บทที่93 มืดฟ้ามัวดิน
“ตระกูลโจวแห่งเมืองซ่างเฉิง!”
แววตาของถังเฉาเยียบเย็นขึ้นโดยพลัน รังสีพิฆาตปะทุขึ้น แข็งกร้าวเวิ้งว้างอยู่กลางอากาศ
บรรยากาศแน่นขนัด ราวกับบิดตัวก็ไม่ปาน พกพาความอึมครึมไว้ในตัว ทำให้หายใจติดขัด
โครมคราม—-
เมฆหมอกอึมครึม บดบังแสงอาทิตย์ ท้องฟ้ามืดลงฉับพลัน ราวกับสวรรค์เองก็รับรู้โทสะของถังเฉา
เมฆหมอกครอบคลุม
“ใช่……ใช่ค่ะ”
ปลายสายโทรศัพท์ เฟิ่งหวงเองก็ใจจดจ่อ ภายใต้ไอสังหารของถังเฉา เธอไม่กล้าแม้จะหายใจดัง
“คนที่พังบริษัทโอ้ชิน แล้วซ้อมพ่อผมคือใคร”ถังเฉาถามอีกครา
“เป็นลูกน้องจ้าวลิ่ว หนึ่งในสี่เทพสวรรค์ ชื่อหยางซาน!”
เฟิ่งหวงรีบพูด“อำนาจของหยางซานอยู่ที่เมืองซ่างเฉิง”
เป็นนาน ถังเฉาถามขึ้นอีก“ใครบงการมา”
“โจวเหม่ยหยูน หลินฉ่ายเวย หรือว่า……โจวฉวนกั๋ว!”
โจวฉวนกั๋วเป็นประมุขตระกูลโจว เป็นบิดาของโจวเหม่ยหยูน เฟิ่งหวงพูดต่อ“เป็นเพราะโจวเหม่ยหยูนยอมไม่ได้ จึงไปหาโจวเฉินหยาวหลานชายช่วย โจวฉวนกั๋วไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
อย่าเห็นว่าสองคนนิสัยคล้ายๆกัน จริงๆแล้วต่างกันมาก
ถ้าแค่โจวเหม่ยหยูนหรือหลินฉ่ายเวย อย่างมากคุณชายก็ได้แค่ไปหาเรื่องพวกเขา แต่ถ้าเป็นโจวฉวนกั๋วประมุขตระกูลโจวแล้วล่ะก็ แบบนี้……นับจากวันนี้ไป จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ตระกูลโจว!
เงียบกริบ
เดียวดาย
ถังเฉาหลับตาลงเงียบๆ ไม่ไหวติง ราวกับนั่งอยู่ในห้วงมหรรณพ
ความคิดพันหมื่นล่องลอย ท่ามกลางความสับสน อลหม่าน ท้ายสุด ล่มสลาย
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เดิมทีดวงตาที่เต็มด้วยรอยสังหารของถังเฉา จึงนิ่งสงบไปนาน
จากนั้น เขาค่อยๆเอ่ยปากขึ้น กำชับกฏเหล็กอันน่าสะพรึงออกมาสามคำให้เฟิ่งหวง
“กำชับหูอีซาน กับเจิงเทียนเสียง ทั้งเมืองหมิงจู ให้ล้อมบ้านและบริษัทสกุลโจวแห่งเมืองซ่างเฉิงเอา ไว้ ให้ทุกธนาคารระงับบัญชีของสกุลโจวแห่งเมืองซ่างเฉิง ภายในวันเดียว ต้องให้สกุลโจวล่ม สลาย”
“ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะใช้เหตุผลอะไร จับโจวเหม่ยหยูน หลินฉ่ายเวย โจวเฉินเหยากับพรรคพวกเข้าคุกให้หมด!”
“สุดท้ายบอก บอกให้พาคนฆ่าอันธพาลพวกนี้ให้หมด ใครที่ลงมือพังบริษัท ให้ตัดสองมือทิ้ง”
“ค่ะ!”
