข้าไปแย่งตัวลูกมาอุ้มทันที มองเห็นมือของแม่นางโจว พ่อหม้ายร้องไห้ออกมา คุกเข่าแสดงความขอบคุณอย่างซึ้งใจ
แม่นางโจวไม่มีเวลามาสนใจเขา ได้ไปช่วยเหลือผู้คนที่เหลือพร้อมกับหูหมิงและคนในใต้บังคับบัญชา
หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวผ่านไปแล้ว เจ๋อหลานกับน้องฟีนิกซ์ยังคงบินวนอย่างต่อเนื่อง พบว่าเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงจากแผ่นดินไหว พอดีกับเป็นบริเวณที่อยู่ของพวกกลุ่มหัวรุนแรง บ้านเรือนพังถล่มไปเกือบเก้าส่วน และมีดินโคลนถล่มด้วย ทำให้หมู่บ้านหูหลิวถูกดินโคลนทับไปกว่าครึ่งหมู่บ้าน หมู่บ้านหูหลิวมีคนประมาณเจ็ดแปดร้อยคน ที่หนีออกไปมีไม่ถึงสามสิบคน
ตอนที่เจ๋อหลานกับน้องฟีนิกซ์บินมาถึง คนที่หนีออกมาต่างก็อยู่ในอาการตกตะลึง ยืนนิ่งอยู่บนพื้นที่โล่ง ปกติแล้วตอนที่ก่อเรื่องใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความโมโห ตอนนี้มีเพียงความตื่นตระหนก เสียใจ หวาดกลัว
กระทั่งเห็นน้องฟีนิกซ์กับเจ๋อหลาน ใบหน้าของพวกเขาต่างก็นิ่งอึ้งไป
เจ๋อหลานพูดเสียงดุว่า พวกเจ้ายังจะนิ่งอยู่ทำไม รีบไปช่วยคนเร็วเข้า ช่วยได้คนหนึ่งก็ยังดี
พวกเขาจึงได้สติกลับมา รีบไปขุดดินช่วยเหลือคน
แต่การช่วยเหลือ ต้องใช้คนที่มากกว่านี้ แม้ว่าเมืองโร่ตูจะมีทหารที่หูหมิงพามาด้วยเพิ่มขึ้นสองพันนาย แต่ใช้สำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้วอย่างไรเสียก็ยังไม่พอ
เมืองโร่ตูแผ่นดินไหว หัวเมืองใกล้เคียงและจวนเจียงเป่ยก็น่าจะรับรู้ได้ ฉะนั้น เจ๋อหลานจึงให้น้องฟีนิกซ์ไปรายงานให้พวกพี่ๆทราบ เพื่อขอความช่วยเหลือ และนางก็อยู่ช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน
นางกระตุ้นพลังความคิด เคลื่อนย้ายดินโคลน แต่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเป็นบริเวณกว้างได้ เพราะว่าด้านล่างมีผู้คนถูกทับไว้เท่าไหร่ นางก็ไม่รู้ ได้แต่ทำการเคลื่อนย้ายไปทีละจุด
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เพิ่งจะช่วยออกมาได้ห้าคน และมีสองคนที่ตายไปแล้ว ที่เหลือสามคนบาดเจ็บสาหัส ดูท่าคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว
มีผู้รอดชีวิตสามสิบคน ระหว่างที่ขุดหากันอยู่ก็ร้องไห้เสียงดังออกมา เสียงร้องไห้น่าอนาถใจนัก เพราะว่า ที่ถูกฝังอยู่ด้านล่างนั้นเป็นญาติของตนเอง
ทั้งหมู่บ้าน แทบจะใช้นามสกุลเดียวกันหมด อย่างน้อยก็มีสายสัมพันธ์เป็นญาติกัน แม้คนที่ตายจะไม่ใช่คนในครอบครัวตนเอง แต่ก็เป็นญาติ
เจ๋อหลานเห็นพวกเขาเอาแต่ร้องไห้ ก็เอ่ยเสียงเข้มว่า ร้องไห้ทำไม ขุดต่อไป การช่วยเหลือจะมาถึงในไม่ช้า
มีชาวบ้านคนหนึ่งเช็ดน้ำตา เอ่ยด้วยเสียงเกลียดชังว่า ไม่มีความช่วยเหลืออะไร ราชสำนักแทบอยากจะฆ่าพวกเราให้สิ้นซาก พวกเราตายกันหมด ราชสำนักจะได้ยึดเมืองโร่ตูอย่างเป็นทางการ ไม่มีใครมาช่วยเราแน่
เจ๋อหลานเอ่ยอย่างโมโหว่า พูดบ้าอะไรกัน ข้ามาแล้วนี่ไง ขุดต่อไป
เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเป็นใคร
มีคนไม่มากนักที่เคยพบเจ๋อหลาน แม้จะเคยพบ แต่แสงสลัวเช่นนี้ ก็มองไม่ออก ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาว่ามีเด็กมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
เจ้าเมืองโร่ตู หยู่เหวินเจ๋อหลาน เจ๋อหลานพูดจบ ก็เดินต่อไปยังพื้นที่ที่ถูกดินโคลนถล่มใส่ ร่างเล็กๆนั้น ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลออกไป กลับยิ่งทำให้รู้สึกยิ่งอยู่ก็ยิ่งเล็กลง
