บทที่ 139 พ่อที่ดีของผม
ใกล้จะถึงช่วงค่ำ ไฟบนถนนสว่างไสว
ถังเฉายืนอยู่บนถนนฝั่งหนึ่ง ส่วนหลินชิงเสว่ยืนจูงมือถังเสี่ยวลี้อยู่บนถนนอีกฝั่งหนึ่ง
ตอนนี้รถแล่นไปมา ทั้งสองคนถูกคั่นด้วยถนน ทั้งสองสบตากันจากไกลๆ
ทั้งสองสบตากัน ถังเฉาเห็นดวงตาคู่สวยแดงก่ำ
แต่ทว่าหลินชิงเสว่มองเห็นแววตาราบเรียบ แต่มันเป็นดวงตาที่มืดและวูบไหว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว ถังเฉาก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาหาลูกและภรรยา
ระยะห่างเพียงสิบเมตรเท่านั้น
ถังเฉาดึงหลีชิงเสว่มาตรงหน้า เขาก้มมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนของเธอ
ดวงตาของเธอแดงก่ำ มีคราบน้ำตาติดอยู่บนแก้มของเธอ
ถังเฉาค่อยๆ ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน
“หลินโป๋หลายพูดอะไรกับนาย”
เธอไม่ได้ปฏิเสธที่ถังเฉาเช็ดน้ำตาให้ หลินชิงเสว่เงยหน้าขึ้นมองถังเฉาอย่างจริงจัง
“เขาบอกว่าถ้ามีโอกาสให้แวะไปที่เยี่ยนจิง” ถังเฉาพูดแล้วยิ้มออกมา
หลินชิงเสว่ไม่ได้ยิ้ม เธอเอาแต่จ้องถังเฉาแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องของตระกูลฉัน พวกเขาไม่ยินยอมให้ฉันแต่งงานกับนาย และไม่สามารถทำใจยอมรับเสี่ยวลี้ได้ การที่นายแต่งกับฉัน นายจะต้องตายเพราะฉัน”
“ผมไม่กลัว”
ถังเฉาส่ายหน้าเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ตอนนั้นหลินจ้าวหยูนบอกเขาว่า แค่ปัญหาเล็กๆ ที่มองไม่เห็น ถังเฉาคิดไม่ถึงว่าชิงเสว่จะมาจากตระกูลหลวงในเยี่ยนตู
แถมยังไม่ยอมรับเด็กอายุเพียงห้าขวบอีกด้วย
“แต่ฉันกลัว”
หลีชิงเสว่สะอึกสะอื้น เธอพูดอย่างไม่มีสติว่า “หลังจากที่ฉันรู้ตัวว่าท้อง นายรู้ไหมว่าฉันกลัวแค่ไหน ไม่ใช่กลัวว่าจะเลี้ยงเด็กไม่ได้ แต่กลัวว่าถ้าคลอดออกมา ถ้าพวกเขารู้ขึ้นมาแล้วจะทำร้ายลูก”
“ฮืออ”
ถึงแม้ถังเสี่ยวลี้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเธอเห็นแม่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด จึงร้องไห้ออกมาด้วย
“แม่อย่าร้อง เสี่ยวลี้อยู่นี่”
เด็กน้อยกอดขาแม่เอาไว้แน่นและร้องไห้ออกมายกใหญ่
หลินชิงเสว่กอดถังเสี่ยวลี้เอาไว้แน่น “ห้าปีมานี้ฉันพาเสี่ยวลี้หนีไปทั่ว เพราะกลัวว่าพวกเขาจะหาเจอ ฉันเสียนายไปแล้ว ฉันจะไม่ยอมเสียลูกสาวเพียงคนเดียวเด็ดขาด!”
เมื่อเห็นหลินชิงเสว่ร้องไห้เหมือนจิตใจแตกสลาย ถังเฉาก็เงียบไปเป็นเวลานาน
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างมองพวกเขาสามคนด้วยสายตาแปลกๆ
เขายืนหลังตรงและพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“ด้วยเกียรติของเจ้ามังกร ผมสัญญาว่าจะไม่ให้คุณสองแม่ลูกโดนทำร้ายแม้แต่นิดเดียว”
“ไม่มีใครมาแยกพวกเราได้ ใครขวางผมจะฆ่าให้หมด!”
