บทที่ 67 นิทานของคุณพ่อ
ถังเฉายังคงยืนอยู่ที่เดิมและเฝ้าดูแม่ลูกทั้งสองเดินขึ้นไปชั้นบน
มีเพียงหลินจ้าวหยูนที่ยืนมองถังเฉาด้วยท่าทางแปลกๆ และถามขึ้นว่า “พี่เขยคะ หนูขอถามพี่หน่อย? เดี๋ยวก็จะได้นอนกับพี่สาวหนูแล้ว ความรู้สึกตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”
“จ้าวหยูน หยุดกวนได้แล้ว”
ถังเฉายิ้มอย่างขมขื่น “พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง”
ถ้าการทำภารกิจหรือการฆ่าคนนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา แต่ถ้าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ชายหญิงแล้วเป็นเรื่องยากสำหรับเขามาก
“ไม่หรอกมั้ง พี่เขย?”
หลินจ้าวหยูนอ้าปากใบเล็กๆ ของเธอแล้วพูดอย่างประหลาดใจ “พี่สาวหนูพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ให้พี่ขึ้นไปนอนชั้นบนด้วย พี่ยังไม่รู้จะทำยังไงจริงเหรอ?”
“พี่คิดว่ามันไม่ดีเลย”
“จะไม่ดีตรงไหนล่ะ? แล้วให้แม่ลูกสองคนนอนด้วยกันมันดีแล้วเหรอคะ?”
หลินจ้าวหยูนอธิบายต่อ “พี่เขยนะพี่เขย แค่นี้ก็ดูไม่ออกเหรอเนี่ย……พี่คิดว่าเสี่ยวลี้งอแงเพราะอยากนอนกับพ่อแม่เหรอ?”
“ไม่ใช่เหรอ?” ถังเฉาถามด้วยความสับสน
“ก็จริงเหมือนกัน แต่ที่มากกว่านั้นคือเสี่ยวลี้รู้ว่าพี่เพิ่งกลับมา และพี่กับพี่สาวหนูไม่มีพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยากันเลย เธอถึงได้งอแงไงล่ะ”
คำพูดของหลินจ้าวหยูนทำให้ถังเฉาหัวเราะอย่างงุนงง “เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? เสี่ยวลี้เพิ่งจะเข้าห้าขวบเองนะ……”
“ตอนพี่สาวหนูอายุห้าขวบ เธอท่องสมการคณิตศาสตร์ของชั้นประถมได้หมดแล้วนะ”
หลินจ้าวหยูนยิ้มแล้วขัดจังหวะการพูดของถังเฉา “เสี่ยวลี้เป็นลูกพี่สาวหนูนะ จะไม่ให้เธอเหมือนแม่ได้ไง?”
ถังเฉาถึงกับพูดไม่ออก เขาเริ่มสงสัยว่าเรื่องก่อนหน้านี้เป็นความตั้งใจของถังเสี่ยวลี้แล้ว
“พี่เขยคะ ในแง่ของความรู้สึก พี่เป็นเหมือนท่อนไม้เลยจริงๆ นะ……แต่แน่นอนว่าพี่สาวหนูก็ไม่ได้ดีอะไรมากมายหรอก”
หลินจ้าวหยูนถอนหายใจแล้วพูดกับถังเฉาต่อ “พี่หายตัวไปเป็นเวลาห้าปี แล้วตอนนี้พี่กลับมาหาพี่สาวหนู และเหตุผลหลักที่พี่สาวหนูยอมอยู่กับพี่ก็มีแค่อย่างเดียว นั่นก็คือเสี่ยวลี้ นอกจากเสี่ยวลี้แล้วพี่รู้สึกว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับพี่สาวหนูไหม?”
ถังเฉาส่ายหัว
“ชีวิตของพี่กับพี่สาวหนูเหมือนกับสามีภรรยากันไหม?”
ถังเฉาส่ายหัวอีกครั้ง
“นั่นน่ะสิ แล้วสามีภรรยาจะแยกกันนอนได้ไงล่ะ?”
หลินจ้าวหยูนตบไหลถังเฉาเบาๆ แล้วพูดต่อ “จำคำพูดหนูไว้นะคะพี่ ต้องเข้าหาพี่สาวหนู มัดใจเธอให้ได้ เข้าใจไหมคะ?”
“เข้าใจ”
ถังเฉาพยักหน้าและแสดงความเคารพด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนทหารอย่างไม่ทันตั้งตัว
ในขณะนี้ ถังเฉารู้สึกมีภาระขึ้นมาทันที เหมือนเขาได้กลับไปสู่ยุคของสงครามที่มีกระสุนสาดลงมาเหมือนฝนอีกครั้ง
ไม่มีการถอยทัพ ไม่มีการหนี มีเพียงการเดินหน้า เดินหน้าและเดินหน้าอย่างเดียว!