แม้ในใจเฟิ่งหวงจะกริ่งเกรง แต่ก็รับคำสั่งไว้เป็นอันดับแรก
ในใจ ได้ตัดสินโทษประหารให้กับบ้านของโจวเหม่ยหยูนแล้ว
ถ้าพวกเขายอมกลับบ้านเกิดอย่างว่าง่าย คุณชายจะทำอะไรพวกเขาได้ คิดไม่ถึงว่า พวกเธอจะใจ กล้าขนาดนี้ กลับก่อกบฎ พังบริษัทหลินเจิ้นสงไม่ว่า ยังทำร้ายร่างกายอีก แบบนี้นับว่าเป็นกบฎต่อ คุณชาย คืนนี้ผ่านไป เมืองหมิงจูจะไร้ซึ่งสกุลโจว!
……
เวลานี้เอง คฤหาสน์ตระกูลโจว เปิดไฟสว่างโร่
คนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบอยู่ มีทั้งหัวเราะพูดคุย คือโจวเหม่ยหยูน หลินฉ่ายเวย กับโจวเหม่ยหลิง
ตรงข้ามพวกหล่อน มีวัยรุ่นหน้าตาคมสันนั่งอยู่ตรงกันข้าม เขาคือหลานชายโจวเหม่ยหยูน โจวเฉิน เหยา
เขาเปิดไวน์แดงชั้นหรูออกมาจากตู้เก็บเหล้า จากนั้นเทใส่แก้วของโจวเหม่ยหยูน หลินฉ่ายเวย และ โจวเหม่ยหลิง“ป้าใหญ่ ป้าสอง ป้าสามยังมีฉ่ายเวย ทุกคนนานๆกลับที รอบนี้ต้องอยู่นานหน่อยนะ ครับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ปีนั้นนั้นฉันตาบอดไป เลยแต่งงานกับสวะพรรคนั้น!”
โจวเหม่ยหยูนเม้มปากจิบไวน์ พูดอย่างเกลียดชัง:“เงินแปดร้อยแปดสิบล้าน ไม่แบ่งให้เราแม้แต่แดงเดียว ฉันว่าเขาอยากเม้มเงิน!”
โจวเฉินเหยานิ่งงันชั่วครู่ พูดขึ้น“น้าเขยทำแบบนี้ไม่ถูก ตอนนั้นเขามาก่อร่างสร้างตัวที่เมืองหมิงจูตามลำพัง บ้านสกุลโจวของเราช่วยเขาไว้ต่างหาก เขาถึงมีวันนี้ได้ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี”
ชะงักเล็กน้อย โจวเฉินเหยาเอ่ยกับพวกเขาว่า“ทุกท่านวางใจเถอะครับ เรื่องนี้จัดการเรียบร้อยดีแล้ว โรงงานของน้าเขย ถูกพังราบเป็นหน้ากลอง คนงานถูกไล่ไปหมด บริษัทโอ้ชินในตอนนี้ โล่งเงียบสนิท พวกเธอไม่ได้เงิน เขาเองก็อย่าหวังว่าจะได้”
พอคำพูดนี้ออกจากปาก รอยยิ้มของพวกโจวเหม่ยหยูนก็ประกายลงบนหน้า
“เฉินเหยา ฉันดูเธอไม่ผิดจริงๆ ต่อไปเธอต้องทำการใหญ่ได้แน่ ตอนนี้ยังไง ฉันก็พูดไม่ผิดหรอก”
โจวเหม่ยหยูนรีบลุกขึ้นยืน แล้วชูแก้วเหล้า พูดขึ้นว่า“เฉินเหยา คารวะแกหนึ่งจอก ต่อไปน้าสองยังมีเรื่องที่ต้องขอให้แกช่วยอีกมาก หวังว่าแกจะไม่ปฏิเสธ”
“จะปฏิเสธได้ไงกันครับ”
โจวเฉินเหยารีบลุกขึ้นชนแก้วกับโจวเหม่ยหยูน พลางพูด“น้าสองพูดอะไรครับเนี่ย ผมช่วยน้า เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว”
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี……”โจวเหม่ยหยูนยิ้มราวดอกไม้บาน
“พี่สอง ไม่ต้องต่อไปหรอก ตอนนี้ให้เฉินเหยาช่วยกวาดตัวซวยได้แล้ว”
ฉับพลัน โจวเหม่ยหลิงยืนพูดอยู่ด้านข้าง