แต่ทว่า หลินชิงเสว่ส่ายหน้า “นายไม่รู้ นายไม่รู้อะไรเลย”
อย่ามองว่าเธอเป็นประธานของบริษัทลี่จิงกรุ๊ป ค่าตัวเป็นพันล้าน แต่ทว่ามันยังไม่เพียงพอเมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลหลวงในเยี่ยนตู
ถ้าอยากทำลายบริษัทลี่จิงกรุ๊ปไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานเลย เหตุที่พวกเขายังไม่ลงมือ เพราะว่าพวกเขาเห็นแก่ที่เธอเป็นลูกสาวของคนคนนั้น จึงยังไว้ชีวิตเธอ
ถ้าคนนั้นหมดความอดทนแล้ว ทุกอย่างคงจะจบสิ้น
ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าถังเฉาอยู่ที่ไหน ถ้าเธอไม่หย่ากับถังเฉาพวกนั้นจะต้องทำอะไรอย่างแน่นอน
การโทรมาครั้งนี้ก็คือสัญญาณบ่งบอก
“ช่วงนี้ นายออกไปก่อนได้ไหม”
หลินชิงเสว่มองถังเฉาด้วยดวงตาแดงก่ำ และพูดออกมาอย่างเจ็บปวด
ถังเฉาจ้องเขม็ง หัวใจของเขาเต้นแรงมาก
“รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก็พอ ฉันไม่หย่ากับนาย แต่แค่อยากปกป้องเสี่ยวลี้!”
ความโกรธในใจของถังเฉาพุ่งขึ้นมา แต่เมื่อเห็นคนที่กำลังร้องไห้อย่างหลินชิงเสว่ ความโกรธเหล่านี้ก็มลายหายไปทันที
เขาสูดหายใจลึกและยิ้มออกมาบางๆ “โอเค”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินไป
ตอนที่เดินออกไป แผ่นหลังของถังเฉายืดตรงราวกับสามารถค้ำโลกใบนี้เอาไว้ได้
“พ่อจะไปไหน…”
“แม่ไล่พ่อไป แม่นิสัยไม่ดี!”
ถังเสี่ยวลี้ร้องไห้หนักกว่าเดิม เธอตะเกียกตะกายเพื่อจะวิ่งไปหาถังเฉา
“ขอโทษ ขอโทษ…”
หลินชิงเสว่พูดเพ้อพึมพำ เธออุ้มถังเสี่ยวลี้เข้าไปในรถ
ถังเฉาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็อดหันกลับมามองไม่ได้ เขาเห็นว่าหลินชิงเสว่กับถังเสี่ยวลี้ออกไปแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาและโทรหาใครคนหนึ่ง “เฟิ่งหวง”
“รองหัวหน้า”
เฟิ่งหวงตกใจ เธอรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงของรองหัวหน้าผิดปกติไป
แต่ท่าทางของถังเฉาเด็ดขาด “ตรวจสอบประวัติความเป็นมาของตระกูลหลินตระกูลหลวงในเยี่ยนตู”
“ค่ะ!”
เฟิ่งหวงไม่ได้ถามอะไรมากมาย และจดจำสิ่งที่รองหัวหน้าพูด เธอยังไม่ได้วางสาย
“ยังมีอะไรอีกไหม”
เฟิ่งหวงลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “รองหัวหน้า เรื่องที่ตระกูลฉางย่อยยับ มันยังมีสิ่งที่น่าสงสัยอีกค่ะ”
ถังเฉาไม่ได้พูดอะไร เขารอให้เฟิ่งหวงรายงานอย่างเงียบๆ
“รองหัวหน้า ฉางหงเทียนมีลูกชายสองคน นอกจากฉางเซ่าเฟิงแล้ว เขายังมีลูกชายอีกหนึ่งคนชื่อว่าฉางเว่ยค่ะ ไม่มีชื่อเขาปรากฏอยู่ในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ”
“ฉันไปตรวจสอบมาและพบกับความจริงที่น่าตกใจ ฉางเว่ยเป็นผู้ป่วยโรคจิตเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงผู้หญิงเขายิ่งทำตัวผิดปกติ!”