ถังเฉายืดอกแล้วเดินขึ้นไปขั้นสอง เขาลังเลและหายใจเข้าลึกๆ หลายๆ ครั้งจึงจะกล้าผลักประตูเข้าไป
ในขณะนี้ หลิยชิงเสว่นอนกอดถังเสี่ยวลี้อยู่บนเตียง สาวงามทั้งสองนอนอยู่บนเตียงด้วยชุดนอน หลิยชิงเสว่สวมชุดนอนผ้าไหมสีม่วงลาเวนเดอร์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่และงดงามอย่างที่สุด ส่วนถังเสี่ยวลี้สวมชุดนอนลายการ์ตูนปิกาจู
“คุณพ่อ”
เมื่อเห็นถังเฉาเดินเข้ามาถังเสี่ยวลี้ก็ยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นเธอขยับไปข้างๆ เพื่อเหลือที่ว่างให้เขาและตบที่ว่างนั้นเบาๆ แล้วพูดว่า “ตรงนี้ ตรงนี้”
ถังเฉามองไปที่หลิยชิงเสว่ เมื่อเห็นหลิยชิงเสว่ไม่มีท่าทีจะต่อต้านและยังขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเหลือพื้นที่ให้เขา เขาถึงจะขึ้นไปนอนลงบนเตียงอย่างโล่งอก
อันที่จริงแล้วถังเฉากับหลิยชิงเสว่ถือว่าไม่ได้นอนด้วยกันเลย
เพราะหลิยชิงเสว่นอนอยู่ด้านขวา ถังเฉานอนด้านซ้าย ส่วนถังเสี่ยวลี้ก็นอนคั่นกลางระหว่างทั้งสอง
“คุณพ่อช่วยเล่านิทานให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ?”
ถังเสี่ยวลี้ขยี้ตาแล้วมองไปที่ถังเฉา “หนูง่วงแล้ว”
“เอาสิ” ถังเฉาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
หลิยชิงเสว่ที่อยู่ข้างๆ ก็ยื่นหนังสือนิทานให้เขา
แต่ถังเสี่ยวลี้กลับปฏิเสธทันที “หนูไม่อยากฟังนิทานในหนังสือ หนูอยากฟังนิทานของคุณพ่อ”
ถังเฉาถึงกับทึ่งไปสักพัก จากนั้นค่อยๆ ยิ้มและพูดว่า “ได้ครับ งั้นเดี๋ยวเล่าเรื่องของพ่อให้ฟังนะ”
หลิยชิงเสว่ปิดหนังสือในมือ แล้วดวงตางดงามที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจก็มองไปที่ถังเฉา
ในการประชุมเสนอราคาครั้งก่อนถังเฉาเคยเล่าเรื่องราวของตัวเองแบบสั้นๆ แล้ว แต่ในระหว่างห้าปีที่หายไปนั้น เขาเจอกับอะไร ซึ่งเธอก็ยังไม่เคยรู้
เธอเคยให้คนไปตรวจสอบประวัติแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล
“พ่อน่ะ เกือบแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นแล้ว แต่ฟ้าประทานให้พ่อได้เจอแม่ก่อน ตอนนั้นพ่อเกือบตายแล้ว แต่แม่ของลูกช่วยชีวิตพ่อเอาไว้”
“จากนั้นมาพ่อก็คิดถึงแม่ตลอด และพ่อหวังว่าสักวันจะได้กลับมาเมืองหมิงจูเพื่อตอบแทนบุญคุณของแม่ แต่ตอนนั้นพ่อไม่มีอะไรเลย ไม่มีเงิน ไม่มีคนรู้จัก แล้วจะปกป้องแม่ยังไง? ดังนั้นพ่อจึงเลือกเส้นทางหนึ่งที่แตกต่างจากคนทั่วไป
“……”
ถังเฉาเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตของเขา ถังเสี่ยวลี้ก็ฟังอย่างตั้งใจ และหลิยชิงเสว่ก็ฟังด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องราวที่ยาวมาก เมื่อถังเสี่ยวลี้ฟังได้สักพักก็ไม่สามารถต้านทานต่อความง่วงและเผลอหลับไป
แต่นิทานยังไม่ได้จบลง ถังเฉายังคงเล่าเรื่องราวของเขาต่อ จากการเข้าสู่กองทัพปราณมังกร รู้จักกับมิตรสหายในกองทัพมากมาย จนไปถึงภารกิจที่น่าตื่นเต้นครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งหลิยชิงเสว่ก็รับฟังอยู่ตลอดเวลา
เมื่อถังเฉาเล่าถึงการที่ได้รับการบาดเจ็บในขณะปฏิบัติภารกิจ หลิยชิงเสว่ก็ขมวดคิ้ว