ได้ยินว่าเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ ชาวบ้านเหล่านั้นต่างก็ตกตะลึงไป จะเป็นไปได้อย่างไร องค์หญิงที่เป็นเด็กคนนั้นจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นางควรจะอยู่ในจวนให้คนอื่นปกป้องนี่นา
แต่เห็นนางที่ไม่รู้ว่าใช้พลังอะไร บริเวณที่นางเข้าใกล้ ดินโคลนล้วนพลิกออกมา เป็นชั้นๆ และได้ยินเสียงของคนที่ร้องไห้ขอความช่วยเหลือ ทุกคนรีบกรูกันเข้าไปช่วยเหลือ
เมืองโร่ตูแผ่นดินไหว จวนเป่ยเจียงก็รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน และมีบ้านเรือนถล่มลงมา เพียงแต่ไม่รุนแรง ที่ถล่มลงมาเป็นบ้านเรือนที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว ได้รู้ว่าเมืองโร่ตูเกิดแผ่นดินไหว อ๋องเว่ยกับอ๋องอันก็รีบส่งคนไปช่วยเหลือทันที ถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าเจ๋อหลานอยู่ในเมืองโร่ตู พวกเขาคิดว่าเจ๋อหลานติดตามอาจารย์จากไปแล้ว
พี่ชายทั้งสี่คนควบม้าพาคนไปช่วยเหลือ หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวสิบสองชั่วยาม คนที่มาช่วยเหลือเมืองโร่ตูก็มีมากว่าแปดพันคนแล้ว
ประชาชนของเมืองโร่ตูไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากจะเชื่อว่าราชสำนักจะส่งคนมาช่วยเหลือ เดิมทีพวกเขาคิดว่าคนในเมืองโร่ตูจะตายเท่าไหร่ บาดเจ็บเท่าไหร่ ราชสำนักก็คงไม่ถามถึง เพราะว่า เมืองโร่ตูสร้างความวุ่นวายไว้ไม่น้อย
เมื่อก่อนเมืองโร่ตูก็เคยเกิดเรื่องขึ้น อย่างเช่น ภัยแล้ง ภัยพิบัติจากตั๊กแตน ดินถล่ม แต่ว่า ราชสำนักของเป่ยโม่ไม่ได้ส่งคนมา ได้แต่แสร้งทำเป็นส่งเสบียงมาบางส่วน ก็นับว่าเป็นการบรรเทาภัยแล้ว
เมืองโร่ตู พึ่งพาตัวเองเสมอมา
หลังจากที่อ๋องเว่ยและอ๋องอันมาถึงเมืองโร่ตู จึงได้รู้ว่าเจ๋อหลานอยู่ที่นี่ และเป็นเจ้าเมืองได้ระยะหนึ่งแล้ว โจรบนเขาลั่งซานก็เป็นนางที่ปราบปรามจนสิ้นซาก ทำเอาลุงทั้งสองของนางตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง และตกใจจนรู้สึกมึนงง เรื่องนี้ต้องบอกให้น้องห้ารู้
แต่พอเกิดความคิดนี้ขึ้นมา พวกเขาก็คิดว่าตัวเองหลงกลแล้ว ก่อนหน้านี้เจ๋อหลานได้มาหาพวกเขาก่อน จากนั้นก็มาที่เมืองโร่ตู ถ้าหากน้องห้ารู้เรื่องนี้เข้า ต้องโทษพวกเขาแน่ที่รู้แล้วแต่ไม่ยอมรายงาน ฉะนั้น เรื่องนี้จะบอกให้น้องห้ารู้ไม่ได้
ช่างเถอะ ช่วยคนก่อน เรื่องเล็กเหล่านี้ค่อยคิดหาทางอีกที
พื้นที่ประสบภัยค่อนข้างใหญ่ ขาดทรัพยากรต่างๆเป็นอย่างยิ่ง พี่ชายทั้งสี่คนได้ส่งทรัพยากรมาจากเมืองของตนเอง อ๋องอันก็ได้ส่งพิราบสื่อสารไปส่งข่าวภัยพิบัติแก่เมืองหลวง ให้ราชสำนักมีคำสั่งให้เมืองที่อยู่ใกล้เคียงส่งเสบียงอาหารเครื่องนุ่งห่มและทรัพยากรอื่นๆมาช่วยเหลือ
และทรัพยากรที่ส่งมาชั่วคราว มีเจ๋อหลานเป็นผู้จัดการทั้งหมด หูหมิงกับแม่นางโจวคอยช่วยเหลือ
ภัยพิบัติครั้งนี้ ทำให้ประชาชนในเมืองโร่ตูลดความเป็นศัตรูกับราชสำนักลงไปไม่น้อย ประชาชนไม่น้อยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บยินดีจะเข้าร่วมกับกลุ่มช่วยเหลือ ติดตามพวกเจ๋อหลานไปทำการขุดค้นหาคนที่ถูกฝังไว้ใต้ดิน
การบรรเทาภัยนั้น เวลามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จะเสียเวลาคิดมากไม่ได้
ขุดเจอผู้รอดชีวิต ทุกคนทั้งยิ้มทั้งร้องไห้
ขุดเจอคนที่ไร้ลมหายใจ ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบน้ำตาไหล จัดการศพให้เรียบร้อย แล้วก็ค้นหาต่อ
ครั้งนี้เจ๋อหลานต้องสัมผัสกับการบาดเจ็บและตายมากที่สุดครั้งหนึ่ง เด็กอายุแปดขวบคนหนึ่ง แม้ว่าจะมีสติปัญญาเหนือกว่าคนทั้งหลาย แต่เมืองที่ถูกปกคลุมไปด้วยความตายยังคงทำให้นางรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง
ช่วงพลบค่ำ นางหลบอยู่ในมุมหนึ่ง กอดฟีนิกซ์แล้วร้องไห้