“หมายความว่ายังไง” ถังเฉาถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จากนั้นเฟิ่งหวงจึงพูดต่อ “เขาไม่มีความรู้สึกใดกับผู้หญิงคนไหน แต่ว่าเขาชอบสะสมผู้หญิง”
“สะสมผู้หญิง?” สีหน้าของถังเชาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ใช่ค่ะ”
เฟิ่งหวงพูดต่อ “สะสมอวัยวะในร่างกายของผู้หญิง เขาเคยเล็งคุณหลินเอาไว้ด้วย แต่ทำไม่สำเร็จ เขาเคยมีความคิดเช่นนี้กับซ่งหรูอี้ แต่กลับโดนเข้าใจผิดว่าเป็นการลวนลาม และโดนรุมกระทืบจนไม่มีชิ้นดี”
“ยิ่งไปกว่านั้น คนคนนี้ยังบ้าเลือดมาก เป็นคนไข้ที่อันตรายที่สุดในตึกสามของโรงพยาบาบประสาทที่เมืองหมิงจู!”
ถังเฉาไม่ได้คิดอะไรให้มากมาย เขาพูดออกมาว่า “เรื่องของฉางเว่ยเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ไปสืบเรื่องตระกูลหลวงในเยี่ยนตูก่อน!”
“ค่ะ!”
เมื่อวางสายลง แววตาของถังเฉาเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
“ตระกูลหลวงในเยี่ยนตูหวังว่าพวกนายคงจะไม่ไปหาเรื่องสองแม่ลูก ไม่งั้นไม่ว่าพวกนายจะเป็นตระกูลหลวงอะไรก็ตาม ฉันจะทำลายให้ย่อยยับทั้งหมด!”
……
กลางดึก
ฉางหงเทียนปิดไฟเตรียมตัวนอน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูห้องผู้ป่วยดังขึ้น
ฉางหงเทียนเปิดประตู สายตาของเขานิ่งไป
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสูทสีขาวกำลังยิ้มให้เขา
“ฉางเว่ย?”
สีหน้าของฉางหงเทียนเปลี่ยนไปทันที “แกออกมาได้ยังไง”
ฉางเว่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมค่อนข้างพิเศษน่ะ เดินไปไหนมาไหนได้ตามสบาย”
ขณะที่ฉางหงเทียนกำลังจะถามให้ละเอียดกว่านี้ ฉางเว่ยก็เดินไปที่สนามอันว่างเปล่าที่อยู่ข้างนอก ฉางหงเทียนลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินตามออกไป
เวลานี้ เป็นเวลาที่ผู้คุมน้อยที่สุด
ฉางเว่ยเงยหน้ามองฟ้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “ผมดีใจมาก ที่พ่อมาอยู่เป็นเพื่อนผม”
สีหน้าของฉางหงเทียนไม่สู้ดี ถ้าไม่ใช่เพราะเขาโดนบังคับ ใครจะยอมมาอยู่ในที่ที่มีแต่คนบ้ากันล่ะ
ฉางเว่ยหันกลับมา และถามอย่างยิ้มแย้มว่า “พ่อบอกผมได้ไหมว่าทำไมพ่อถึงเข้ามาอยู่ในนี้ได้”
ฉางหงเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “ฉันถูกลิดรอนชีวิต”
“ผมดูข่าวแล้ว เรื่องการเปิดโปงคดี 316 เมื่อไม่กี่วันก่อน รวมถึงเรื่องที่บริษัทผลิตยาหงเทียนล้มละลาย”
ฉางเว่ยยังคงยิ้ม แต่ทว่าภายในรอยยิ้มของเขามีความเวทนาและเยาะเย้ย “ผมพูดไปตั้งนานแล้ว ผมกับพ่อเป็นพ่อลูกกัน มีเพียงผมเท่านั้นที่จะช่วยให้พ่อได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่พ่อกลับเลือกเซ่าเฟิง เขายังเป็นเด็ก”
“หุบปาก!”