เมื่อถังเฉาเล่าถึงมิตรสหายที่ต้องเสียชีวิตในสนามรบ หลิยชิงเสว่ก็สัมผัสถึงความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งของถังเฉาจากคำพูดของเขา
เมื่อถังเฉาเล่าถึงการกลายเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามในกองทัพของเขา หลิยชิงเสว่ก็รู้สึกอุ่นใจและภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย
เมื่อถังเฉาเล่าถึงการออกรบในหุบเขาโยวเหิงกับศัตรูที่แข็งแกร่งทั้งเก้าที่หนีมาประเทศจีน หัวใจของหลิยชิงเสว่ก็เต้นแรงจนแทบพุ่งออกมาจากอก เพราะนั่นเป็นช่วงเวลาที่เข้าใกล้กับความตายที่สุดของถังเฉา
เมื่อถังเฉาเล่าถึงจุดสิ้นสุดของการเป็นทหารของเขาและการลาออกจากกองทัพเพื่อตามหาคนที่เขารัก หลิยชิงเสว่ก็รู้สึกซาบซึ้ง ดวงตาของเธอแดงก่ำ แต่เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ได้
“ในที่สุดพ่อก็ได้เจอแม่ของลูก ตอนนั้นแม่ก็คลอดเสี่ยวลี้แล้ว ลูกกับแม่ทั้งสองเป็นนางฟ้าในดวงใจของพ่อ และพ่อจะรักนางฟ้าของพ่อตลอดไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พ่อก็จะไม่เสียใจที่ตกหลุมรักแม่ของลูก พ่อจะไม่ทำเพื่อประเทศชาติ ไม่ทำเพื่อชาวโลก แต่จะเป็นนักสู้ที่คอยปกป้องลูกกับแม่ของลูก”
นิทานได้จบลง ในเวลานี้ก็ดึกแล้ว ถังเสี่ยวลี้ก็นอนหลับอย่างสนิท
ไฟสลัวในห้องนอนได้ส่องสว่างใบหน้าอันงดงามของหลิยชิงเสว่ แม้นิทานของถังเฉาจะจบลงแล้ว แต่เธอยังคงจมอยู่กับเรื่องราวในชีวิตของเขาและไม่สามารถหลุดออกมาได้
แม้หลิยชิงเสว่ไม่เคยอยู่ในสนามรบ ไม่เคยถือปืนและไม่เคยฆ่าใคร แต่เธอสามารถสัมผัสถึงความยากลำบากของถังเฉา จากคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย จนกลายเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม ทุกความลําบากแสนเข็ญ ความทุกข์ ซึ่งไม่อาจมีใครสามารถเข้าใจได้
เธอปิดไฟแล้วถามด้วยเสียงสั่นไหว “นี่ก็คือเรื่องราวของคุณสินะ?”
“จุ๊ๆ เดี๋ยวลูกตื่น”
ถังเฉามองไปที่ถังเสี่ยวลี้เพื่อให้มั่นใจว่าเธอหลับสนิทอยู่ เขาถึงพยักหน้าตอบหลิยชิงเสว่
นี่ก็คือเรื่องราวของถังเฉา ซึ่งแน่นอนว่ามันมีอีกหลายอย่างที่เขายังไม่ได้เล่า
เช่นการหายตัวไปของหลี่เห้าทำให้เจียงไป๋เสว่ร้องไห้จนเธอเป็นลม เช่นองค์กรลึกลับอย่างหว่างเหลี่ยง หรือเช่นการสร้างหัวเซี่ยชีชือและการได้พบกับเฟิ่งหวง
ชีวิตของเขาก็เป็นเหมือนซุนหงอคงที่ฝึกฝนวิชามาอย่างยากเย็นแสนเข็ญจนสามารถปราบเซียนได้
ในเวลานี้ ร่างที่อบอุ่นได้ใกล้เข้ามาหาเขาและมีน้ำตาเย็นๆ หยดลงมาที่บนหน้าของเขา
หลิยชิงเสว่เข้ามากอดถังเฉาไว้แล้วกระซิบพูดข้างหูถังเฉา “ถังเฉา ขอบคุณที่ยอมทนกับทุกสิ่งเพื่อฉัน ในเมื่อคุณกลับมาแล้ว ให้ฉันได้ตกหลุมรักคุณอีกครั้งนะ”
“ให้ฉันได้รักคุณอย่างสุดหัวใจ ให้ฉัน……เชื่อใจในความรักอีกครั้ง”
สองประโยคสุดท้ายที่บอบบางนี้ได้แสดงถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดที่เธอไม่อยากจะนึกย้อนกลับไปอีก
ดวงตาของหลิยชิงเสว่ส่องสว่างความมืดในจิตใจของถังเฉา
เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมแล้วตอบว่า “ครับ”