“ตัวซวยเหรอ”โจวเฉินเหยาหรี่ตา
ได้ยินดังนั้น โจวเหม่ยหยูนทอดถอนหายใจ พูดขึ้น“เฉินเหยา ยังจำสวะกำพร้าที่บ้านน้าเคยเลี้ยงไว้ได้มั้ย”
โจวเฉินเหยาพยักหน้าเล็กน้อย“จำได้ครับ ตอนนั้นป้าใหญ่กับน้าสามกับน้าสองก็ต่อต้านเต็มที่”
“ใช่สิ ไม่ใช่ลูกหลานบ้านตัวเองสักหน่อย กลัวว่าจะเอาลูกตะเข้มาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม”
โจวเหม่ยหยูนพูดอย่างปวดใจ“แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะมัน ตระกูลหลินจึงได้โดนตระกูลซ่งตีพ่าย แล้วข่มเหงฉ่ายเวยของเรา”
“ส่วนคนของเราก็ไม่รู้อะไรเข้าสิง คอยปกป้องมันไว้ตลอด สุดท้าย เหมือนว่ามันจะเป็นลูกชายแท้ๆ ส่วนพวกเรากลับกลายเป็นเหมือนคนนอกเสียอีก น้าสองรู้สึกใจตายด้านเหลือเกิน”
“ใช่แล้ว เขายังให้ฉันรินน้ำชาให้ ประหนึ่งข้าทาสก็ไม่ปาน ฉันยังโดนตบไปฉาดนึง!”
“คนข้างตัวใส่ไฟเขาต่างหาก พ่อฉันไม่มีทางควักเงินออกมาหรอก ฉันว่า พวกมันอยากอมเงิน!”
เมื่อพูดถึงถังเฉา โจวเหม่ยหลิง หลินฉ่ายเวย โจวซูหัวต่างออกอาการดุดัน ราวกับคำพูดนั้นออกมาจากอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ใบหน้าของโจวเฉินเหยา มีรอยโทสะ“ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริง ถังเฉานั่นก็ไม่รู้ความเอาเสียเลย!”
“น้าสอง ฉ่ายเวย วางใจเถอะครับ แม้ว่าเมืองหมิงจูจะไม่ใหญ่ แต่ว่าตระกูลโจวยังมีอิทธิพลอยู่บ้าง ถ้าไม่อยากให้พวกเขามีชีวิตอยู่ในเมืองหมิงจู ง่ายนิดเดียว”
โจวเฉินเหยาสาบถสาบาน ชูจอกเหล้า“มา เพื่อระบายความแค้นให้น้าสอง หมดจอก”
“หมดจอก—-”
โจวเหม่ยหยูน หลินฉ่ายเวย โจวเหม่ยหลิงยกแก้วเหล้าขึ้นพร้อมกัน ชนแก้วกับโจวเฉินเหยา
เพล้ง—-
จากนั้น ชั่วขณะถัดไป ประตูใหญ่ระเบิดขึ้น
ชายชุดสูทหิ้วหญิงผมสั้นค่อยๆเดินเข้ามา เวลานั้น บรรยากาศที่ครื้นเครง เย็นเฉียบขึ้นโดยพลัน
“พวกแกเป็นใคร ทำไมถึงบุกเข้ามาได้”
โจวเหม่ยหยูนรีบลุกขึ้นยืน ไปบดบังหญิงคนนั้นไว้ หากแต่หญิงคนนั้นกวาดตามองอย่างเย็นชา“ไม่อยากตาย หลบไป”
เวลานั้น โจวเหม่ยหยูนราวถูกสกัดไว้ด้วยน้ำแข็ง ไม่กล้าแม้ขยับ
“แกเป็นใคร”
โจวเฉินเหยาเองก็รู้สึกว่าสถานการณ์แปลกไป รีบลุกขึ้นยืน ถามอย่างหนักแน่น
“ผมคือ หัวหน้ากรรมการบริหาร เฉินเวย”
หญิงสาวหยิบเอกสารออกมา วางโครมลงโต๊ะ ถามเสียงเย็น“ฉันรู้สึกว่าพวกแกกำลังฟอกเงิน ตอนนี้ได้อายัดบัญชีพวกแกกับสกุลโจวไว้แล้ว”
“อีกอย่าง พวกแกทำผิดกฏร้ายแรง ต้องชดใช้”
ทุกคำพูดคมดุจปลายมีด ปักลงกลางใจ เวลานั้น ในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศสิ้นหวัง