ราวกับว่าฉางหงเทียนโดนพูดแทงใจดำ เขาเบิกตาโพลง “แกมันแค่คนบ้าคนหนึ่งเท่านั้น นายเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลประสาท เพราะอยากหลบผู้หญิงที่ชื่อว่าซ่งหรูอี้ไม่ใช่หรือไง”
“ซ่งหรูอี้..”
เมื่อพูดถึงผู้หญิงคนนั้น แววตาของฉางเว่ยเต็มไปด้วยความหลงใหล “เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“แต่นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่พ่อพาผมเข้ามาอยู่ในนี้ด้วยมือของตัวเอง”
จู่ๆ ฉางเว่ยก็พูดออกมาตรงๆ และมองไปยังฉางหงเทียน “อย่าลืมสิว่าการที่ผมเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะใคร เพราะพ่อไง เพราะผมบังเอิญไปเห็นตอนที่พ่อฆ่าแม่ พ่อก็เลยอยากให้ผมหายไปจากโลกนี้!”
“ผมเห็นอย่างชัดเจนว่าตอนที่พ่อฆ่าแม่ พ่อกำลังยิ้มอยู่ใช่ไหม พ่อกำลังมีความสุข แต่ผมกลับพบเรื่องที่มีความสุขมากกว่าฆาตกร นั่นก็คือการสะสม”
“จนถึงตอนนี้ตำรวจยังไม่รู้ว่านิ้วที่ถูกตัดของแม่อยู่ที่ไหน ผมบอกให้ก็ได้นะ อยู่ที่ผมไง”
หลังจากที่ฉางเว่ยพูดจบ ฉางหงเทียนเบิกตาโพลง “ที่แท้แกนี่เอง คนบ้าอย่างแกนี่เอง”
“พวกเราล้วนเป็นคนบ้า”
ฉางเว่ยหันไปมองพ่อพร้อมรอยยิ้ม เขาอ้าแขนและกอดฉางหงเทียนเอาไว้ เขาใช้มือข้างหนึ่งตบไปที่ไหล่ของฉางหงเทียนเบาๆ “ขอบคุณนะ พ่อที่ดีของผม”
การกระทำแสนอ่อนโยนที่แฝงไปด้วยความจริงใจ พวกเขาดูเหมือนสองพ่อลูกที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ศีรษะของฉางหงเทียนซบลงตรงไหล่ของฉางเว่ย ตาทั้งสองข้างเบิกกว้างและเหม่อลอย
เลือดสีแดงไหลออกมาจากมุมปากของเขา
เขาสิ้นใจแล้ว
ระหว่างที่กอดกัน ฉางเว่ยสวมถุงมือ และยัดมีดอันแหลมคงลงไปในมือของฉางหงเทียน เขาจับมือผู้เป็นพ่อและแทงลงไปที่ตำแหน่งของหัวใจ
เขาวนมีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“พ่อที่ดีของผม ความตายคือสิ่งที่ทำให้พ่อหลุดพ้น”
ฉางหงเทียนตายตาไม่หลับ ฉางเว่ยพูดเบาๆ ว่า “ไม่ว่าการสละชีพใดล้วนมีคุณค่า ตระกูลฉางยังไม่ย่อยยับ ผมจะแก้แค้นถังเฉาแทนพ่อเอง และจะสนุกกับภรรยาของมันด้วย”
พูดจบ เขาก็หายไปในความมืด
ผ่านไปไม่นาน ศพของฉางหงเทียนถูกพบโดยแพทย์พยาบาลที่เดินตรวจตราตอนกลางคืน
เสียงกรีดร้องดังขึ้นทำลายความเงียบยามค่ำคืน
เสียงไซเรนรถตำรวจดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้า
ตอนที่ตำรวจมาถึง ศพของฉางหงเทียนก็แข็งแล้ว
จากนั้นโรงพยาบาลประสาทก็เผยแพร่ข่าวอันน่าตกใจ
ฉางเว่ยหายตัวไป